นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 1 เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูกาลที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ในที่สุดก็ถึงเวลาแห่งการเริ่มต้นปีใหม่หลังจากฤดูหนาวอันยาวนานผ่านพ้นไป สิ่งมีชีวิตหลายหลากเผ่าพันธุ์ไม่ต้องอดทนกับความหนาวเย็นอันโหดร้ายอีกแล้ว พืชพันธุ์ต่างๆกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ทำให้จำนวนอาหารมีเพิ่มมากขึ้น และหาอาหารได้อย่างง่ายดายมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นฤดูใบไม้ผลิจึงถือเป็นฤดูที่สำคัญที่สุดของปี ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ คนแคระ ออร์ค เอลฟ์ ยักษ์ สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ หรือสัตว์กินเนื้อชนิดต่างๆ ฤดูนี้ก็ถือเป็นฤดูกาลที่สำคัญสำหรับพวกเขามากที่สุด
แน่นอนว่าโลกนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อนและมักจะมีข้อยกเว้นเสมอ ตัวอย่างเช่นการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิก็เช่นกัน สายลมอุ่นๆแห่งฤดูใบไม้ผลิจะไร้ความหมายสำหรับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้พื้นดิน หรือสำหรับสิ่งมีชีวิตบางชนิด ฤดูใบไม้ผลิจะกลายเป็นเรื่องเลวร้าย เช่น เหล่าปีศาจหิมะจะเกลียดฤดูกาลนี้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นไปในทางตรงกันข้าม เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ความสดชื่นแจ่มใสก็จะกระจายไปทั่วทุกพื้นที่
ฤดูกาลอันน่ารื่นรมย์นี้มาพร้อมกับสายลมอุ่นๆ ที่จะหอบเอาความชื้นในอากาศเหนือท้องทะเล พัดผ่านภูเขาสลับซับซ้อนด้วยความยากลำบากเพื่อที่จะมาให้ถึงยัง ‘หมู่บ้านรูสแลนด์’ ณ ช่วงเวลานั้นชาวบ้านทุกคนต่างรับได้รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว
รูสแลนด์ตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆระหว่างภูเขาสลับซับซ้อนซึ่งอยู่ใกล้กับชายฝั่ง หากมองจากมุมสูงจะเห็นเป็นจุดเล็กๆ ที่อยู่ใจกลางเทือกเขาสูงที่ทอดตัวไกลออกไปเป็นพันไมล์ พื้นที่ทุกด้านถูกล้อมด้วยภูเขาขนาดมหึมา หมู่บ้านแห่งนี้ถูกปกครองโดยบารอนทักเกอร์ ภายใต้สังกัดของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่ตั้งอยู่ห่างจากปราสาทของบารอนราว 300 กิโลเมตร ชาวบ้านแห่งรูสแลนด์จะพบตัวบารอนทักเกอร์ได้เฉพาะในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเท่านั้น ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่าการมาเยือนของเขามีวัตถุประสงค์เดียวคือเขามาเพียงเพื่อเก็บภาษี นอกเหนือจากช่วงเวลานั้นแล้ว การมีตัวตนอยู่ของเขาสำหรับชาวรูสแลนด์แทบจะเรียกว่า ‘มีก็เหมือนกับไม่มี’
แต่ถึงอย่างนั้น บารอนทักเกอร์ก็เก็บภาษีในจำนวนที่ค่อนข้างน้อย และเขาจะเก็บภาษีเฉพาะพื้นที่พิเศษซึ่งมักจะไม่มีกระทบกับชีวิตประจำวันของชาวบ้านมากนัก แม้การเพิ่มภาษีในปีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรง แต่การอาศัยอยู่ภายในภูเขานั้นไม่เลวร้าย เพราะตราบใดที่ยังคงขยันทำมาหากินตลอดทั้งปี ก็จะสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
