ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2203 ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
ตูมมม!
เสี่ยวโม่โม่เริ่มต่อสู้กับสัตว์เทพนกทั้งสองตัวนี้ทันที
เพลิงหงส์อมตะแห่งความมืดระเบิดออกมา และเข้าไปพัวพันกับสัตว์เทพนกทั้งสองตัวนี้ไว้
พวกมันได้รับการฝึกฝนจนกลายเป็นสัตว์เทพ นอกจากนี้ขนของพวกมันก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ฉะนั้นถึงแม้ว่าเปลวเพลิงจะรุนแรงเพียงใดก็ไม่อาจแผดเผาพวกมันได้
แต่ทว่าเปลวเพลิงของเจ้าหงส์น้อยตัวนี้กลับสามารถแผดเผาพวกมันจนโกร๋นได้ และพวกมันก็ถูกเผาจนโกร๋นไปหมดแล้ว!
“เจ้าไม่ใช่ว่าเป็นหงส์นิล…”
“ที่จริงแล้วเจ้าคือหงส์อะไรกันแน่? เปลวเพลิงนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งความมืด มันจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว”
สายเลือดของเสี่ยวโม่โม่นั้นอยู่เหนือกว่าพวกมันมาก เพียงแค่แรงกดดันทางสายเลือดก็สามารถปราบปรามพวกมันได้แล้ว ยิ่งเมื่อรวมกับเพลิงหงส์อมตะแห่งความมืดอันแข็งแกร่งนี้ จึงทำให้สัตว์เทพนกทั้งสองชนิดนี้ไม่มีทางเทียบมันได้เลย
มู่หลินหลางก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าสัตว์พันธสัญญาของนางที่อยู่ในระดับเดียวกันจะไม่สามารถสู้แบบสองต่อหนึ่งได้ นี่สัตว์พันธสัญญาทั้งสองตัวนี้เป็นตัวไร้ประโยชน์แบบใดกันแน่?
พลังธาตุวายุบนร่างกายของนางระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ตะโกนอย่างเหลืออดว่า “มู่เฉินซี ข้าจะสู้กับเจ้า!”
ในเมื่อสัตว์พันธสัญญาไว้ใจไม่ได้ มู่หลินหลางจึงทำได้เพียงต่อสู้กับมู่เฉียนซีอย่างสุดความสามารถเท่านั้น
“หงส์รุ้งจิ่วเทียน!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
“เพลิงนภาพิฆาต!”
ความเร็วของกระบวนท่าของมู่เฉียนซีรวดเร็วเป็นอย่างมาก มู่หลินหลางร่ายไปเพียงแค่กระบวนท่าเดียว แต่นางกลับโจมตีกลับมาด้วยพลังธาตุสองชนิดพร้อมกันในคราวเดียว
แม้ว่าระดับความสามารถของมู่หลินหลางจะสูงกว่ามู่เฉียนซีมากจนเป็นข้อได้เปรียบ แต่กลับมีสภาพที่ค่อนข้างน่าสมเพชเลยทีเดียว
ในฐานะที่เป็นจอมภูตพลังธาตุคู่เช่นเดียวกัน การควบคุมพลังธาตุวายุกับวารีของนางนั้นด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับการควบคุมธาตุวายุกับอัคคีของมู่เฉียนซี
เสด็จพ่อของนางคือจอมภูตพลังธาตุวารี และเชื้อพระวงศ์สายตรงของราชวงศ์ตงหวงส่วนใหญ่ต่างก็เป็นจอมภูตพลังธาตุวารีกันทั้งนั้น ซึ่งการที่จะกลายเป็นจอมภูตพลังธาตุคู่วายุวารีนั้นจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
เนื่องจากว่าได้รับมาง่ายเกินไป บวกกับมีทักษะวิญญาณระดับสูงของตระกูลมู่ที่ต้องเรียนรู้อีกมากมาย จึงทำให้นางไม่ค่อยได้ใช้เวลาไปกับการพยายามใช้พลังธาตุคู่มากเท่าใดนัก
นอกจากนี้นางยังคิดว่าตัวนางถูกกำหนดให้กลายเป็นอัจฉริยะที่เจิดจ้าที่สุดของแดนซวนเทียน ซึ่งความสามารถเพียงสองอย่างจึงไม่เพียงพออย่างสิ้นเชิง
หากนางสามารถมีพลังธาตุสามชนิดขึ้นไปได้ นางก็จะกลายเป็นคนโดดเด่นที่สุด และทำให้คนทั้วทั้งแดนซวนเทียนไม่อาจเทียบชั้นกับนางได้เลย
