ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2133 นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “ยังไม่รีบไปอีก! หรือเจ้าตั้งใจอยากจะถูกปล้นอย่างนั้นหรือ?”
ด้วยทรัพย์สินของมู่เฉินซีในเวลานี้ ทำให้มีผู้คนมากมายต้องการจะปล้นนางเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าจะมีชื่อเสียงของเขาหรือมีการคุ้มครองของตาเฒ่าจากเขาว่านฉงเหล่านี้ ก็ไม่อาจที่จะขัดขวางความละโลมโลภมากที่อยู่ภายในใจของใครบางคนได้อยู่ดี
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากคนที่โตมาด้วยหัวใจหมีดีเสือดาวอยากจะมาปล้นข้า ก็ให้มาเถอะ! ข้าไม่กลัวพวกเขาหรอก”
“หากพวกเขากล้ามา ข้าจะทำให้พวกเขากลัวจนตายไปเลย!” อากุ่ยกล่าวพลางแยกเขี้ยวยิงฟัน
“ถึงตระกูลที่มีชื่อเสียงจะไม่กล้าเข้ามาอย่างโจ่งแจ้ง แต่หากเป็นพวกมักมากเลวทรามถึงขั้นสุดนั้นก็ไม่แน่ ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้ประมาทศัตรูเกินไปจะดีกว่า” ว่านซือเยี่ยนกล่าวเตือน
เมื่อออกมาจากทะเลสาบว่านฉงแล้ว คนที่มาร่วมงานประมูลต่างก็พากันแยกย้ายออกไปด้วยความรวดเร็ว
แน่นอนว่ามู่เฉียนซีสามารถสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังติดตามพวกเขาอยู่ และมันก็ยังมากันเป็นกลุ่มก้อนอีกด้วย!
“สลัดพวกมันออกไปซะ!” ว่านซือเยี่ยนเองก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน และหลังจากนั้นเขาก็ออกคำสั่งกับลูกน้องของเขาเหล่านั้นในทันที
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
คนที่ติดตามพวกเขานั้น ติดหนึบราวกับหนังสุนัขที่สลัดไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้นมิติทั้งหมดก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความบิดเบี้ยว ขณะเดียวกันนั้นก็มีหมอกสีดำที่เหมือนกันงูเหลือมพุ่งเข้าใส่พวกเขา
“หยุด!” ว่านซือเยี่ยนหยุดฝีเท้าลง
ส่วนอากุ่ยที่ล่องลอยตามมู่เฉียนซีและว่านซือเยี่ยนอยู่ด้านหลังนั้น ก็มองไปรอบบริเวณ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “คิดว่าขยะเช่นนี้จะขังข้าเอาไว้ได้หรือ?”
“ช้าก่อน!”
ในตอนที่อากุ่ยกำลังจะทำลายค่ายกล ว่านซือเยี่ยนก็ได้หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
เงาร่างหลายร่างก็ปรากฏตัวขึ้นมา และพวกเขาทุกคนล้วนแผ่ท่าทางที่ดูชั่วร้ายออกมา ซึ่งรูปลักษณ์ที่ดุร้ายนั้นก็ดูค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียว
“ข้าไม่ได้พูดไปแล้วอย่างนั้นหรือ? ว่าที่ใดที่มีข้าอยู่ พวกเจ้าทั้งหมดควรจะไสหัวออกไปให้ไกลจากข้ามากเท่าไรก็ยิ่งดีน่ะ!” ว่านซือเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เจ้านายใหญ่ของพวกเขาจ้องมองไปที่ว่านซือเยี่ยน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจอมปลอม “นายน้อยว่านซื่อ ข้าต้องการเพียงแค่หญิงผู้นี้เท่านั้น ส่วนพวกท่านสามารถออกไปอย่างปลอดภัยได้อยู่แล้ว”
“น่าขัน! เจ้าไม่รู้หรือว่าบนตัวของหญิงผู้นี้มีสมบัติล้ำค่ามากมายเพียงใด คิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้นางไปอยู่ในมือผู้อื่นอย่างนั้นหรือ” ว่านซือเยี่ยนไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเลยด้วยซ้ำ
แต่อีกฝ่ายกลับกล่าวอย่างมั่นใจมากว่า “ในเมื่อนายน้อยว่านซื่อไม่คิดที่จะปล่อยมือเช่นกัน ฉะนั้นพวกเราก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องคุยกันอีกแล้ว! ข้าบอกเจ้าได้เลยว่า คราวนี้พวกข้าได้เชิญปรมาจารย์ค่ายกลที่เก่งกาจมากผู้หนึ่งมาด้วย ซึ่งตอนนี้พวกเจ้าก็ตกอยู่ในค่ายกลนั้นแล้ว และพวกเจ้าก็ไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้อย่างแน่นอน!”