พื้นที่เพาะปลูกนอกหมู่บ้านจะถูกไถพรวนและหว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงฤดูร้อน ในช่วงนี้จะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่เหล่านักล่าจะเริ่มเข้าป่า เพราะเป็นช่วงที่เหล่าสัตว์มายาเพิ่งตื่นจากการจำศีล ความหิวโหยและต้องการพลังงานหลังจากอดอาหารมาเป็นเวลานานทำให้พวกมันเร่งแข็งขันกันหาอาหาร และสัญชาตญาณในการระวังภัยจะลดลง
ในร่างกายของสัตว์มายาเหล่านี้จะมีสิ่งพิเศษที่คล้ายสมุนไพรล้ำค่า เป็นต่อมที่ผลิตสารซึ่งสามารถนำไปกลั่นเป็นน้ำหอมราคาแพงได้ และคุณภาพของมันจะสูงที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงเวลาหลังการจำศีลนี้เอง ดังนั้นแม้ว่าทุกปีจะต้องมีผู้บาดเจ็บจำนวนไม่น้อย แต่ในช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้บรรดานักล่าทั้งหลายก็จะเข้าไปล่าสัตว์มายาในป่าเสมอโดยไม่ยอมพลาด และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เทพีแห่งการล่าเป็นที่เคารพนับถือมากกว่าเทพองค์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากมังกรนิรันดร แต่นอกจากนี้แล้วในนัวแลนด์ก็ยังมีเทพเจ้าที่เป็นที่เคารพบูชาอีกจำนวนมาก อีกทั้งยังมีศาสนาที่หลากหลาย มากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
นัวแลนด์เป็นทวีปที่อุดมสมบูรณ์ ปกครองโดยพลังอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้หลักการปกครองแบบลำดับชั้นที่เข้มงวด แม้แต่พื้นที่ที่ห่างไกลและหมู่บ้านที่สงบเงียบอย่างรูสแลนด์ก็ยังมีประวัติศาสตร์ของตัวเอง และถึงแม้ชาวรูสแลนด์จะมีลักษณะนิสัยที่เรียบง่ายและจริงใจ แต่พวกเขาก็มักจะให้ความเคารพนับถือเหล่าผู้เชี่ยวชาญ หรือคนที่มีอำนาจสูงกว่า และดูถูกดูแคลนผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ เห็นได้ชัดว่าแม้จะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีไม่ถึงหนึ่งร้อยครัวเรือน แต่ก็ยังยึดปฎิบัติตามหลักการแบ่งชนชั้น
ร่างเล็กๆ ของเด็กชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในบริเวณหนึ่งของพื้นที่นอกหมู่บ้าน เด็กชายผู้นั้นแบกตะกร้าหวายที่เต็มไปด้วยพืชและผลสาเกที่มีความสูงเกือบเท่าตัวเขาไว้บนหลัง พวกพืชหรือผลไม้ต่างๆ ที่รอดพ้นจากฤดูหนาวอันเลวร้ายมาได้ ปกติแล้วจะถูกเอามาใช้กินในช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นผลไม้ก็จะเป็นทางเลือกแรกๆ ก่อนอาหารประเภทอื่นๆ มันหาได้ไม่ยากจากบริเวณที่ไม่ลึกมากนักในป่าข้างหมู่บ้าน
ไม่ไกลจากบริเวณที่เด็กชายผู้แบกตะกร้าอยู่ มีเด็กผู้ชายอีก 3 คน กำลังเดินเข้ามาใกล้เขา แต่ละคนสูงกว่าเด็กชายตะกร้าหวายคนนั้นประมาณหนึ่งหัว พวกเขามีคันธนูและคราดในมือ และมีกริชเหน็บอยู่ที่เอว แม้ว่าพวกเขาจะอายุไม่ถึง 10 ขวบ แต่บนหลังของพวกเขาก็มีแต่ซากกวางและกระต่าย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสามารถล่าได้แล้ว แม้สัตว์ที่พวกเขาได้มาจะเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอ แต่นั่นก็ไม่ใช่งานที่ง่ายที่จะวางกับดักจับสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือขุนนาง เด็กๆ ในหมู่บ้านนี้ต่างก็ต้องเรียนรู้วิถีชีวิตเช่นนี้จากพ่อและแม่ของพวกเขา
จู่ๆหนึ่งในเด็กชายทั้งสามที่ดูท่าทางจะเป็นผู้นำของกลุ่มก็ตะโกนกับเด็กชายผู้แบกตะกร้าหวายว่า “เฮ้ ริชาร์ด พ่อของเจ้าไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ? เขาไม่ได้สอนวิธีการล่าให้เจ้าเหรอ? ตอนที่ข้าอายุเท่ากับเจ้า ข้าขึ้นไปวางกับดักจับกระต่ายบนเขาด้วยตัวเองได้แล้ว!”
