นครแห่งบาป City of Sin - ตอนที่ 0.1 COS – ปฐมบท (Part 1)
ฤดูใบไม้ผลิ เป็นฤดูที่จะหอบเอาความรู้สึกสบายใจมาสู่หลากหลายเผ่าพันธุ์เสมอ เสมือนเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้นใหม่ของทุกชีวิต พื้นแผ่นดินจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และช่วยให้โลกใบนี้คงอยู่ต่อไปได้
แน่นอนว่า ทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ…
บนโลกที่มีดินแดนแห่งชนเผ่าต่างๆจำนวนมาก มีทวีปกว้างใหญ่ และมีเผ่าพันธุ์นับล้าน มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน หากกะประมาณก็คงมีไม่น้อยกว่าพันล้านชีวิต หรือบางทีอาจจะมีมากเกินกว่านี้อีกมากมาย อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น
โลกนี้มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง แม้แต่เทพเจ้าก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด ชีวิตและความตายเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก พลังงานจากดวงดาวหล่อเลี้ยงทุกชีวิตขับเคลื่อนวัฏจักรแห่งการเกิดและตายให้หมุนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ดินแดนแห่งสวรรค์เองก็เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ม่านของดวงดาวระยิบระยับแขวนอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีเห็นได้อย่างเด่นชัดเมื่อมองขึ้นไปจากพื้นดิน ดวงดาวมากมายเหล่านั้น บ้างก็เป็นตัวแทนของความหวัง บ้างก็เป็นตัวแทนแห่งการทำลายล้าง ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานตั้งแต่กาลเวลาเริ่มต้น ในขณะที่ธรรมชาติอื่นๆก็คอยขับเคลื่อนความเป็นไปของโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับผู้คนทั่วไป โดยส่วนมากแล้ว ดวงดาวถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้า แต่นักปราชญ์บางคนกล่าวว่า ดวงดาวเป็นเสมือนตัวแทนแห่งดินแดนและโลกที่ไร้ขอบเขต แม้ดวงดาวจะมีอยู่มากมายนับจำนวนได้ไม่สิ้นสุด แต่ดวงดาวที่ถูกทำลาย กลับพบเห็นได้เพียงไม่กี่ดวง แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าดาวดวงไหน ในท้ายที่สุดแล้วก็ต้องล่มสลายไป เพียงแต่อาจไม่มีผู้ใดมองเห็นมันเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่มักจะหลงลืมความตาย จนกระทั่งความตายมาเคาะประตูบ้าน
เป็นเรื่องธรรมดาที่ ฤดูใบไม้ผลิ จะมาเยือนดินแดนส่วนต่างๆของโลก การมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิในทุกครั้งมีความสำคัญเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพลน*ที่มีความพิเศษแห่งนี้ ที่มีเพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้น และจะผันเปลี่ยนไปในทุกๆ 12 ปี สายลมอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิจะปลุกทุกสรรพสิ่งขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนาน ทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ของหลากหลายชีวิต และเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ทั่วทั้งเพลนจะเข้าสู่ช่วงเวลาที่เงียบสงัด หลายๆชีวิตเข้าสู่การจำศีล ทุกสรรพสิ่งคล้ายหยุดเคลื่อนไหวราวกับถูกความตายเข้าปกคลุม ทุกครั้งที่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไป กฎเกณฑ์หลักของเพลนนี้ก็จะผันแปรไปตามฤดูกาลด้วย