และหากได้ผูกสัญญากับมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็จะได้รับสืบทอดพลังวิญญาณธาตุมาด้วยหนึ่งชนิด ซึ่งมันมีความแข็งแกร่งกว่าพลังวิญญาณธาตุที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเสียอีก
ดังนั้นตั้งแต่นางได้รู้ข่าวเกี่ยวกับกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณแห่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ นางก็อยากได้รับพลังวิญญาณธาตุอัคคีเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ฉะนั้นนางจึงให้อวิ๋นซิวออกไปเสาะหามาให้
แต่ทว่าหลังจากที่เจ้าหมอนั่นหามามากกว่าสิบปี กลับพบว่ามีคนอื่นเป็นเจ้าของมันไปแล้ว
ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็เป็นอีกหนึ่งคนที่นางเกลียดชังอย่างที่สุด จนแทบทนที่จะฆ่านางโดยเร็วไม่ไหว และคนผู้นั้นก็คือมู่เฉียนซีลูกสาวของมู่เฟิงอวิ๋นนั่นเอง
ซึ่งนั่นก็ส่งผลนางในตอนนี้เป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุคู่ที่ไม่ได้พิเศษอะไรเลย!
“หงส์รุ้งสิบแปดปีก!”
“ทักษะซิวหลัว!”
“เพลิงนภาพิฆาต!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
ปัง ปัง ปัง!
นางไม่มีทั้งข้อได้เปรียบทางความเร็ว อีกทั้งไม่มีข้อได้เปรียบเรื่องการป้องกัน และแม้ว่ามู่หลินหลางจะไม่ยอมให้มู่เฉียนซีเอาชนะนางได้เร็วเกินไปนัก แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ก็เป็นไปอย่างยากลำบากมากอยู่ดี
แต่ในทางกลับกันเป่ยกงจั๋วที่บอกว่าจะมาล้างแค้นให้นาง เวลานี้กลับไปจัดการกับลูกสมุนเล็ก ๆ เหล่านั้น และไม่คิดจะมาจัดการกับมู่เฉินซีเลย
คำพูดทุกคนของเจ้าหมอนั่นล้วนไร้สาระทั้งสิ้น อีกทั้งไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย!
แต่จำเป็นต้องให้เขาเข้ามาช่วยเหลือ ขอเพียงเป่ยกงจั๋วออกโรง พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
มู่หลินหลางกล่าวว่า “เป่ยกงจั๋ว ยังไม่รีบมาลงมืออีก! เจ้าไม่ได้บอกว่าจะฆ่ามู่เฉินซีเพื่อแก้แค้นให้กับข้าอย่างนั้นหรือ?”
เป่ยกงจั๋วเลิกต่อสู้กับคู่ต่อสู้ตรงหน้า และมุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ถึงเวลาที่เขาควรจะลงมือแล้วสินะ
ร่างสีเงินสว่างวาบขึ้น และเป่ยกงจั๋วก็พุ่งไปถึงข้างกายของมู่หลินหลางทันที
ที่มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มที่อบอุ่นออกมา จากนั้นก็มองไปทางมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “แม่นางมู่ พวกเราพบกันอีกแล้วนะ”
รูปร่างหน้าตาของนางที่สะท้อนอยู่ภายในดวงตาทั้งคู่นั้นของเขา เป็นเพียงหน้าปลอมเท่านั้น
มู่เฉียนซีแน่ใจว่า เป่ยกงจั๋วคาดเดาได้แล้วว่านางก็คือมู่เฉียนซี
และที่มู่หลินหลางเดาไม่ออก เพราะมู่หลินหลางคิดไม่ถึงว่านางจะมาถึงแดนซวนเทียนได้รวดเร็วถึงเพียงนี้นั่นเอง
นอกจากนี้นางก็ได้เปิดเผยตัวตนในการต่อสู้กับเป่ยกงจั๋วก่อนหน้านี้ไปแล้ว ฉะนั้นเขาจึงรู้ว่านางมาถึงแดนซวนเทียนแล้ว บวกกับการปรากฏตัวของหอหมอปีศาจ จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะสามารถคาดเดาตัวตนของนางได้!