เด็กผู้ชายคนอื่นๆที่อยู่ข้างๆ เขาหัวเราะออกตามทันที เด็กชายคนหนึ่งเสริมว่า “เด็กที่ไม่มีพ่อก็ทำได้แค่เก็บผลไม้เท่านั้นแหละ!”
เด็กผู้ชายที่แก่กว่า 3 คนนั้นหัวเราะร่า ขณะที่พวกเขาวิ่งผ่านเด็กชายที่ชื่อริชาร์ดเข้าไปในหมู่บ้าน พวกเขาก้าวได้เบาและว่องไวมาก มากเสียจนทำให้ยากที่จะเชื่อว่าพวกเขากำลังแบกเหยื่อที่มีน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัมไว้บนหลังในขณะวิ่งไปด้วย
เด็กน้อยที่ชื่อริชาร์ดคนนั้นไม่ได้ใส่ใจกับการเยาะเย้ยของเด็กชาย 3 คนนั้น เขายังคงแบกตระกร้าหวายไว้บนหลังและเดินมุ่งหน้าเข้าไปในหมู่บ้าน ชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาเรียกเด็กคนนั้นเข้ามาหา และยื่นเนื้อของสัตว์มายาส่งให้มือเล็กๆของเด็กชายตัวน้อย พร้อมกับวางมือใหญ่ลงบนหัวเล็กๆนั่นด้วยความเอ็นดู “ริชาร์ดเอ้ย … เจ้าไม่โกรธที่เบรุตและเพื่อนของเขารังแกเจ้ารึ? ข้าจะสอนบทเรียนให้พวกเขาทีหลังเอง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นแค่เด็กก็เถอะ แต่พวกเขาก็ไม่ควรทำแบบนี้”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ได้โกรธ” ชายวัยกลางคนคาดไม่ถึงว่าเด็กชายจะส่ายหัวตอบ
“แต่…” ชายวัยกลางคนใช้มือหยาบๆ ของเขาจับไปที่หลังหัว งุนงงจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เขาไม่ค่อยจะเข้าใจเด็กคนนี้มากนัก เขาคิดว่าริชาร์ดน่าจะกลัวเด็กพวกนั้น ยังไงพวกเด็กๆ บนภูเขาก็คิดกันเพียงแค่อวดข่มเรื่องความกล้าหาญเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร ริชาร์ดก็เพียงแค่ยิ้มแล้วพูดต่อ “ถึงข้าจะไม่มีพ่อ แต่ข้าก็ยังมีแม่ที่ดีที่สุด!”
ชายวัยกลางคนได้แต่เอามือเกาท้ายทอยของตัวเอง เขาช็อคจนต้องยิ้มแห้งหลังจากฟังประโยคนั้นของเด็กชาย “อ่า ถูกต้อง! ถูกต้อง!”
