ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2147 จับเด็กซนนั่นไว้
ถึงทางบนเขาจะขรุขระ แต่สำหรับผู้ที่ฝึกฝนพลังวิญญาณนั้นกลับไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่อะไรเลย
ตลอดทางนั้นมีทั้งไอเย็น ไอแห่งความตาย หรือแม้กระทั่งไฟป่าที่กำลังถูกเผาไหม้อยู่ริมทางด้วย
กิ่งก้านที่อายุนับพันปีมีใบไม้เขียวชอุ่ม ซึ่งมันก็ทำให้แสงแดดไม่อาจสาดแสงลงมาได้ และที่แปลกยิ่งไปกว่านั้นคือมันมีโลงศพสีแดงเลือดแขวนอยู่เหนือหัวจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
เสียงของสายลมที่พัดผ่าน ทำให้รู้สึกราวกับมีสิ่งของบางอย่างกำลังพุ่งออกมาอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขารู้สึกราวกับว่าได้เข้ามายังโลกที่แปลกประหลาดมากที่สุดโลกหนึ่ง แต่ทว่าว่านซือเยี่ยนกลับนิ่งสงบอย่างผิดปกติ
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “ว่านซือเยี่ยน! เจ้าเคยมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
ว่านซือเยี่ยนไม่ยอมตอบกลับ และสั่งให้คนของตนเองรีบเร่งตรงไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด
อย่างไรเสียตลอดทางมานี้ทิวทัศน์ที่พบเห็นได้มากที่สุด ก็คือโลงศพในรูปทรงต่าง ๆ ที่ถูกจัดวางในหลากหลายรูปแบบ
กลุ่มของพวกเขาเดินหน้าไปอย่างสงบ แต่สีหน้าของแต่ละคนในกลุ่มที่ขึ้นเขามาหลังจากนั้นกลับดูแย่เป็นอย่างมาก
“อ๊ากกก! นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?”
“ศิษย์พี่ มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! พวกเรากลับกันเถอะ! สถานที่ที่อึมครึมถึงเพียงนี้ จะไปมีไม้เทพแห่งชีวิตได้อย่างไร? สำนักภูตวิญญาณนั้นโกหกแน่!”
“ท่านอาจารย์…”
คนกลุ่มหนึ่งสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวจนแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว
“สำนักภูตวิญญาณเป็นหนึ่งในสิบสำนักที่ลึกลับที่สุดของราชวงศ์ตงหวง ในเมื่อมาแล้วก็ควรจะไปเที่ยวชมกันสักหน่อยเถอะ โอกาสที่พวกเขาจะปรากฏตัวในโลกนี้มีไม่มากนัก ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่เกิดขึ้นมาอีกเป็นเวลาหลายสิบปีเลยก็ได้”
“พวกเราไม่ได้อยากมีโอกาสในการเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้เสียหน่อย” พวกเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวจนจะหมดสติอยู่แล้ว!
สำนักภูตวิญญาณนี้ไม่ได้แปลกประหลาดอย่างธรรมดาเลยจริง ๆ
หลังจากที่เดินทางมาไก้สักพัก มู่เฉียนซีและว่านซือเยี่ยนก็เห็นเข้ากับประตูใหญ่ของสำนักภูตวิญญาณแล้ว
ทันทีที่พวกเขาเหยียบลงไปบนบันได ประตูใหญ่นั้นก็เปิดออกมาอย่างกะทันหัน
แอ๊ด แอ๊ด แอ๊ด!
บานประตูหลายบานถูกเปิดออกมาติดต่อกัน ราวกับกำลังต้อนรับแขกผู้มีเกียรติก็มิปาน
หลังจากที่ว่านซือเยี่ยนเดินเข้าไปแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักภูตวิญญาณก็ปรากฏตัวออกมา
คนเหล่านี้คือมนุษย์ เพียงแต่สีหน้าของพวกเขาไม่ได้ขาวอย่างผิดปกติ ซึ่งมันก็ทำให้มู่เฉียนซีนึกถึงอากุ่ยขึ้นมาทันที
ผิวพรรณนั้นมีความคล้ายคลึงกับอากุ่ยมาก แต่ทว่าอากุ่ยมีหน้าตาที่หล่อเหลากว่าพวกเขามากมายนัก
“ท่านแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน เชิญทางด้านนี้ขอรับ!”
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “ข้าต้องการพบเจ้าสำนักของพวกเจ้า?”