“นอกจากนี้ ข้ายังได้เชิญปรมาจารย์พิษที่เก่งกาจที่สุดมาเข้าร่วมกลุ่มของพวกเราอีกด้วย แม้ว่ารอบตัวของนายน้อยอย่างเจ้าว่านซือเยี่ยนจะมียอดฝีมือมากมายเพียงใด แต่วันนี้ผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะก็ไม่อาจรู้ได้! ข้าขอแนะนำให้เจ้ารู้จักเอาตัวรอดจะดีกว่า”
แต่ว่านซือเยี่ยนกลับยิ้มแล้วกล่าวว่า “เป็นเพราะพวกเจ้าเจอไพ่ตายนี่เองสินะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะเท่าไรเลยนี่!”
“ใช่แล้ว! ทำให้ข้าดูหน่อย ว่าปรมาจารย์ค่ายกลที่เก่งกาจผู้นั้นยอดเยี่ยมมากเพียงใดกัน เพราะข้าไม่ได้พบเจอกับคู่ต่อสู้มานานมาแล้ว!” พลันนั้นร่างเงาสีขาวก็ลอยขึ้นมากลางอากาศ
“นี่มันผีนี่!”
“เจ้าหนูที่เหมือนคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงผู้นั้นคือผู้ใดกัน!”
อากุ่ยกล่าวว่า “ค่ายกลที่หาเจอได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ไม่มีความท้าทายอะไรใหม่ ๆ เลยแม้แต่น้อย!”
จากนั้นเขาก็โยนก้อนหินออกไปก้อนหนึ่งพลางกล่าวว่า “ทำลาย!”
แกร่ก!
ค่ายกลขนาดใหญ่ ได้แตกสลายกลายเป็นผุยผงในทันที
“เจ้านาย! เจ้าหนูนี่ก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลเช่นกัน ข้าจะไปจัดการมันเอง!” และปรมาจารย์ค่ายกลในชุดดำผู้นั้นก็พุ่งเข้าใส่อากุ่ยทันที
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พวกเจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก! รู้ทั้งรู้ว่าข้าคือนักปรุงยาแต่ก็ยังเชิญปรมาจารย์พิษมาอีก หรือพวกเจ้าคิดว่าปรมาจารย์พิษผู้นั้นจะจัดการข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงที่แหบแห้งเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า “เพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ที่โชคดีมีพรสวรรค์จนได้รับสมบัติมากมายเพียงนั้นมาก็เท่านั้นเอง! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะสามารถทำลายพิษของข้าได้!”
มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าวว่า “ว่านซือเยี่ยน ปรมาจารย์พิษผู้นั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ส่วนคนอื่น คนของเจ้าเป็นคนจัดการไปก็แล้วกัน!”
ร่างเงาสีม่วงพุ่งทะยานออกไป และเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกปล่อยออกไปในเวลาเดียวกัน
“คิดจะใช้พิษต่อหน้านาง คงอยากตายอย่างนั้นสินะ!”
และว่านซือเยี่ยนก็กล่าวขึ้นว่า “ลงมือได้!”
ตูมมมม โครมมม!
ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน ส่วนไพ่ตายทั้งสองคน ในเวลานี้พวกเขาจะเกือบจะถูกทุบตีจนตายอยู่แล้ว
มาพูดถึงปรมาจารย์ค่ายกลกันก่อนก็แล้วกัน! ในตอนที่ปรมาจารย์ค่ายกลผู้นั้นเริ่มร่ายค่ายกลที่สอง ทว่ายังไม่ทันที่จะทำให้สำเร็จ ผลปรากฏว่าเขากลับตกไปอยู่ภายในค่ายกลกักขังนั่นเสียเอง
เขาแน่ใจว่านี่คือค่ายกลกักขังแน่นอน และมั่นใจมากว่าจะสามารถทำลายได้ แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นการเปิดค่ายกลลวงตาขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เปิดค่ายกลลวงตาชั้นที่สอง และค่ายกลลวงตาชั้นที่สาม…
ราวกับว่ามีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งมันกำลังจะทำให้สติของเขาพังทลายลงอยู่แล้ว
จิตสังหาร!
ค่ายกลสังหาร!
ทันทีที่ค่ายกลสังหารปรากฏขึ้นมา มันก็ทำให้ร่างของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นในทันที
พรวดดดดด!
ขาทั้งสองข้างของขาถูกเจาะจนทะลุ และต้องคุกเข่าลงกับพื้นทันที ซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่มีจิตวิญญาณในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
ส่วนศัตรูของเขา ตอนนี้ได้ลอยขึ้นไปนั่งอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งแล้ว ถึงเขาจะดูเหมือนเรียบง่ายไร้เดียงสา แต่กลับเป็นเหมือนกับผีร้ายที่ต้องการเอาชีวิตผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น
อากุ่ยมองไปที่คนผู้นั้นจากทางด้านบนแล้วกล่าวว่า “คนอย่างเจ้า สามารถเรียกว่าปรมาจารย์ค่ายกลได้ด้วยหรือ?”