เด็กชายตัวน้อยฮัมเพลงขณะที่แบกตระกร้าใหญ่เข้าไปในหมู่บ้าน ความเศร้าโศกเล็กๆ ของเขาหายไปแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจ สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็ตามขอแค่ให้แม่ของเขาอยู่อย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้ว
— ริชาร์ดมีอายุครบ 6 ขวบในปีนี้ และเขาก็เรียนรู้วิธีที่จะอยู่อย่างมีความสุขได้แล้ว —
ชายวัยกลางคนยังคงมองตามแผ่นหลังเล็กๆนั่นไป เขาคือ ‘บ็อบบี้’ ผู้เป็นแบล็คสมิธ*ของหมู่บ้าน แม่ของเด็กชายริชาร์ดเป็น อโคไลท์ที่ชื่อว่า ‘เอเลน’ เกือบเจ็ดปีก่อนเอเลนที่กำลังตั้งท้องลูกชายของนางเดินทางมาถึงยังรูสแลนด์เพียงลำพัง แม้จะไม่ได้งดงามเป็นพิเศษ แต่บุคลิกท่าทางของนางนั้นสุภาพเรียบร้อย นิ่งสงบเหมือนกับน้ำ และการปรากฎตัวของนางก็ช่วยเหลือหมู่บ้านรูสแลนด์แห่งนี้ได้มากมาย ถึงแม้ว่ารูสแลนด์จะเรียกว่ามีหมอที่เป็นผู้ให้การรักษา แต่เขากลับอยู่ไกลจากหมู่บ้านมาก โดยปกติแล้ว ไม่ว่าชาวบ้านรูสแลนด์จะบาดเจ็บเล็กน้อยหรือป่วยไข้อย่างหนักก็ตาม หากอยากรับการรักษา พวกเขาก็จะต้องเดินทางไปไกลหลายสิบกิโลเมตรเพื่อไปหาหมอในเมืองที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้ในบางครั้งพวกเขาเลือกที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดนั้นแทน เพราะระยะทางที่ไกลเกินไป การมาถึงของเอเลนช่วยให้ปัญหานี้ของชาวบ้านหมดไป
*แบล็คสมิธ = ช่างเหล็ก
เอเลนเปิดคลินิกเล็กๆ ข้างๆ หมู่บ้าน แม้ว่านางจะทำเพียงผลิตยาที่เป็นพื้นฐานทั่วไป แต่นับตั้งแต่มาถึงที่รูสแลนด์แห่งนี้ เอเลนก็ได้ช่วยชีวิตคนในหมู่บ้านไปแล้วมากมาย หัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสตัดสินใจมอบที่ดินให้แก่นาง และให้นางเป็นสมาชิกในหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ และเนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเป็นนักล่า ในเวลานี้ศูนย์กลางของหมู่บ้านแห่งนี้จึงมี 3 เสาหลัก หนึ่งก็คือบ็อบบี้ที่เป็นแบล็คสมิธ สองคือหัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นนายทหารปลดประจำการ ส่วนคนสุดท้ายคือเอเลน ที่ทำงานร่วมกับอีก 2 คนคอยค้ำจุนหมู่บ้านรูสแลนด์แห่งนี้
ชีวิตในรูสแลนด์เป็นไปอย่างเรียบง่ายและสงบสุขมาก เพียงพริบตาเดียว 1 ปีก็ผ่านพ้นไปอีกครั้ง
ริชาร์ดสูงขึ้น 2-3 เซนติเมตรในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ เขาดูเหมือนกับเด็กอายุ 8-9 ขวบ ตามธรรมเนียมแล้ว เขาต้องเรียนรู้วิธีการวางกับดักจับกระต่ายและสัตว์กินพืชเล็กๆ แล้ว
มีสัตว์มายาขนาดเล็กอยู่ในป่าใกล้ๆ รูสแลนด์ พวกสัตว์ขนาดใหญ่แทบจะไม่เคยปรากฎตัวออกมาให้เห็นเลยสักครั้ง สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นที่ฝึกฝนการล่าของพวกเด็กๆในหมู่บ้าน ดังนั้นนักล่ารุ่นใหญ่ก็จะไม่ทำร้ายสัตว์เล็กๆ และพวกเขาจะคอยลาดตระเวณดูแลความปลอดภัยอยู่ตลอด เพื่อคอยเฝ้าระวังสัตว์ที่เป็นอันตรายและสัตว์มายาขนาดใหญ่ที่หายากในป่าลึก ป้องกันไม่ให้พวกมันเข้าใกล้บริเวณที่ฝึกล่าของเด็กๆ