*เพลน = คำว่าเพลนในเรื่องนี้จะหมายถึงโลกต่างๆ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลาย และจัดเรียงกันอย่างสลับซับซ้อน
ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของเพลนนี้คือความงดงามทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ดวงอาทิตย์ 3 ดวงเด่นสง่าอยู่บนท้องฟ้า ถัดไปเป็นดวงดาวสีขาวขนาดใหญ่เรียงซ้อนเป็นแนวยาว แสงสว่างของดวงอาทิตย์และดวงดาวต่างๆสอดผสานรวมกัน ส่งเสริมพลังซึ่งกันและกัน จนทำให้สามารถสังเกตเห็นดาวมากมายบนท้องฟ้าได้แม้ในเวลากลางวัน สวยงามราวกับวงแหวนและแสงหลากสี แต่สิ่งที่ถือเป็นที่สุดของความงดงามบนโลกใบนี้คือ ดินแดนอันนับไม่ถ้วนที่เป็นล้วนมีเรื่องราวเป็นตำนานเล่าขานต่อๆกันมา
แม้บนเพลนนี้จะมีหลากหลายทวีป แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต พื้นที่ 1 ใน 6 ของเพลนคือผืนแผ่นดิน ถ้ามองลงมาจากบนท้องฟ้า จะเห็นว่าพื้นโลกส่องแสงที่ม่วงเข้มที่แสนงดงามและลึกลับ ดวงจันทร์บริวารที่โคจรรอบโลกมีทั้งหมด 6 ดวงแต่มีเพียง 3 ดวงที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางคืน ดวงจันทร์ทุกดวงมีสีเฉพาะตัว ซึ่งนั่นเป็นรากฐานของเวทมนตร์สำหรับ อารยธรรมของสิ่งมีชีวิตบนโลก
จากมุมมองบนท้องฟ้า จะเห็นภูเขา แม่น้ำ และผืนป่าที่ปกคลุมกระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดิน ย้อมโลกใบนี้ด้วยสีสันที่แตกต่างกันไป ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่สีม่วงก็ยังคงเป็นสีที่เด่นชัดและสำคัญมากที่สุด เทือกเขาขนาดยักษ์ครอบคลุมอาณาเขตกว้างใหญ่กว่า 1,000 กิโลเมตรและสูงไม่ต่ำกว่า 1,000 เมตร พบเห็นได้เป็นเรื่องปกติ เมืองหลากหลายขนาดจำนวนมากมายตั้งอยู่ตามแนวเทือกเขากระจัดกระจายอยู่ทุกพื้นที่ทั่วโลกมองดูสวยงามราวกับทะเลดวงดาว
เทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มียอดที่สูงสุด ที่สูงถึง 2,000 เมตร และดูคมกริบราวกับใบมีด บนเทือกเขานั้นเต็มไปด้วยตึกระฟ้า และสิ่งปลูกสร้างจากโลหะมากมายตั้งอยู่ เมื่อมองจากมุมสูงก็จะเห็นสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยสีม่วงของพื้นโลก มีการส่องสว่างและดับมืดลงราวกับเป็นจังหวะของชีวิต
ณ ศูนย์กลางของเมืองหลวงขนาดใหญ่ เป็นที่ตั้งของตึกสูงสีม่วงเข้ม ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ มียอดตึกสูงกว่า 3,000 เมตร ส่องแสงสว่างสีม่วงเจิดจ้าออกมา บนส่วนยอดของสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่นี้ ปรากฎร่างของชายรูปงาม สูงใหญ่กำยำ ร่างกายท่อนบนของเขาคล้ายกับมนุษย์ทั่วไป ในขณะที่ท่อนล่างมีลักษณะคล้ายกับขาม้าที่มีกีบขนาดใหญ่ ผิวหนังที่เป็นสีน้ำเงินช่วยขับความสง่างามแข็งแกร่งให้เด่นชัด หนวดนับ 10 เส้นสะบัดอยู่บริเวณแก้มและคาง ราวกับมีชีวิต ชายผู้นี้สวมชุดเกราะที่แปลกประหลาด ซึ่งทำจากโลหะแวววาว และบริเวณไหล่ของชุดเกราะดูคล้ายกับผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับร่างกายของเขา
