ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2146 เพิ่งไปก็กลับมาแล้ว
“มีข่าวของไม้เทพแห่งชีวิตอย่างนั้นหรือ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามอย่างตื่นเต้น
“อยู่ที่สำนักภูตวิญญาณ” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“สำนักภูตวิญญาณหรือ? มีกองกำลังเช่นนี้ด้วยหรือ?” นางรู้จักกองกำลังทั้งหมดของราชวงศ์ตงหวงเป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีกองกำลังอย่างสำนักภูตวิญญาณเลย
“สำนักภูตวิญญาณอยู่ในโลกนี้อย่างสันโดษมาโดยตลอด หากพวกเขาปรากฏตัวสู่โลกภายนอก เช่นนั้นจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน” ว่านซือเยี่ยนกล่าว
“การปรากฏตัวออกมาคราวที่แล้วก็เป็นเช่นนี้ และถึงคราวนี้พวกเขากระจายข่าวว่าไม้เทพแห่งชีวิตอยู่ที่พวกเขา แต่ข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าดีใจเร็วเกินไปนักจะดีกว่า เพราะข่าวนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้” เขากล่าวต่อ
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตราบใดที่มีเบาะแสแม้เพียงเล็กน้อย ข้าก็จะต้องลองไปดูก่อนอยู่ดี!” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
“เจ้าไม่กลัวมีอันตรายหรือ? สำนักภูตวิญญาณไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไปหรอกนะ”
“มีมังกรวารีอยู่ด้วย นายท่านไม่จำเป็นต้องกังวล” มังกรวารีกล่าวต่อ
“แม้ว่ามันจะมีอันตราย แต่ข้าก็ต้องไป เพราะไม้เทพแห่งชีวิตมีความสำคัญต่อข้ามาก” มู่เฉียนซีกล่าว
ว่านซือเยี่ยนเหลือบมองไปที่นางพลางกล่าวว่า “เจ้าอยากจะไปก็ไป เพียงแต่ข้าไม่อาจเสียเวลาไปด้วยกันกับเจ้าได้ พวกเจ้าสองสามคน ไปส่งนางที่สำนักภูตวิญญาณด้วย”
“ขอรับ นายน้อย!”
กล่าวจบ ว่านซือเยี่ยนก็นั่งพาหนะบินได้อีกตัวหนึ่งจากไปทันที
แต่หลังจากที่ว่านซือเยี่ยนจากไปได้ไม่นาน เขากลับได้รับข่าวที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจ
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก พลางกล่าวว่า “อะไรนะ? คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะปล่อยนางไปจริง ๆ ให้ตายเถอะ!”
“รีบไล่ตามมู่เฉินซีไป!”
เมื่อมู่เฉียนซีเห็นว่าว่านซือเยี่ยนที่เพิ่งไปแล้วกลับมาอีกครั้ง นางจึงเลิกคิ้วถามว่า “ทำไม? พอไปแล้วเจ้ากลับรู้สึกผิดที่ปล่อยข้าไปคนเดียว เลยกลับมาอย่างนั้นหรือ?”
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “ข้าก็แค่นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่จะต้องไปทำที่สำนักภูตวิญญาณเท่านั้นเอง เลยคิดว่าไปกับเจ้าก็สะดวกดี”
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!”
เนื่องจากสถานที่ตั้งของสำนักภูตวิญญาณนั้นมีภูมิประเทศที่ซับซ้อนมาก จึงต้องไปทางอากาศ
สถานที่แห่งนี้มีทั้งภูเขาและหุบเขามากมายนับไม่ถ้วน หากไม่รู้เส้นทางแล้วละก็ แม้ว่าจะบินอยู่กลางอากาศก็อาจจะหาสถานที่แห่งนั้นไม่เจอก็เป็นได้
ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ชัดว่าคนของว่านซือเยี่ยนนั้นค่อนข้างเชื่อถือได้ทีเดียว เขาได้พาพวกเขามาถึงเมืองที่อยู่ใกล้กับสำนักภูตวิญญาณได้อย่างราบรื่น ซึ่งก็คือเมืองกุ่ยตูนั่นเอง
“เส้นทางหลังจากนี้ พวกเราจะต้องเดินไปด้วยตนเองจนถึงสำนักภูตวิญญาณ เพราะมีการห้ามบินในพื้นที่บริเวณนี้” ว่านซือเยี่ยนกล่าว
หลังจากที่พูดจบเขาก็นวดหัวที่ปวดเป็นพัก ๆ ของตนเองแล้วกล่าวว่า “ไม่อยากมาสถานที่บ้า ๆ นี่เลยจริง ๆ”
“ในเมื่อกลัวก็อย่ามาสิ อย่างไรเสียข้าก็มีมังกรวารีของข้าคอยตามไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาอยู่แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าว
“ผู้ใดบอกว่าคุณชายอย่างข้ากลัวกัน! คุณชายอย่างข้าจะมากลัวของเล่นเหล่านี้ได้อย่างไร”
เมืองกุ่ยตูนั้นมักจะมืดครึ้มอยู่เสมอ แต่ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา กลับมีคนเข้ามาในเมืองกุ่ยตูมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไปหาคนถามเรื่องสำนักภูตวิญญาณหน่อยดีกว่า”
“สำนักภูตวิญญาณมักจะลึกลับอยู่เสมอ เจ้าไปถามแล้วมันจะได้เรื่องอะไรหรือไงกัน?”