ริชาร์ดยังคงแบกตระกร้าหวายไว้บนหลังของเขา และเดินขึ้นภูเขาไปทุกๆ 3-4 วัน ในปีนี้วิถีชีวิตของเขายังคงไม่เปลี่ยน เขาขึ้นไปเก็บพืชและผลไม้บนภูเขา พวกพืชผักและผลสาเกรสชาติไม่ค่อยดีนัก ชาวบ้านต่างก็ชื่นชอบเนื้อของสัตว์มายามากกว่า เพราะนอกจากอร่อยแล้วยังช่วยเพิ่มพละกำลังและความแข็งเเกร่งให้พวกเขาด้วย
นี่คือคำสั่งจากแม่ของเขา ริชาร์ดเก็บสมุนไพรอื่นๆ ไปด้วย เขาจะเก็บรวบรวมและจัดแบ่งเป็นประเภทต่างๆ เอาไว้สำหรับแต่ละฤดูกาล ทั้งสี่ฤดู ซึ่งเขาจะต้องจัดการกับพวกมันด้วยกรรมวิธีที่ซับซ้อน การเก็บพืชและสมุนไพรกลับบ้านที่เขาทำอยู่ในตอนนี้เป็นงานเพียงครึ่งเดียวของเขา งานในส่วนที่เหลือเขาจะทำหลังจากที่กลับไปแล้ว
ริชาร์ดไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเพียงแค่จัดการกับผลสาเก ถึงต้องใช้วิธีการที่ยุ่งยากซับซ้อน คนอื่นๆ ในหมู่บ้านไม่ได้ทำแบบนี้ เพราะหลังจากที่พวกมันสุกแล้วในตอนกลางคืนพวกมันก็จะหล่นลงมาที่พื้น คนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็แค่เดินไปเก็บง่ายๆ แต่แม่ของเขากลับให้เขาเก็บผลไม้ที่อยู่บนต้นไม้แทน และยังสั่งให้เก็บเฉพาะลูกที่มีขนาดหรือสีตามที่สั่งเท่านั้นอีกด้วย มีอยู่หลายครั้งที่ริชาร์ดไม่ทำตามที่แม่ของเขาบอก เพราะเขาคิดว่ายังไงพวกมันก็ไม่ได้ดูแตกต่างกัน และแม่ของเขาก็ไม่มีทางสังเกตได้ ดังนั้นจึงมีหลายครั้งที่ริชาร์ดพยายามหลอกแม่ของเขา แต่เขากลับถูกแม่ต่อว่า กลับมา และนั่นก็ทำให้หลังจากนั้นเขาจึงตั้งใจเก็บผลสาเกที่อยู่บนต้นอย่างจริงจัง มีเพียงแค่ฤดูหนาวที่เขาไม่ต้องออกไปเก็บผลสาเกและเรียนรู้การรู้จักอดทน
— ริชาร์ดมีอายุ 7 ขวบในปีนี้ และเขาก็เรียนรู้ถึงความอดทนในการทำงาน —
ถ้าหากถามว่าอะไรที่เขาไม่ชอบในชีวิตวัย 7 ขวบ เขาก็คงจะบอกว่ามันคือการที่เขาต้องกินผลสาเกเป็นอาหารเย็นในทุกๆ วัน เรื่องนี้เป็นเหมือนฝันร้ายเล็กๆ ที่คอยตามหลอกหลอนเขาอยู่
รูสแลนด์ก็ยังคงเหมือนเดิมในฤดูใบไม้ผลิถัดมา บ็อบบี้ก็ครอบชีวิตโสดอยู่เช่นเดิม ในขณะที่กิจการของเอเลนก็ดูเหมือนจะซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง หัวหน้าหมู่บ้านก็ยังคงแข็งแรงเหมือนปกติ เขาเป็นคนแรกที่มุ่งจะพุ่งเข้าไปลุยกับสัตว์มายาที่แข็งเเกร่งในป่าลึก ทว่าในที่สุดริชาร์ดก็ได้เรียนรู้วิธีการวางกับดัก ขณะที่เบรุตและคนอื่นๆ เริ่มใช้ธนูสั้นและตามนักล่ารุนใหญ่ขึ้นไปล่าบนภูเขากันแล้ว เบรุตและพวกอายุ 10 ขวบแล้ว พวกเขาสามารถเรียกตัวเองว่าเป็น ‘คนหนุ่ม’ ได้แล้ว จากรูปร่างสูงใหญ่ของพวกเขา ในบางครั้งคนในเมืองจะคิดว่าพวกเขาอายุประมาณ 15 -16 ปีเลยด้วยซ้ำ