ถึงแม้ว่าเป่ยกงจั๋วจะคาดเดาสถานะของนางได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้บอกให้มู่หลินหลางรับรู้แต่อย่างใด
ซึ่งมู่เฉียนซีก็สามารถคาดเดาได้ว่า ภายในใจของชายหนุ่มที่เลือดเย็นราวกับอสรพิษก็มิปานผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่
เขาต้องการที่จะกลืนกินมันแต่เพียงผู้เดียว กลืนกินสิ่งของทั้งหมดที่เป็นของนาง และไม่คิดที่จะแบ่งให้กับราชวงศ์ตงหวงเลยแม้แต่ส่วนเดียว!
นอกจากนี้ หากสถานะของนางถูกราชวงศ์ตงหวงล่วงรู้ ราชวงศ์ตงหวงคงไม่ต้องการส่วนแบ่งเพียงส่วนเดียวอย่างง่ายดายเช่นนั้น แต่เกรงว่าราชวงศ์ตงหวงคงไม่มอบสิ่งใดให้เป่ยกงจั๋วเลยแม้แต่อย่างเดียวเช่นกัน!
มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่เป่ยกงจั๋ว นี่มันคือร่างของเสี่ยวไป๋นะ!
“เป่ยกงจั๋ว ไม่เจอกันนานเลยนะ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย
มู่หลินหลางผงะไปครู่หนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าทั้งสองจะรู้จักกันด้วย?”
เป่ยกงจั๋วกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เราเคยพบกันโดยบังเอิญไม่กี่ครั้ง แต่หญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาเหมือนแม่นางมู่ แม้ว่าจะเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่มันก็ทำให้ข้าจดจำได้อย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษ ซึ่งมันยากที่จะลืมเลือนได้เลยทีเดียว”
ไม่แน่ว่าที่ภายในใจของเป่ยกงจั๋วเกลียดชังนางมากถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะนางบีบให้เขาไปอยู่ในจุดที่อับอายมากมาแล้วหลายครั้งก็เป็นได้
สุดท้ายจึงเป็นผลให้เจ้าหมอนี่มักจะใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยความรักใคร่อย่างหนักแน่นเช่นนี้ ซึ่งมันก็ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่เสมอ
ใบหน้าของมู่หลินหลางมืดมนไปในทันที มู่เฉียนซีจะต้องคิดว่าบนศีรษะนางกลายเป็นทุ่งหญ้าผืนหนึ่งเพราะคู่หมั้นนอกใจไปแล้วเป็นแน่
เปลวเพลิงของความเกลียดชังที่ลุกโชนอยู่ภายในใจของมู่หลินหลางตอนนี้ ทำให้รู้ว่านางไม่ได้มีความรู้สึกต่อเป่ยกงจั๋วเลยแม้แต่นิดเดียว
การตกลงแต่งงานของทั้งสองคนเป็นเพียงเพราะต้องการรักษาความสงบสุขเพียงแค่ผิวเผินของทั้งสองราชวงศ์ใหญ่เท่านั้น
แต่การที่เป่ยกงจั๋วแสดงความสนใจหญิงคนอื่นต่อหน้าเช่นนี้ อีกทั้งคนผู้นั้นยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของนางอีกด้วย ฉะนั้นมันจึงทำให้ภายในใจของมู่หลินหลางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“มู่เฉินซี เจ้าตายไปเสียเถอะ!”