“เสี่ยวซีได้มอบค่ายกลหยินหยางแห่งกลียุคแผ่นนั้นมาให้ข้าแล้ว รอข้าศึกษามันก่อน เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็ลองดูแล้วกัน”
เหตุผลที่เขายอมรับปากช่วยเหลือเจ้านายผู้นั้นอย่างโง่งม นั่นก็เป็นค่ายกลแผ่นนั้น ซึ่งคิดไม่ถึงเลยว่าภาพค่ายกลแผ่นนั้นจะอยู่กับเจ้าหนูผู้นี้นี่เอง
เจ้าหนูน้อยผู้นี้ดูแล้วอายุน้อยมาก อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่เหมือนคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงอีกด้วย แต่ทว่าความรู้เกี่ยวกับค่ายกลนั้นกลับอยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และเกรงว่าน่าจะเก่งกาจกว่าอาจารย์ของเขาอีกด้วย
จากนั้นก็มาดูทางด้านของปรมาจารย์พิษผู้นั้นกันต่อ ในตอนนี้จุดสำคัญในร่างกายของเขาได้ถูกเข็มยาของมู่เฉียนซีผนึกเอาไว้หมดแล้ว
อีกทั้งยังมีพิษมากมายหลายชนิดจนนับไม่ถ้วนอยู่บนร่างกายของเขาอีกด้วย!
มันทำให้เขารู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงนักปรุงยาอัจฉริยะวัยเยาว์คนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นนักวางยาพิษที่ฝึกฝนมานับหมื่นปีต่างหาก
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว! เสียใจมากจริง ๆ
หากรู้ว่ามู่เฉินซีมีความสามารถถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางลงมือกับนางอย่างโง่งมเช่นนี้แน่นอน
“นายท่าน ข้าผิดไปแล้ว! ข้ารู้ความผิดแล้ว!”
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “นี่คือท่าทางสำนึกผิดของเจ้าอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นจะดีเท่าไรเลย?”
ปรมาจารย์พิษผู้นั้นกล่าวว่า “นายท่าน นี่คือสิ่งของที่ข้าสะสมมาตลอดชีวิต ท่านโปรดอย่ารังเกียจมันเลยนะขอรับ!”
“อ๊ากกก! ได้โปรดเถิดนายท่าน ถอนพิษให้ข้าเถอะ! ข้ารู้สึกว่าข้ากำลังจะตายแล้ว ถอนพิษให้ข้าเพียงครึ่งเดียวก็ได้ขอรับ อ๊ากกกก!”
อากุ่ยเรียนรู้จากสถานการณ์ทางด้านของมู่เฉียนซีได้เป็นอย่างดี และบังเอิญว่าปรมาจารย์ค่ายกลผู้นั้นก็ทนไม่ไหวจนร้องขอชีวิตขึ้นมาด้วยพอดี “นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย! หลังจากนี้ไปข้าเต็มใจที่จะยอมเป็นวัวเป็นม้าคอยรับใช้ท่าน”
คราวนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบากราวกับแตะลงไปบนแผ่นเหล็กร้อนแล้วจริง ๆ!
อากุ่ยกล่าวโดยเลียนแบบน้ำเสียงของมู่เฉียนซี “นี่คือท่าทางสำนึกผิดของเจ้าอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นจะดีเท่าไรเลย?”
“หากยอมรับผิดแล้วละก็ เจ้าต้องจริงใจ! เพียงแค่คุกเข่ามันไม่พอหรอก!”
ด้วยเหตุนี้ปรมาจารย์ค่ายกลก็ได้นำเอาทรัพย์สินของเขาออกมามอบให้ด้วย เพียงแต่โชคของอากุ่ยนั้นกลับไม่ค่อยดีเท่าไรนักเท่านั้นเอง
“นี่มันบ้าอะไรกัน? ศิลาค่ายกลของเจ้ามันจะไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว!”
“ไหนจะยังมีภาพค่ายกลเหล่านี้อีก ข้าเรียนรู้มันจนสำเร็จตั้งแต่เจ็ดขวบแล้วด้วยซ้ำ ไร้ประโยชน์นัก!”
“แล้วยังมีนี่…”
เมื่อเปรียบเทียบกับอีกคน ช่างน่าโมโหจริง ๆ สมบัติเหล่านี้ของเขาไม่ควรค่าที่จะอยู่ในสายตาของนายท่านผู้นี้เลย
เขาถูกสิ่งไร้ค่าเหล่านี้โจมตีจนอยากจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว หลังจากนั้นอากุ่ยก็กล่าวว่า “ข้าไปศึกษาค่ายกลนั้นเพื่อเอามาจัดการกับเจ้าต่อดีกว่า”
คนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนของว่านซือเยี่ยนเหล่านั้นต่างชะงักงันไป และต้องรู้ว่าปรมาจารย์ค่ายกลและปรมาจารย์พิษนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะของพวกเขาในคราวนี้
มิเช่นนั้นหากอาศัยเพียงความสามารถของพวกเขาเหล่านี้ ก็คงไม่มีทางที่จะทำอะไรว่านซือเยี่ยนได้เป็นแน่
และพวกเขาก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่า ด้วยความพยายามเพียงครู่เดียว ไพ่ตายทั้งสองใบนั้นของพวกเขาก็ถูกคนจัดการจนต้องคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอความเมตตาไปเสียแล้ว
นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