การวางกับดักต้องการประสบการณ์ ต้องใช้ความระมัดระวังสูง มีโอกาสสูงที่นักล่าไร้ประสบการณ์จะถูกกับดักที่ตัวเองวางเอาไว้จนได้รับบาดเจ็บ ทว่าริชาร์ดนั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ แม้นั่นจะเป็นเพียงครั้งแรกที่ได้ลอง แต่เขาก็สามารถเอาชนะปัญหาต่างๆได้ด้วยความพยายามและไม่ย่อท้อ ความสำเร็จของเขาได้รับคำชื่นชมจากผู้ใหญ่หลายคนในหมู่บ้าน ซึ่งบ็อบบี้เป็นผู้ที่ดูจะมีความสุขกับความสำเร็จของริชาร์ดมากที่สุด บ็อบบี้มองริชาร์ดเป็นเสมือนลูกชายของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้กันดี หากริชาร์ดยอมเรียกเขาว่าพ่อสักครั้งเขาอาจจะยอมปิดกิจการของตัวเองทันทีเลยก็ได้
ไม่กี่วันต่อมาริชาร์ดก็เริ่มชำนาญการใช้กับดักหลายชนิดมากขึ้น เขาเริ่มที่จะเข้าไปในป่าที่ลึกขึ้น และวางกับดักที่ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น สัตว์มายาขนาดใหญ่จะปรากฎออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราว และด้วยความโชคดีของเขา ครั้งนี้ลูกหมูป่าแคมแชทก้าก็ปรากฎตัวออกมาให้เขาเห็น กับดักที่ริชาร์ดวางเอาไว้ทำงานทันที ขาหน้าของลูกหมูป่าตัวนั้นถูกจับมัดท่ามกลางลวดหนาม เชือกหวาย เล็บเหล็ก และดูเหมือนว่ามันจะเป็นกับดักที่ทรงพลังและพิถีพิถันอย่างแท้จริง เพราะหมูตัวนั้นได้แต่ดิ้นรนในขณะที่ติดกับเท่านั้น ไม่สามารถหลุดออกมาเป็นอิสระได้ แม้ว่ามันจะดิ้นร่นอย่างหนักหน่วงก็ตาม
ในขณะที่ริชาร์ดซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล และสังเกตการณ์หมูที่กำลังดิ้นรน มือของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ นี่ป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีดล่าสัตว์ในมือเขามันไม่มั่นคง สัตว์ที่กำลังบาดเจ็บมีความอันตรายมาก และแม้หมูป่าตรงหน้าเขาจะเป็นเพียงลูกหมู แต่ก็ต้องระวังให้มาก เพราะตัวเขาเองก็เป็นเพียงคนเด็กคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อริชาร์ดมั่นใจแล้วว่าเหยื่อของเขาจะไม่สามารถหนีไปจากกับดักได้ เขาก็พุ่งตัวเข้าไป และในขณะที่กำลังจะไปถึงจุดที่หมูตัวนั้นติดกับอยู่ ริชาร์ดก็รู้สึกว่ามีแรงบางอย่างจากทางด้านหลังผลักให้เขาล้มลงไปบนพื้น เขารู้สึกได้ถึงเลือดที่อยู่เต็มปากและจมูก เขาได้ยินเสียงลูกธนูและเสียงร้องของหมู เขาได้ยินเสียงเชียร์ข้างๆ ด้วย และมันเป็นเสียงที่เขารู้จักดี
ริชาร์ดลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาทันได้เห็นเบรุตและเพื่อนๆ ที่โผล่ออกมาเมื่อไหร่ไม่รู้ หนึ่งในคนพวกนั้นผลักริชาร์ดให้ล้มลง และเบรุตก็เป็นคนยิงธนูออกไป เขายิงเข้าใส่จุดตายที่อยู่ตรงต้นคอของหมูป่า ซึ่งนั่นเป็นงานที่ยากแม้ว่าหมูจะติดกับดักอยู่ก็ตาม
“เจ้าขโมยเหยื่อของข้า!” ริชาร์ดตระหนักได้ทันทีว่าเบรุตและพวกของเขากำลังจะทำอะไร เขาจึงตะโกนออกไปด้วยความโกรธ
“ทุกคนเป็นพยานได้ว่าข้าเป็นคนยิงหมูตัวนั้นตาย แล้วเจ้าจะมาพูดได้ยังไงว่าข้าไปขโมยเหยื่อของเจ้า? เพราะว่ากับดักนั้นเป็นของเจ้า? ไม่ว่านักล่าคนไหนก็รู้ดีว่าว่ากับดักแบบนี้อย่างเก่งก็จับได้แค่กระต่ายเท่านั้นแหละ” เบรุตมองริชาร์ดตะโกนตอบริชาร์ดด้วยสายตาดูถูก