“ก่อนที่แขกทั้งหมดจะมารวมตัวกัน เจ้าสำนักของพวกเราจะไม่พบแขกท่านอื่นก่อนขอรับ! รอหลังจากที่แขกทั้งหมดมารวมตัวกันหมดแล้ว เจ้าสำนักของพวกเราจะเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่แขกทุกท่านสงสัยเอง”
ลูกศิษย์ของสำนักภูตวิญญาณมีไม่มากนัก เนื่องจากว่าพวกเขาไม่เคยรับลูกศิษย์จากภายนอกเลย
ซึ่งลูกศิษย์สำนักในล้วนเป็นทายาทของผู้อาวุโสในสำนักทั้งนั้น และมันก็ได้รับการสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย
ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานในเรื่องนี้ ว่านซือเยี่ยนก็ไม่อาจที่จะบังคับให้พาไปหาเจ้าสำนักของพวกเขาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ยอมแพ้เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอนานขนาดนั้นหรอก
และในคืนนั้น มู่เฉียนซีก็ค้นพบว่าว่านซือเยี่ยนออกไปจากห้องนอนของเขาแล้ว
“ในสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าว่านซือเยี่ยนจะยอมออกไปเดินเล่นในยามค่ำคืนเช่นนี้ด้วย ไปดูกันเถอะว่าเขาวางแผนจะทำอะไรกันแน่?”
ในตอนแรกว่านซือเยี่ยนบอกว่าจะไม่มาสำนักภูตวิญญาณ แต่ผลสุดท้ายหลังจากที่เขาจากไปไม่นานก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้นางประหลาดใจมากมาโดยตลอด
ภายในสำนักภูตวิญญาณนั้นอันตรายมาก เพราะมันมีค่ายกลที่เป็นกลไกของกับดักมากมาย ซึ่งโชคยังดีที่ว่านซือเยี่ยนยังพอมีฝีมือติดตัวอยู่บ้าง มิเช่นนั้นเขาคงจะล้มคว่ำไปตั้งนานแล้ว
แต่ทางมู่เฉียนซีนั้นกลับผ่อนคลายมาก นั่นเพราะนางมีมังกรวารีคอยเปิดทางให้ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอันตรายใด ๆ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อนางเลย
“นายท่าน เขาเจอกับปัญหาแล้วขอรับ” มังกรวารีโน้มศรีษะลงมากระซิบข้างหูของมู่เฉียนซี
ตอนนี้ว่านซือเยี่ยนประสบกับปัญหาใหญ่เลยทีเดียว และตอนนี้เขาก็กำลังถูกขังอยู่ภายในค่ายกลค่ายหนึ่ง
เขาในเวลานี้ไม่สามารถใช้พลังจิตวิญญาณได้ จึงเป็นผลให้ถูกวิญญาณที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งเข้ามาพัวพัน
วิญญาณเหล่านั้นสามารถทำลายจิตวิญญาณของเขาได้อย่างรุนแรง และหากวิญญาณได้รับบาดเจ็บ นั่นก็จะเป็นปัญหาใหญ่มากเลยทีเดียว
ในตอนที่มู่เฉียนซีเตรียมจะออกโรงช่วยเหลือ ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น “ทำลาย!”
จากนั้นค่ายกลที่ขังว่านซือเยี่ยนเอาไว้ก็สูญสลายไป และว่านซือเยี่ยนก็จัดการวิญญาณเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อถูกข้าหาจนเจอแล้ว เจ้ายังไม่รีบออกมาอีกหรือ?”
ถึงบริเวณโดยรอบจะดูเหมือนว่าจะไม่มีคนอื่นอยู่เลย แต่มู่เฉียนซีกลับมั่นใจมากว่า เขาจะต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน!
“จะออกมาไหม?”
ร่างสีขาวร่างหนึ่งล่องลอยออกมา จากนั้นก็ก้มศรีษะลงพลางกล่าวว่า “พี่เยี่ยน!”
“เจ้าลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วอย่างนั้นหรือ? ยังจะกล้ามาที่นี่อีกหรืออย่างไร?”
“ภาพค่ายกลที่สำนักภูตวิญญาณสะสมเอาไว้สองสามรูปนั้นเป็นสิ่งที่ข้าอยากได้มาตลอด ตอนนี้สำนักภูตวิญญาณปรากฏตัวออกมาแล้ว ข้าก็เลยแอบลอบเข้ามาที่นี่ ฉะนั้นไม่มีทางถูกค้นพบได้แน่นอน หลังจากที่ข้าหาเจอแล้วข้าจะจากไปทันที และข้าจะเชื่อฟังด้วย!”
ว่านซือเยี่ยนดึงอากุ่ยเอาไว้พลางกล่าวว่า “ไม่ได้! พรุ่งข้าจะให้คนส่งเจ้าออกไป”
“พี่เยี่ยน ท่านพี่เยี่ยน…ท่านยืดหยุ่นให้ข้าหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
“ไม่ได้!”
มู่เฉียนซีเดินออกมาแล้วกล่าวว่า “อากุ่ย เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“เสี่ยวซี เจ้าก็มาด้วยหรือ เจ้าช่วยข้าโน้มน้าวพี่เยี่ยนหน่อยได้หรือไม่! ข้าสู้พี่เยี่ยนไม่ได้เลย แต่เจ้าจะต้องสู้เขาได้แน่นอน” อากุ่ยกล่าวอย่างน่าสงสารเป็นที่สุด
ผลก็คือยังไม่ทันที่มู่เฉียนซีจะทันได้พูดอะไรออกมา ว่านซือเยี่ยนก็จ้องมองมาที่มู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “เจ้าหุบปากไปเลย!”