ชายผู้นี้ดูจะมีอายุที่มากแล้ว บาดแผลและริ้วรอยบนใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย และมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ในห้องที่เขายืนอยู่ รอบๆตัวของเขาถูกรายล้อมไปด้วยอักขระมากมาย แม้จะคล้ายกับว่ามันเคลื่อนที่อย่างไร้ทิศทาง แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่ามันกำลังหมุนวนไปตามการโคจรของดวงดาว ผนังด้านหนึ่งของห้องที่อยู่เบื้องหน้าชายชราผู้นี้ มีลักษณะคล้ายแก้วที่โปร่งใส ทำให้เขาสามารถชื่นชมทิวทัศน์ของโลกภายนอก และความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองได้จากยอดเขาแห่งนี้ จากจุดที่เขายืนอยู่ สามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน และจากจุดเดียวกันนี้ ถ้าหากใช้สายตาที่เฉียบคมพินิจดูอย่างตั้งใจแล้วล่ะก็ จะให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูโลกทั้งใบอยู่
ชื่อที่เหมาะสมที่สุดสำหรับห้องแห่งนี้ ที่ทุกชีวิตใฝ่ฝันว่าจะได้มาเยือนสักครั้งก็คือ : ‘วิหารทไวไลท์’ ที่ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงเสียดฟ้า ตั้งอยู่บนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของโลก ทันใดนั้น แสงกระพริบภายในห้องก็เผยให้เห็นชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่กำยำ กำลังก้าวเท้าเข้ามาด้วยการก้าวเดินอันหนักหน่วง ด้วยกีบเท้าที่แข็งแกร่ง กล้ามเนื้อขาอันทรงพลัง และการย่ำเท้าที่หนักแน่นก่อให้เกิดแรงบดอัดมหาศาล ที่เสริมด้วยพายุอารมณ์ที่แสนร้อนรน ทำให้ทุกๆย่างก้าวของเขาก่อให้ประกายไฟของพื้นโลหะและทำให้ทั่วทั้งห้องสั่นสะเทือน แต่ทว่าพายุพลังอันเกรี้ยวกราดจากการก้าวเดินทุกย่างก้าวของเขา กลับไม่สามารถทำให้เกราะงดงามที่ไร้รอยขีดข่วนนั้นแปดเปิ้อนได้เลย
ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหาชายชรา คุกเข่ากับพื้นแล้วพูดขึ้น “ท่านชาแมน คนของข้าคงไม่สามารถยื้อเอาไว้ได้นานนัก ได้โปรดรีบไปจากที่นี้โดยเร็วเถอะ!”
ชายชราไม่ตอบรับ และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ใบหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก มีเพียงหนวดบนใบหน้าของเขาเท่านั้นที่ลู่ลง ปลายหนวดชี้ลงด้านล่างราวกับกำลังโศกเศร้า ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ เป็นช่วงเวลาที่โลกจะดูงดงามที่สุด เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างกลางวันและกลางคืน ดวงอาทิตย์สีม่วง 2 ดวงในเวลากลางวันกำลังจะลับหายไป ในขณะเดียวกันดวงจันทร์ 3 ดวงกำลังจะขึ้นมา เมื่อแสงสุดท้ายแห่งอาทิตย์อัสดงอาบไล้พื้นโลก เส้นขอบฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงหลากสีที่สะท้อนเข้ามาสู่ดวงตา ความมีชีวิตชีวาแห่งยามค่ำคืนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ที่นี่ช่างสมกับชื่อ ‘วิหารทไวไลท์’
** วิหารทไวไลท์ แปลไทย = วิหารสนธยา
ทว่ายามสนธยาของวันนี้ช่างแตกต่างไปจากทุกวัน ในวันนี้ราวกับถึงวันแห่งการล่มสลาย ลูกบอลแสงส่องประกายตลอดแนวเทือกเขากว้างใหญ่ เสาแห่งแสงนับร้อยพุ่งขึ้นสูงสู่ท้องฟ้า และเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเผาผลาญพื้นดินเบื้องล่างเป็นวงกว้าง หมอกควันและเถ้าถ่านจำนวนมากถูกพ่นออกมาปกคลุมท้องฟ้า ทั่วทั้งผืนฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตามืดมนไปด้วยสีเทาเข้มของกลุ่มควัน ท่ามกลางกลุ่มควันนั้น จุดสีดำๆจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังบินผ่านเทือกเขาไป มันกำลังไล่ต้อนและชนปะทะกันอย่างรุนแรง ในตอนนี้มีบางส่วนที่ตกลงมาสู่พื้นดินเบื้องล่างและเกิดเพลิงลุกไหม้ วิหารทไวไลท์กำลังสั่นสะเทือน แม้บาเรียจะสามารถป้องกันเสียงกึกก้องจากภายนอกได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นได้