เขาสูงกว่าริชาร์ดเกือบ 1 หัว และมีร่างกายกำยำสมส่วนมากกว่าด้วย เขาเป็นลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้าน เขาแข็งเเรงกว่าเด็กทั่วๆ ไปที่มีอายุเท่าๆ กัน ในตอนนี้เขาเกือบจะเหมือนกับผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะหัวหน้าหมู่บ้านมักจะออกไปล่าสัตว์มายาที่ทรงพลังในระแวกนี้เสมอ เนื้อของสัตว์เหล่านั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายให้แก่คนที่กินมันเข้าไปได้
“งั้นทำไมพวกเจ้าถึงได้แอบตามข้ามาล่าหมูป่าที่นี่?” คำถามสวนกลับของริชาร์ดทำให้เบรุตน้ำท่วมปาก เขาได้แต่อ้ำอึ้งและมองไปที่คางและร่างกายที่อ่อนแอของริชาร์ด ถึงจะดูอ่อนแอ แต่พวกเขาก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าริชาร์ดเป็นคนที่ฉลาด พวกเขาได้ยินมาว่าริชาร์ดสามารถเขียนตัวหนังสือได้แล้ว แต่สำหรับนักล่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่องอะไรมากนัก เพราะตัวหนังสือพวกนั้นแทบไม่มีประโยชน์ต่อการล่าสัตว์ของพวกเขา
คำถามของริชาร์ดทำให้เบรุตโกรธ เขาขยับมือลงอย่างช้าๆ ส่งสัญญาณให้เด็กผู้ชายอีกสองคนเข้ามาด้านหลังของริชาร์ดและผลักเขาให้ล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง
ใบหน้าเล็กๆ ของริชาร์ดมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อยในขณะที่เขากำลังจะยันตัวลุกขึ้น เขากัดฟันและจับมีดล่าสัตว์เอาไว้แน่น ออร่าที่เขาปล่อยออกมาทำให้เด็กที่โตกว่าพวกนั้นรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาทันที แต่แล้วริชาร์ดก็เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะ และเบรุตก็อาศัยโอกาสนั้นเตะริชาร์ดให้ล้มลงไป เด็กคนอื่นๆที่เป็นพวกพ้องของเบรุตก็เข้ามารุมด้วย พวกเขาใช้เท้าเขี่ยมีดล่าสัตว์ของริชาร์ดเล่มนั้นออกไปและรุมกระทืบริชาร์ด เบรุตเหยียบหัวของริชาร์ดทำให้หัวของเขาจมลงไปในดิน
ร่างกายของเด็กๆ ที่เกิดบนภูเขาจะเต็มไปด้วยพละกำลัง และการลงมือของพวกเขาก็ค่อนข้างหนักหนา แต่ทว่าริชาร์ดกลับไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน หรือร้องขอความเมตตาเลยสักนิด เขาแค่อดทน และรอคอยความเจ็บปวดให้ผ่านพ้นไปอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันเบรุตก็ลงน้ำหนักเท้ารุนแรงขึ้นจากความโกรธในใจที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเห็นว่าริชาร์ดไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ เบรุตรู้สึกว่าที่ริชาร์ดทำเช่นนั้นเป็นเหมือนการเยาะเย้ยเขา
“จะยอมแพ้รึยัง?” เด็กหนุ่มเริ่มลงมือหนักขึ้นและหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ริชาร์ดกลับทำเพียงแค่ปล่อยให้พวกเขาลงมือได้ตามใจ เหมือนกับร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา ในที่สุดเบรุตก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เขากลัวว่าจะทำให้ริชาร์ดบาดเจ็บสาหัส ถ้าเป็นแบบนั้นตอนกลับไปถึงบ้านเขาต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่ที่เขาไปลงมือกับลูกชายของเอเลน ถ้าหากหัวหน้าหมู่บ้านพ่อของเขารู้จะต้องโมโหแน่