“คนที่นี่ต่างใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาโดยตลอด จะไม่รู้เรื่องอะไรบ้างเลยหรืออย่างไรกัน? อย่างไรเสียเมื่อฟ้ามืดเจ้าก็พูดว่าไม่ออกเดินทางอยู่ดี เช่นนั้นก็ไปหาถามให้ชัดเจนไม่ดีกว่าหรือ!?”
ด้วยเหตุนี้ ว่านซือเยี่ยนจึงเห็นมู่เฉียนซีเป็นเจ้าสัวผู้มั่งคั่งด้วยสมบัติเงินทองไปแล้ว
นั่นก็เพราะไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์หรือไม่ นางต่างก็ใช้เงินซื้อมัน ซึ่งเมื่อเขาเห็นแล้วก็รู้สึกปวดตับยิ่งนัก
“ข้าบอกว่ามันจำเป็นมิใช่หรือ? ว่านซือเยี่ยน เงินที่ข้าจ่ายไปเมื่อเทียบกับเงินที่เจ้าได้รับมันเป็นก็เพียงแค่ขนเส้นเดียวเท่านั้นเองนะ”
“ถึงมันจะเป็นขนเพียงเส้นเดียวแต่มันก็คือขนอยู่ดี!”
ด้วยความขี้งกที่มั่นใจในเหตุผลของตนเองเช่นนี้ ทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะพูดกับพวกเขาแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ลูกศิษย์ของสำนักภูตวิญญาณ มีลูกศิษย์สำนักนอกที่เรียนรู้การควบคุมศพ และลูกศิษย์สำนักในที่ควบคุมภูตผี พวกเขายังเชื่อในเทพองค์เดียวกันอีกด้วย เจ้าคิดว่ามันน่าจะเป็นเทพอะไร?”
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “โลกนี้ให้ความเคารพนับถือกับผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น จะไปมีเทพได้อย่างไรกัน! คนที่ถูกเคารพในฐานะเทพเจ้า ก็เป็นเพียงแค่คนที่มีความสามารถเหนือกว่าคนที่ถูกนับถือบางคนก็เท่านั้นเอง”
“คำพูดนี้ของเจ้าก็ไม่ผิดเช่นกัน เพราะคนที่พวกเขาให้ความเคารพนับถือก็คือ เทพมรณะ!”
“เทพมรณะ บุคคลในตำนาน ได้ยินข่าวลือมาว่าการปรากฏตัวของเขาทำให้ทุกชีวิตต้องตาย วิญญาณนับหมื่นต้องสูญสลาย เขาคือหนึ่งในผู้แข็งแกร่งยุคโบราณที่มีอยู่ในตำนาน” ในสายตาของว่านซือเยี่ยนไม่ได้มีเพียงแค่เงินโดยสมบูรณ์ แต่เขายังมีความรู้ที่ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเทือกเขาแห่งความตาย ก็มีส่วนเกี่ยวของกับเทพมรณะผู้นี้เช่นกัน และพญามดแห่งความตายตัวนั้นก็เป็นลูกน้องของเทพมรณะ ซึ่งนอกจากการมีอยู่ของคนเช่นนี้แล้ว เขายังกำลังวางแผนที่จะฟื้นคืนชีพอีกด้วยด้วย! อีกทั้งเหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นที่เทือกเขาแห่งความตายไปแล้ว ซึ่งสำนักภูตวิญญาณนี่…” ทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็รู้สึกว่าอาจจะมีความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาก็เป็นได้
“ตามความหมายของเจ้า หากพวกเขานับถือในเทพมรณะแล้วละก็ เช่นนั้นสำนักภูตวิญญาณก็ไม่มีทางที่จะมีไม้เทพแห่งชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เจ้ายังไม่มีแผนจะกลับจวนอีกหรือ?”
