ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2207 หุ่นเชิดของเฉียน
เป่ยกงจั๋วใช้พลังวิญญาณธาตุน้ำแข็งในการตอบโต้ และพลังทั้งสองก็เข้าปะทะเข้าด้วยกัน
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
เมื่อเผชิญหน้ากัน ความแตกต่างของระดับพลังวิญญาณก็ทำให้มู่เฉียนซีต้องเสียเปรียบ
เพียงแต่เป็นเพราะความเร็วและการป้องกันของนาง จึงทำให้นางไม่ค่อยเสียเปรียบมากเท่าไรนัก
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
มู่เฉียนซีได้ระเบิดทักษะวิญญาณธาตุวายุออกมา และจากนั้นก็เข้าไปพัวพันกับเป่ยกงจั๋วทันที
“มังกรวารีจงบังเกิด!”
ตูมมมม โครมมม!
จากนั้นทั้งสองคนก็ประทะกันอย่างดุเดือด และรวดเร็วปานสายฟ้าแลบก็มิปาน
นอกจากนี้เป่ยกงจั๋วก็ได้พายอดฝีมือระดับสูงสุดมาด้วยถึงสองคน ซึ่งคนหนึ่งถูกชิงอิ่งจัดการ และอีกคนหนึ่งก็กำลังถูกมังกรวารีจัดการ
นอกจากจัดการกับเจ้าสองคนนี้แล้ว พวกเขายังต้องจัดการกับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณและผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงคนอื่นอีกด้วย ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาไปช่วยเหลือมู่เฉียนซีเลย
นอกจากนี้ พวกเขายังรู้ดีว่ามู่เฉียนซีต้องการที่จะจัดการเป่ยกงจั๋วด้วยตนเองอีกด้วย
ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ความกังวลภายในจิตใจก็ยากที่จะควบคุมได้ ซึ่งมันก็ทำให้ชิงอิ่งและมังกรวารีลงมืออย่างโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้นไปอีก
ต้องรีบจัดการเจ้าพวกเศษสวะเหล่านี้ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่าจะไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่ง แต่พวกเขาก็ยังสามารถคอยเฝ้าอยู่ข้างกายได้
และหากเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา พวกเขาจะได้ออกโรงช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีได้
สายลมพัดผ่านไปอย่างบ้าคลั่ง และเป่ยกงจั๋วก็กล่าวขึ้นมาว่า “เฉียนซีใช้พลังวิญญาณธาตุทั้งสามรังแกข้า นอกจากนี้พลังวิญญาณธาตุอัสนีของข้ายังไม่ส่งผลใด ๆ ต่อเจ้าอีกด้วย เพียงแต่ข้าเพิ่งจะได้เรียนรู้ทักษะวิญญาณธาตุอัสนีใหม่มาอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเจ้าอยากจะลองดูหน่อยหรือไม่?”
ทันใดนั้น ทั่วทั้งร่างของเป่ยกงจั๋วก็ถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้า
และทันทีที่ขาทั้งสองของเขาเคลื่อนไหว ร่างของเขาก็เหาะออกไป จากนั้นทั้งตัวของเขาก็กลายเป็นสายฟ้า ที่มีความเร็วถึงขีดสุด
“เงาอัสนีคำราม!”
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
มู่เฉียนซีใช้การเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตา แต่ถึงกระนั้นมันก็ยากที่จะหลบหลีกได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงทำให้นางเลือกได้เพียงยอมรับการโจมตีเท่านั้น
พลังวิญญาณธาตุทั้งสามชนิดระเบิดออกมา มู่เฉียนซีตะโกนอย่างเย็นชาว่า “มังกรวารีจงบังเกิด!”
“เพลิงนภาพิฆาต!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
“ทักษะซิวหลัว!”
พลังที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่ได้ระเบิดออกมาพร้อมกันในทันที แต่ก็ยากที่จะสกัดกั้นพลังในการโจมตีที่มากเกินไปของเป่ยกงจั๋วได้อยู่ดี
ตูมมมมม!