ในที่สุดกลุ่มเด็กหนุ่มก็หยุดมือ ริชาร์ดใช้เวลาสักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และเบรุตก็พูดอะไรใส่เขาอีก 3-4 คำ ก่อนที่จะแบกร่างของลูกหมูป่าขึ้นหลังแล้วจากไป หลังจากเบรุตและพวกหายลับไปจากสายตาแล้ว ริชาร์ดก็นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ต่ออีกเป็นเวลานาน ก่อนที่จะพยายามลุกขึ้นยืนและออกเดินช้าๆเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อเอเลนเห็นเนื้อตัวของริชาร์ดที่เต็มไปด้วยบาดแผล น้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมา และกลายเป็นเด็กชายที่ต้องปลอบมารดา เขาบอกกับนางว่าเขาสบายดีและไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากมาย เด็กชายจ้องมองแม่ของเขา หลังจากที่เขาได้รับการทำแผลเรียบร้อยแล้วเขาก็ถามขึ้น “ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ให้ข้าตอบโต้พวกเขาอีกเหรอ?”
“อืม!” เอเลนกัดฟันและพยักหน้าอย่างแน่วแน่
“งั้นก็ได้ ข้าจะไม่ตอบโต้หรอก แต่ข้าก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน” ริชาร์ดก็ตอนรับอย่างแน่วแน่เช่นกัน
หลังจากวันนั้นเบรุตยังคงสร้างปัญหาให้ริชาร์ดอยู่อีกหลายครั้ง เขารังแกริชาร์ดครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งก็เลวร้ายถึงขนาดที่ริชาร์ดไม่สามารถลุกกลับขึ้นมายืนได้ แต่เขาก็ยังคงไม่เคยขอความเมตตา และไม่ร่ำร้องโอดครวญด้วย ซึ่งในที่สุดเขาก็จะลุกกลับขึ้นมาได้เองทุกครั้ง และทุกครั้งหลังจากที่เบรุตและพวกทุบตีเขาจนเหนื่อยแล้วและเตรียมจะกลับ ริชาร์ดจะจ้องมองเบรุตเงียบๆ ด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากการจ้องมองซากศพเลยสักนิด
หลังจากถูกสายตาของริชาร์ดจ้องมองเช่นนั้นในครั้งแรก เบรุตก็เริ่มที่จะฝันร้ายในคืนนั้น เขาจะทรมานอยู่เป็นเวลาหลายวันในทุกๆ ครั้งที่เขารังแกริชาร์ด ความแตกต่างทางร่างกายของพวกเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ริชาร์ดก็ยังไม่เคยต่อต้าน เบรุตไม่เข้าใจว่าทำไมริชาร์ดถึงไม่เคยไปฟ้องหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นพ่อของเขาเลยว่าถูกเขารังแก ถ้าริชาร์ดทำเช่นนั้น อย่างน้อยพวกเขาจะต้องโดยแส้ฟาดแน่ แต่ว่าริชาร์ดก็ไม่เคยบอกใครในหมู่บ้านเลยสักครั้งเรื่องที่ถูกพวกเขารุมรังแก
เมื่อเวลาผ่านไปพวกเด็กหนุ่มพวกนั้นก็ค่อยๆ ลดการกระทำรุนแรงกับริชาร์ดลงไปเรื่อยๆ ในครั้งนี้ริชาร์ดยิ้มให้พวกเขาขณะที่เลือดกำลังหยดลงจากมุมปาก และนั่นทำให้พวกเขาพากันแยกย้ายกลับบ้านด้วยความสับสน และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้ทำร้ายริชาร์ด
— เมื่อริชาร์ดอายุ 8 ขวบ เขาก็เริ่มรู้จักความดื้อรั้น —