มู่หลินหลางระเบิดพลังออกมาอย่างกะทันหัน และด้ายจักรพรรดิทองคำที่อยู่ภายในมือของนางพุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซีจนเกิดเสียง ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว… ออกมา
นางกล่าวว่า “เป่ยกงจั๋ว ไม่ว่าเจ้ากับผู้หญิงคนนี้จะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรก็ตาม แต่วันนี้จะต้องจัดการนางให้ได้ นี่คือเรื่องที่เจ้ารับปากกับเสด็จพ่อของข้าเอาไว้”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” และเป่ยกงจั๋วก็ลงมือทันที
เป่ยกงจั๋วรู้ดีว่าพลังอัสนีไม่มีผลต่อมู่เฉียนซี ฉะนั้นเขาจึงใช้เพียงพลังวิญญาณธาตุน้ำแข็งเท่านั้น
ร่างของเขานั้นเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที และเขาก็ต่อสู้กับมู่เฉียนซีโดยที่ไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งการไร้ความเมตตาเช่นนี้ ทำให้มู่หลินหลางวางใจเป็นอย่างมาก
เป่ยกงจั๋วเป็นผู้ชายที่น่ากลัวคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นคนที่เขาน่าสนใจ แต่เขาก็จะทำเพื่อส่วนรวม และไม่สนใจถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างแน่นอน
สำหรับคู่หมั้นคนนี้ ถือว่ามู่หลินหลางพอมีความเข้าใจอยู่บ้าง
หากเป็นมู่หลินหลางเพียงคนเดียวมู่เฉียนซีก็ยังพอที่จะรับมือได้ แต่หากมีเป่ยกงจั๋วเพิ่มมาด้วยอีกคนมันก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาทันที เพราะเป่ยกงจั๋วนั้นแข็งแกร่งกว่ามู่หลินหลางมากมายนัก
“เพลิงนภาพิฆาต!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
ตูมมมม!
เมื่อเผชิญหน้ากับการร่วมมือกันโจมตีของพวกเขา มู่เฉียนซีก็ได้ตกอยู่ในสถานะที่เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างสมบูรณ์ นางได้อาศัยความเร็วของการเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตาเพื่อหลบหลีก และใช้ทักษะทางร่างกายในการป้องกัน
เป่ยกงจั๋วกล่าวว่า “แม่นางมู่ หากเจ้าใช้พลังเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ อีกไม่นานเจ้าก็จะต้องถูกข้าจับได้เป็นแน่ เจ้าในตอนนี้เป็นคู่ต่อสู้ของพวกข้าไม่ได้หรอก”
“การที่ข้าไม่ได้แสดงความสามารถทั้งหมดออกมา มันก็เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่หรือ? เป่ยกงจั๋ว” มู่เฉียนซีแสยะยิ้ม
เป่ยกงจั๋วไม่ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกมา ไม่เพียงแต่เพราะเขาต้องการที่จะซ่อนความสามารถที่แท้จริงต่อหน้าคนของราชวงศ์ตงหวงเท่านั้น แต่ยังไม่อยากที่จะบีบมู่เฉียนซีจนถึงทางตันและควักเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ออกมาอีกด้วย
เมื่อมู่หลินหลางได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “อะไรกัน? ตอนนี้ไม่ใช่ความสามารถทั้งหมดของมู่เฉินซีอย่างนั้นหรือ ก็เห็นอยู่ว่าตอนนี้นางก็วิปลาสมากอยู่แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอก เป่ยกงจั๋ว ที่จริงแล้วเจ้ารู้เรื่องอะไรอีกบ้างกันแน่?”
เป่ยกงจั๋วพูดกับมู่หลินหลางด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นความลับ! ข้าจะต้องรักษาความลับให้กับแม่นางมู่ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถบอกองค์หญิงหลินหลางได้”
“เพื่อศัตรูเพียงคนเดียว ต้องมารักษาความลับอะไรอีก?” มู่หลินหลางกล่าวอย่างเดือดดาล
“นี่มันเป็นเรื่องของหลักการ!”
มู่หลินหลางกัดฟันกรอดพลางตะโกนว่า “เป่ยกงจั๋ว! เจ้านี่มันช่างดีจริง ๆ!”