“คุณชาย ท่านไม่หยาบคายเกินไปหน่อยหรือ!?” มังกรวารีกล่าวอย่างเย็นชา
“กำลังมีคนมา เอาไว้ค่อยคุยกันใหม่เถอะ!” เมื่อมู่เฉียนซีสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมา นางจึงได้กล่าวเตือน
ว่านซือเยี่ยนลากอากุ่ยออกไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำเดียว ส่วนมู่เฉียนซีและมังกรวารีก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลถูกคนทำลายไปแล้ว ภูตวิญญาณของข้าก็ถูกฆ่าไปแล้วเช่นกัน ดูเหมือนว่าความสามารถของแขกที่มาในวันนี้จะไม่ได้อ่อนแอเท่าไรนัก!” ลูกศิษย์ของสำนักภูตวิญญาณเหล่านั้นเดินเข้ามาพลางกระซิบกระซาบกันไปด้วย
ว่านซือเยี่ยนนั่งอยู่เบื้องหน้าของอากุ่ย และตอนนี้อากุ่ยก็ดูเหมือนกับผักกาดขาวน้อยที่กำลังถูกผู้ยิ่งใหญ่กระทําการทารุณอย่างโหดร้ายอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ทุกสิ่งที่ข้าพูดนั้นคือความจริง มันต้องจริงอย่างแน่นอน พี่เยี่ยนจะต้องเชื่อข้า! นอกจากนี้ยังมีไม้เทพแห่งชีวิตนั่นอีก สิ่งของชิ้นนั้นต้องมีประโยชน์มากแน่ บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ต่อท่านพ่อบุญธรรมมากก็เป็นได้ ข้าเพียงแค่มาลองดูเท่านั้นเอง อย่างไรเสียข้าก็คุ้นเคยกับที่นี่มากอยู่แล้วด้วย”
“เจ้าไม่กลัวแล้วหรือ นี่อาจจะเป็นกับดักก็ได้นะ?”
“ข้าไม่กลัวหรอก ข้าเก่งขึ้นมากแล้ว พวกเขาไม่มีทางจับข้าได้แน่” อากุ่ยยิ้มพลางกล่าวอย่างมั่นใจ
“ไม่รู้จริง ๆ ว่าวิญญาณอย่างเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน?” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ไป…ข้าไม่ไป พี่เยี่ยนไม่มีผู้ใดคุ้นเคยกับที่นี่ไปมากกว่าข้าอีกแล้ว บางทีข้าอาจจะสามารถช่วยท่านกับเสี่ยวซีได้ก็เป็นได้! คราวที่แล้วเสี่ยวซีก็มอบภาพค่ายกลที่ล้ำค่าให้กับข้า และข้าก็ยังไม่ได้ตอบแทนนางเลย!”
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “มู่เฉินซี เจ้าโน้มน้าวให้เขาออกไปหน่อยสิ”
ว่านซือเยี่ยนเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับอากุ่ยจริง ๆ และนี่ก็ทำเพื่อประโยนช์ของเขาเอง ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรก็ตาม
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “อากุ่ย ทำไมเจ้าไม่กลับไปก่อนล่ะ! ที่นี่ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหนเลย อีกอย่างที่นี่มีเพียงแค่ข้ากับว่านซือเยี่ยนก็สามารถจัดการได้แล้วล่ะ”
“ฮือออออ! เสี่ยวซีก็ถูกพี่เยี่ยนซื้อไปแล้วหรือ ตอนนี้ข้ากลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบที่น่าสงสารไปแล้ว! ข้าไป แค่ข้าไปก็พอแล้วใช่หรือไม่?”
ทันทีที่อากุ่ยรับปาก มันก็ทำให้ว่านซือเยี่ยนถอนหายใจอย่างโล่งอกในทันที แต่ผลสุดท้ายอากุ่ยกลับหันมาแล้วกล่าวกับว่านซือเยี่ยนว่า “แต่คนของพี่เยี่ยนมองไม่เห็นข้า หากว่าข้าหนีไปละก็ พวกเขาก็ไม่มีทางหาข้าเจอแน่นอน!”
นอกจากนี้เจ้าหมอนี่ยังทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างซุกซนกับว่านซือเยี่ยนอีกด้วย แต่หน้าของว่านซือเยี่ยนนั้นโกรธมากจนดำกว่าก้นหม้อไปแล้ว
เหตุใดตอนแรกถึงได้ตัดสินใจร่วมมือกับเจ้าเด็กซนนี่กันนะ หากเขาลงมือคนเดียวก็คงไม่ต้องมากังวลใจกับเจ้าหมอนี่แล้ว
หากอากุ่ยไม่มีทางเลือกขึ้นมา แม้แต่พ่อค้าหน้าเลือดอย่างว่านซือเยี่ยนก็ทำอะไรเขาไม่ได้ นอกจากนี้คนของพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ไม่สามารถเฝ้าอากุ่ยเอาไว้ได้อีกด้วย
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “อากุ่ย เจ้าจะอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่เจ้าจะต้องเชื่อฟังคำพูดของข้า เจ้าห้ามทำสิ่งใดโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอันขาด และอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ด้วย”
.