ทันใดนั้น ก็ปรากฎภาพวัตถุขนาดใหญ่คล้ายดวงอาทิตย์สีแดงครอบครองพื้นที่ท้องฟ้าไปครึ่งหนึ่ง เงาขนาดใหญ่จำนวนมากข้ามท้องฟ้ามาอย่างง่ายดายราวกับกำลังเดินอยู่บนพื้นราบ มองดูจากระยะไกลยังไม่รู้แน่ชัดว่าคืออะไร แต่ถ้าหากมองดูใกล้ๆจะพบว่ามันคือสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่เท่าเมือง ครีบขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับร่างกายขนาดมหึมาของมันมองดูคล้ายกับใบของเรือสำเภา พวกมันดูเหมือนสัตว์ประหลาดจากทะเลดึกดำบรรพขนาดยักษ์ที่มนุษย์มักเคยได้ยินจากเรื่องเล่า ขนาดของพวกมันใหญ่โตอย่างเหลือเชื่อ
เมื่อสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ขยับตัวครั้งหนึ่งก็ส่งให้เปลวไฟปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง นั่นไม่ใช่ไฟจากเวทมนตร์หรือเปลวไฟจากสวรรค์ มันแทบไม่แผ่รังสีความร้อนใดๆ แต่ทว่ากลับสามารถเผาผลาญทุกอย่างได้ในชั่วพริบตา และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดับ! เปลวไฟนี้กวาดล้างเมืองมาเมืองแล้วเมืองเล่าอย่างน่าสยดสยอง ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทรมานและหวาดกลัว สิ่งไม่มีชีวิตมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านได้ในเสี้ยววินาที ขณะที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้นานกว่าเล็กน้อย พวกเขาจะได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ทนทุกข์ทรมาน และตายลงอย่างช้าๆ
กลุ่มของเมฆหมอกอีกกลุ่มปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า ที่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีสัตว์ประหลาดโบราณอีกตัวบุกมาถึงแล้ว เงาดำจำนวนมากรุกเข้าไปบนภูเขาและเข้าปะทะกับมัน บุรุษทั้งสองในห้องกระจกใสต่างก็รู้ดีว่า นักรบผู้กล้าแห่งชนเผ่าของพวกเขาเหล่านั้นกำลังเอาชีวิตไปทิ้ง เพื่อสู้กับศัตรูที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน การโจมตีของพวกเขากล้าหาญและเด็ดเดี่ยวมาก แต่มันก็ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง นักรบจำนวนมากถูกเปลวไฟแผดเผาก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปใกล้เจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ได้ และในที่สุดพวกเขาก็ถูกทำให้ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
เปลวไฟจำนวนมาก ตามด้วยแท่งน้ำแข็ง และสายฟ้า ถูกยิงขึ้นมาจากพื้น นักรบในดินแดนแห่งนี้ล้วนเชี่ยวชาญด้านการโจมตีระยะไกล แม้ว่าเวทมนตร์ของพวกเขาจะมีขนาดเล็ก แต่พลังทำลายล้างก็สูงมากพอที่จะทำให้ภูเขาพังราบไปได้ และแม้เวทมนตร์ที่พวกเขาใช้จะดูธรรมดาเมื่อมองจากระยะไกล แต่ด้วยชื่อของ อะซูเร่โรร์ วอยด์สไมท์ เบลซซิ่งไบนด์ ดราก้อนบีชและซันเดอร์ริ่งสแลช ถือเป็นเวทมนตร์ที่น่าเกรงขาม
แต่ทว่า แม้จะด้วยพลังระดับนั้น ก็ยังไร้ผลกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ ทำได้เพียงสกิดผิวหนังของมันเท่านั้น ไม่สามารถทำให้ร่างกายของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย
ชายหนุ่มยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น แต่สายตาของเขาทอดมองผ่านผนังกระจกใสออกไป ภาพสถานการณ์ภายนอกคุกรุ่นไปด้วยควันไฟ สายฟ้า และเปลวเพลิง แม้ทุกสิ่งจะเงียบงันไร้สุ่มเสียง แต่เขารู้ดี พลังของศัตรูนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะต้านทานได้ เขาเคยรับมือกับสัตว์ประหลาดพวกนี้มาก่อน ครั้งนั้นเขาเป็นหนึ่งในนักรบผู้กล้าหาญที่เข้าปะทะกับพวกมัน ตอนนั้นเขารอดชีวิตกลับมาได้ด้วยความแข็งแกร่งที่โดดเด่น เขาไม่ได้กลัวที่จะต้องแลกชีวิตกับพวกมัน แต่ในคร้งนั้นหน้าที่ในความรับผิดชอบของเขามีเพียงการเฝ้าดู
ชายหนุ่มผู้ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นหันกลับไปมองชายชราผู้ยังคงยืนนิ่ง เมื่อเขาพูดอีกครั้ง เสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ชาแมน มีเพียงแค่วอริเออร์ที่แข็งเเกร่งที่สุดของเราเท่านั้นที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับพวกมันได้ แม้เเต่เวทมนตร์ของเมจระดับเลเจนดารี่ของเราก็ยังไร้ประโยชน์ เทพเจ้าก็ยังไม่เข้าข้างพวกเรา การโจมตีของพวกเขาสูญเปล่าไม่ได้ต่างจากมดปลวกเล็กๆ เทพเจ้าทอดทิ้งพวกเราแล้ว”
“อย่าเพิ่งกังวล พวกเรายังมีอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่” ชายชราผู้ถูกเรียกขานว่าชาแมนพูดขึ้นช้าๆ
“แต่ว่า…” ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยทักท้วงบางอย่าง แต่เมื่อเหลือบเห็นบางสิ่งที่ด้านนอกจากทางหางตา เสียงของเขาก็ขาดหายไปในในทันที เขาหันกลับไปมองสถานการณ์หายนะนั้นอีกครั้ง พื้นดินกำลังสั่นสะเทือน ขณะที่มังกรมีปีกสีเงินยวงงดงามตัวหนึ่งปรากฎตัวขึ้นจากทิวเขาด้านหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป สิ่งมีชีวิตที่สง่างามทำให้บรรยากาศบริเวณโดยรอบภูเขาแห่งนี้สว่างสดใสขึ้นมาอีกครั้ง ขับไล่ความมืดมนจากเมฆหมอกและฝุ่นควันจากการการต่อสู้ให้เบาบาง มังกรสีเงินตัวนี้คืออสูรศักดิ์สิทธิ์ในร่างสุดยอด นางคือ ผู้พิทักษ์แห่งเพลนนี้ — มังกรน้ำแข็ง ‘เซร่า’
เซร่าแผดเสียงคำรามพร้อมกับพุ่งทะยานเข้าหาสัตว์ประหลาดตัวยักษ์จากด้านหลัง เพียงแค่เสียงคำรามของมังกรที่เคยเอาชนะศัตรูผู้รุกรานดินแดนมานับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ ก็รุนแรงและทรงพลังจนทำให้หอสังเกตการณ์เกิดรอยแตกร้าว นางเริ่มโจมตีด้วยกรงเล็บแหลมคม เขาแหลมที่ทรงพลังและพลังเวทมนตร์ที่รุนแรง แม้ว่านางจะดูตัวเล็กเมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่บนท้องฟ้า แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ศัตรูได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี สัตว์ประหลาดดึกดำบรรพ์ตัวแรกร่วงหล่นลงไปบนพื้น ท่วมกลางเสียงตะโกนเชียร์กึกก้องจากผู้คนทั่วทั้งดินเเดนที่มารวมตัวกันราวกับมหาสมุทร
“แต่พวกเรามีเซร่าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” ชายหนุ่มพูด จนถึงตอนนี้เขาก็ยังดูไร้ความหวัง ชาแมนถอนหายใจออกมาในที่สุด ‘หนุ่มคนนี้คือผู้ที่มีพรวรรค์ที่สุดในรอบหลายสิบปี ความแข็งเเกร่งของเขาถึงระดับเลเจนดารี่ขั้นสูงสุด เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถรอดมาจากการต่อสู้กับศัตรูที่น่าหวาดกลัวพวกนั้น ดังนั้นการคาดการณ์ของเขาก็คง…ไม่ผิด’