พลังอสนีบาตห่อหุ้มไปทั่วทั้งร่างของมู่เฉียนซี และพลังอสนีบาตนี้ก็แข็งแกร่งกว่าพลังที่เป่ยกงจั๋วเคยร่ายมาทั้งหมดถึงสามเท่าเลยทีเดียว
แต่ยังโชคดีที่ถึงจะแข็งแกร่งกว่าสามเท่าแต่ก็ยังไม่อาจคุกคามนางไดัมากเท่าไรนัก
แน่นอนว่าภัยคุกคามของมู่เฉียนซีต้องไม่ใช่พลังอสนีบาตเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่ว่ามันคือตัวของเป่ยกงจั๋วเองต่างหาก
เป่ยกงจั๋วในเวลานี้อยู่ห่างจากมู่เฉียนซีเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น และหลังจากนั้นเขาก็หยิบเอากริชออกมาและแทงเข้าไปอย่างรุนแรง
แม้แต่ทักษะวิญญาณธาตุอัสนีที่ทรงพลังขนาดนี้ยังไม่สามารถทะลวงผ่านเกาะป้องกันของมู่เฉียนซีไปได้เลย เช่นนั้นการโจมตีด้วยอาวุธในระยะประชิดล่ะ!
นอกจากนี้อาวุธในมือของเขายังเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพชั้นยอดขั้นสูงสุด ฉะนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่ามันจะไม่สามารถทำลายการป้องกันทางกายภาพของนางได้
ทันทีที่กริชเล่มนั้นปรากฏออกมามู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ และเมื่อทันทีที่มู่เฉียนซีโบกมือ ก็ได้มีเข็มยาจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกไป
เป่ยกงจั๋วคิดว่าตนเองมาถึงระยะที่สมบูรณ์ที่สุดในการโจมตีมู่เฉียนซีแล้ว แต่เขากลับไม่ได้สนใจว่าตนเองก็ตกอยู่ในอันตรายด้วยเช่นกัน
แต่นอกจากมู่เฉียนซีจะมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญตบะที่โดดเด่น จนคนในราชวงศ์ตงหวงไม่อาจเทียบได้แล้ว นางยังเป็นหมอปีศาจอีกด้วย
และเข็มยาของหมอปีศาจนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอเลย!
สีหน้าของเป่ยกงจั๋วเปลี่ยนไปอย่างมาก และเขาก็หลบหลีกเข็มยาเหล่านั้นด้วยความรวดเร็ว
เขารู้ดีว่า ของเล่นที่มู่เฉินซีเอาออกมาเหล่านี้เต็มไปด้วยพิษมากมาย และหากสัมผัสมันเข้า ก็คงยุ่งยากมากเลยทีเดียว
เป่ยกงจั๋วหลบหลีกการโจมตีของเข็มยาอย่างรีบร้อน และแน่นอนว่ากริชเล่มนั้นก็ต้องพลาดเป้าอยู่แล้ว
พลังป้องกันทางกายภาพของมู่เฉียนซีนั้นน่าทึ่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นการแทงในครั้งนี้จึงทำได้เพียงสร้างบาดแผลภายนอกให้กับมู่เฉียนซีเท่านั้น
เป่ยกงจั๋วไม่ได้โดนวางยาพิษ และในฐานะที่มู่เฉียนซีเป็นเจ้านายของหม้อเทพนิรันดร์ จึงทำให้นางมีพรสวรรค์ในการปรุงยาที่น่าทึ่งมาก ถึงนางจะทำยาพิษที่ยอดเยี่ยมออกมาแต่อาจจะไม่ได้ผลเสมอไปก็เป็นได้
นอกจากนี้เขายังคิดว่าตนเองมีความสามารถพอที่จะจัดการนางได้ ซึ่งเดิมทีแล้วเขาแทบไม่จำเป็นต้องกังวลเลย
ฟิ้ว ฟิ้วว ฟิ้วว!
หลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็ปล่อยเข็มยาออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีอาวุธลับอีกด้วย ซึ่งมันก็ได้พุ่งเข้าไปหาเป่ยกงจั๋วอย่างรวดเร็ว
เป่ยกงจั๋วหลบหลีกอย่างรีบร้อน และดาบวายุก็พุ่งเข้าโจมตีจากทั่วทุกทิศทาง ซึ่งมันก็ได้ตัดไปโดนเส้นผมสีดำขลับของเขาอีกด้วย
ด้วยความพยายามเพียงพริบตาเดียว ทั้งสองก็ได้ปะทะกันอีกนับครั้งไม่ถ้วน
เป่ยกงจั๋วได้พยายามใช้ไพ่ตายทั้งหมดออกมา และค่อย ๆ กดดันไปทีละขั้น จนมู่เฉียนซีเริ่มที่จะเสียเปรียบขึ้นมาแล้ว
“มู่เฉียนซี ข้าไม่ใช่คนโง่เง่าเหมือนผู้หญิงอย่างมู่หลินหลางหรอกนะ”
หากบอกว่าเป็นเพราะประสบการณ์ในการต่อสู้จริงของมู่หลินหลางไม่เพียงพอ จึงทำให้มู่เฉียนซีสามารถหาช่องโหว่จนเอาชนะนางได้แล้วล่ะก็ เป่ยกงจั๋วก็คงถือได้ว่าไม่มีปัญหาเช่นนั้นเลย
เพราะร่างขององค์รัชทายาทเป่ยกงผู้นี้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มาอย่างเพียงพออยู่แล้ว เขาเคยเข้าร่วมสนามรบ และผ่านประสบการณ์ที่อันตรายถึงชีวิตมานับไม่ถ้วนแล้วเช่นกัน
สำหรับเขาเมื่อเทียบกับมู่หลินหลาง มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!
ด้วยการใช้ทักษะวิญญาณธาตุน้ำแข็งที่บริสุทธิ์ในการโจมตีเพียงอย่างเดียว ทำให้เกิดเสียงแหวกอากาศของมีดน้ำแข็งพุ่งเข้าจู่โจมมู่เฉียนซีจำนวนนับไม่ถ้วน
พลังในการโจมตีของเขามีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งหากถูกโจมตีเข้าแล้วละก็ จะต้องเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีเป็นแน่!
และแล้วเลือดสด ๆ ก็กระเซ็นออกมา นั่นเป็นเพราะว่าตอนนี้มู่เฉียนซีได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งอาการบาดเจ็บของนางก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
กลิ่นเลือดของมู่เฉียนซี ได้กระตุ้นทั้งมังกรวารีและชิงอิ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชิงอิ่ง
ในการตื่นขึ้นมาอีกครั้งของเขา คิดไม่ถึงเลยว่าจะปล่อยให้เฉียนบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้จริง ๆ
ลำแสงสีเขียวอ่อนระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน และดูเหมือนว่าต้นไม้ทั่วทั้งหุบเขาจะถูกเรียกให้มารวมตัวกันอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งพวกมันได้อุทิศพลังอันเล็กน้อยของตนเองส่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว|
ร่างเงาของชิงอิ่งพุ่งผ่านไป และพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็ทำให้ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณผู้นั้นหายใจไม่ออกอย่างกะทันหัน
“พรวด พรวด พรวด!”
สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนซีดเผือดจนกระอักเลือดออกมา จากนั้นพวกเขาก็ถูกเถาวัลย์รัดแน่นจนตาย และเหลือผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณขั้นสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้น
เขาจ้องมองชิงอิ่งด้วยความหวาดกลัวสุดขีด และกล่าวว่า “จะ…เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่? เจ้าต้องไม่ใช่มนุษย์แน่นอน”
เขาไม่มีทั้งกลิ่นอายของวิญญาณ และไม่มีพลังวิญญาณ แต่กลับสามารถควบคุมพืชพันธ์ุในเทือกเขาแห่งนี้ได้ อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของพวกมันได้อีกด้วย
ถึงเขาคิดว่าตนเองนั้นจะเผชิญโลกมามากมายแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
“ข้าไม่ใช่มนุษย์! ข้าคือหุ่นเชิดของเฉียน! เป็นผู้พิทักษ์ของนาง และคนที่กล้าทำร้ายนาง จะต้องตาย!”
ร่างเงาสีเขียวสว่างวาบขึ้น จากนั้นก็พุ่งไปทางผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณขั้นสูงสุด และผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณผู้นั้นก็รู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามไร้ทางต่อต้าน
ภายในใจของเขาในเวลานี้คิดเพียงว่า หุ่นเชิดหรือ ไปหลอกผีเถอะ! คิดว่าเขาเป็นคนบ้านนอกคอกนา ที่ไม่เคยเห็นหุ่นเชิดมาก่อนหรือไง
หุ่นเชิดจะมีสถาพเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
ถึงเป่ยกงจั๋วลงมืออย่างโหดเหี้ยมมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่มู่เฉียนซีก็สามารถใช้การเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตาหรือใช้การป้องกันทางกายภาพต้านทานเอาไว้ได้ทุกครั้ง
และถึงแม้ว่านางจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บในจุดสำคัญ เพียงแต่ว่าบาดแผลของนางดูรุนแรงมากไปหน่อยก็เท่านั้น
ทว่าถึงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พลังในการต่อสู้ของมู่เฉียนซีนั้นกลับแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
เนื่องจากการต่อสู้กับเป่ยกงจั๋ว ทำให้เกิดความท้าทายมากยิ่งขึ้น และถึงนางจะใช้ความสามารถทั้งหมด แต่ก็ยังคงห่างชั้นจากเขามากอยู่ดี
และด้วยช่องว่างเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้นางยอมแพ้เท่านั้น แต่กลับทำให้นางปรารถนาที่จะแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย
ความรู้สึกเช่นนี้ หากเป็นคนอย่างมู่หลินหลางคงไม่มีทางทำให้นางรู้สึกถึงมันได้อย่างแน่นอน
เป่ยกงจั๋วกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ เจ้าไม่คิดที่จะยอมแพ้เลยหรือ? บางทีการโจมตีครั้งต่อไปของข้า อาจจะเป็นการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตเลยก็ได้นะ”
“ทักษะซิวหลัว!”
ตอนนี้มู่เฉียนซีคิดเพียงแค่ว่าจะต้องเคลื่อนไหวอย่างไรเท่านั้น และนางก็ไม่ได้สนใจคำพูดที่ไร้สาระของเป่ยกงจั๋วเลยแม้แต่น้อย
“แต่อย่างว่า! ซีเอ๋อร์ย่อมมีวิธีที่จะรักษาชีวิตเอาไว้อยู่แล้ว และหากว่าการโจมตีที่รุนแรงครั้งนี้อาจจะคร่าชีวิตของเจ้าได้ ทว่าข้าก็ไม่คิดที่จะเกรงใจเจ้าแม้แต่น้อย” เป่ยกงจั๋วกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ด้วยกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกทำให้บนพื้นโดยรอบมีน้ำแข็งเกาะขึ้นมาชั้นหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เป่ยกงจั๋วก็ต้องการที่จะระเบิดการโจมตีขั้นสูงสุดของเขาออกมาจริง ๆ
ลำแสงของสายฟ้าสว่างวาบขึ้น และทันใดนั้นพลังวิญญาณธาตุทั้งสองชนิดก็ปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นเป่ยกงจั๋วก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ราชันย์เหมันต์แสงอัสนี!”