“ถึงเทพแห่งชีวิตอันลึกลับจะเป็นปรปักษ์กับเทพมรณะ แต่ในเมื่อมีข่าวแพร่พรายออกมาเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่ามีเบาะแส แล้วจะให้ข้ากลับจวนในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร เช่นนั้นจะไม่ถือว่ามาเสียเที่ยวหรือ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย
โรงเตี๊ยมในเมืองกุ่ยตูขณะนี้ต่างก็เต็มไปหมดแล้ว และผู้คนมากมายต่างก็มาที่นี่เพราะได้ยินเรื่องของไม้เทพแห่งชีวิตเช่นกัน
แต่สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับไม้เทพแห่งชีวิต คนในเมืองกุ่ยตูกลับไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
มู่เฉียนซีบ่นพึมพำว่า “มีผู้คนมากมายไปที่เทือกเขาแห่งความตาย เพราะมีคนจงใจที่จะปล่อยข่าวเพื่อดึงดูดให้คนไปที่นั่น คราวนี้ก็อาจจะเป็นการดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลมาที่นี่เช่นกัน หรือมันก็…”
“มังกรวารี ข้ารู้สึกเหมือนว่ามันจะเป็นแผนการร้ายอีกแล้ว และคาดว่ามันจะต้องมีสิ่งของอะไรโผล่มาอีกอย่างแน่นอน แต่อีกฝ่ายดันใช้ไม้เทพแห่งชีวิตมาเป็นป้ายบอกทาง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นถ้ำเสือบ่อมังกร ข้าก็จะต้องบุกทะลวงไปให้ได้” มู่เฉียนซีกล่าวกับมังกรวารี
“ขอรับ! มังกรวารีก็จะบุกทะลวงไปด้วยกันกับนายท่านด้วย และจะไม่ให้ผู้ใดมาทำร้ายนายท่านได้แน่นอน” มังกรวารีกล่าวอย่างอ่อนโยน
ในเวลากลางดึก ก็ได้มีเสียงระฆังดังก้องกังวาลออกมาจากถนนและตรอกซอกซอยทั่วทั้งเมืองกุ่ยตู และดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายดังมาจากด้านนอก ซึ่งแน่นอนว่ามู่เฉียนซีก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเช่นกัน
มังกรวารียืนอยู่ข้างหน้าต่าง และเมื่อเปิดหน้าต่างให้กับมู่เฉียนซีแล้ว จึงกล่าวว่า “นายท่าน”
ทิวทัศน์นอกหน้าต่างนั้น เป็นภาพที่คนเหล่านั้นกำลังตีระฆังเพื่อบังคับให้เหล่าซากศพขยับกล้ามเนื้อ เดินและทำกิจกรรมต่าง ๆ
นอกจากสภาพศพที่ค่อยข้างน่าเกลียดแล้ว มู่เฉียนซีก็ไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ทั้งนี้นางยังค่อนข้างที่จะสงบอีกด้วย
ทว่าก็มีบางคนที่ถูกทำให้ตื่นขึ้น และเมื่อมาเห็นฉากนี้แล้วก็ไม่อาจสงบลงอีกต่อไป “อ๊ากกก! ผี!”
“จะน่ากลัวเกินไปแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่เนี่ย?”
“ช่วยด้วย!”
และทันใดนั้น โรงเตี๊ยมต่าง ๆ ก็พากันวุ่นวายขึ้นมาในทันที
เสี่ยวเอ้อร์ของที่พักไปเคาะไปดูแล้วกล่าวว่า “ลูกค้า ที่นี่คือเมืองกุ่ยตู แน่นอนว่าต้องมีผีอยู่แล้ว! ฉะนั้นท่านอย่าตื่นตระหนกจนเกินเหตุเลยขอรับ!”
“นี่เป็นเพียงแค่การฝึกฝนของลูกศิษย์สำนักนอกเท่านั้น ในทุก ๆ คืนจะเป็นเช่นนี้ ฉะนั้นพวกเราจึงคุ้นเคยกันหมดแล้ว”
“คนภายนอกอย่างพวกท่านต่างก็ฝึกฝนพลังทางจิตวิญญาณกันได้ไม่เลว แต่เหตุใดถึงมีความกล้าหาญเพียงน้อยนิดแค่นี้เองล่ะขอรับ”
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้คนที่หวาดกลัวล้วนก็ถูกคนในท้องถิ่นดูถูกทั้งนั้น แต่ในกลางดึกต้องมาเห็นเจ้าสิ่งเหล่านี้ ครั้งแรกที่ได้เห็น พวกเขาไม่เคยกลัวกันบ้างหรืออย่างไร?
ตลอดทั้งคืนนี้ มีผู้คนมากมายที่นอนหลับได้ไม่ดีนัก จนขอบใต้ตาของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นดำคล้ำกันไปหมดแล้ว
ส่วนว่านซือเยี่ยนก็อยู่กับอากุ่ยมาเป็นเวลานาน ฉะนั้นจึงได้คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นอย่างดี
“ออกเดินทางกันเถอะ! เตรียมขึ้นเขา” ทันทีที่รุ่งสาง ว่านซือเยี่ยนก็เร่งให้มู่เฉียนซีรีบออกเดินทาง
“ไปกันเถอะ! รีบไปให้ถึงสำนักภูตวิญญาณให้เร็วที่สุด จะได้ไปดูให้แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” มู่เฉียนซีกล่าว
.
.