ริ้วรอยเหยี่ยวหย่นบนใบหน้าของชาแมนชัดเจนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับอายุของเขาเพิ่มขึ้นอีก 10 ปีในทันที เขาส่ายหน้าน้อยๆและถอนหายใจออกมาแรงๆครั้งหนึ่ง นั่นเองทำให้หนวด 2-3 เส้นบนใบหน้าของเขาลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน และสลายหายไปก่อนจะตกถึงพื้น
ไกลออกไป ณ จุดหนึ่งของขอบฟ้า ปรากฎภาพเสาแห่งแสงสีเทาซีดจางที่ดูราวกับจะเชื่อมต่อพื้นดินและท้องฟ้าเข้าด้วยกัน ตรงนั้นเป็นจุดที่เซร่ากำจัดศัตรูของนางได้ แต่ทว่าในเวลานี้ มังกรน้ำแข็งผู้งดงามกำลังถูกขังอยู่ภายในเสาแห่งแสง และพยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะหนีออกมาให้ได้ นางส่งเสียงครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อปีกสีเงินยวงของนางถูกทำลายลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักร่างกายของนางก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน หลงเหลือเป็นเพียงกองขี้เถ้าสีเงินคล้ายกองทรายที่ระยิบระยับงดงาม
“รีบไปเถอะชาแมน พวกเรายังมีเวลา ข้าสามารถเดินทางไปอีกเพลนหนึ่งด้วยสกิลของข้า ขอเพียงท่านยังมีชีวิตอยู่ ตำนานแห่งวิหารทไวไลท์ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป!” แม้แต่ในเวลาแบบนี้เสียงของเขาก็ยังเเน่วเเน่และเด็ดเดี่ยว เขาหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่ว่า หากเขาเปิดประตูวาร์ปไปในอีกดินแดนหนึ่งแล้ว นั่นก็เท่ากับว่า เขาต้องแลกด้วยชีวิตของเขา ด้วยจิตวิญญาณของเขา เพราะเขารู้ว่านี่คือความหวังสุดท้ายของโลกใบนี้
หนังสือสีแดงหนาหนักเล่มหนึ่งปรากฎขั้นในมือของชาแมน มันดูเก่าแก่และเต็มไปด้วยมนต์ขลัง เมื่อมันปรากฎขึ้นกลิ่นอายของความเก่าแก่โบราณก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ราวกับชาแมนกำลังถือประวัติศาตร์อันยาวกว่าหนึ่งพันปีทั้งหมดไว้ในมือ
“หนังสือแห่งนิรันดร!” ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายด้วยความหวัง เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าชาแมนยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งอยู่ในมือ
ชาแมนยังคงดูสงบเยือกเย็น ขณะที่เขาเปิดหนังสือออก ภาพที่ปรากฎบนหน้าแรก คือฉากที่เซร่ากำลังดิ้นรนอยู่ในเสาแสงสีเทา แม้ว่าภาพนั้นจะมัวหม่นเป็นสีเหลืองอ่อนซีดจางและไม่ชัดเจนนัก แต่ก็บีบหัวใจของพวกเขาจนแทบแหลกสลาย นี่เป็นภาพแห่งความสิ้นหวังอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มรู้จักพลังของหนังสือแห่งนิรันดร เขาเพียงเเค่จ้องมองไปที่ภาพ ก่อนที่จะเพ่งความสนใจไปที่มือของชาแมน โดยหวังว่าชายชราจะรีบเปิดไปยังหน้าถัดไปโดยเร็ว
ชาแมนเปิดหนังสือหน้าถัดไป หน้ากระดาษถูกพลิกเปิดช้าๆ เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังของกระดาษหน้านั้น
ทว่าสิ่งที่ปรากฎให้เห็นมีเพียงความว่างเปล่า! หลังจากผู้พิทักษ์คนล่าสุดดับสูญไป ก็ไม่มีบทถัดไปอีกแล้ว….
ใบหน้าของชายหนุ่มที่จ้องมองหน้าหนังสือนั้นเต็มไปด้วยด้วยความสับสนอย่างหนัก แต่ในใจของเขาเวลานี้กลับมีแต่ความว่างเปล่า
เสียงคร่ำครวญแห่งวันสิ้นโลกดังขึ้นภายนอก ทุกพื้นที่กำลังตกอยู่ในเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง เสาแห่งแสงปรากฎขึ้นมาทั่วทั้งดินแดนและกำลังทำลายล้างทุกสรรพสิ่งให้พินาศย่อยยับ
นั่นคือการเริ่มต้นของยุคสมัยที่ 6 ที่กำลังใกล้เข้ามา
และนั่น….. คือจุดจบ!