ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 74 ฉลองไปด้วยกัน
เจ็ดสิบสี่
ฉลองไปด้วยกัน
สถานที่ที่เสวี่ยเจียเยว่จะพาเสวี่ยหยวนจิ้งไปนั้นคือโรงบ่อนที่เธอเดิมพันกับตันหงอี้เมื่อหลายวันก่อน
วันนั้นเธอเดือดดาลเป็นอย่างมาก จึงหยิบเงินสองตำลึงออกมาลงพนันว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาถัวเยว่กับสำนักศึกษาไท่ชู และตอนนี้เธอต้องการไปรับเงินในฐานะที่เป็นผู้ชนะการเดิมพัน
คนส่วนมากลงพนันว่าตันหงอี้จะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่ง แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากประกาศผลสอบออกมา กลับเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งที่สอบได้อันดับหนึ่ง และตันหงอี้สอบได้อันดับสอง คนที่ลงพนันในชื่อตันหงอี้จึงแพ้ไป ขณะนี้มีคนจำนวนมากยืนอยู่หน้าโรงบ่อน พวกเขาต่างถอนหายใจด้วยความเสียดาย เพราะคาดไม่ถึงว่าตันหงอี้จะไม่ใช่คนที่สอบได้อันดับหนึ่ง ขณะเดียวกันก็อยากรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นใคร เหตุใดถึงได้เก่งกาจเช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งเบียดฝูงชนที่แน่นขนัดเข้าไปในโรงบ่อน จากนั้นแม่นางน้อยก็หยิบสัญญาเดิมพันออกจากถุงผ้าแล้วตบลงบนโต๊ะ
เนื่องจากเงินที่จะได้จากการชนะเดิมพันนั้นคือหนึ่งร้อยเท่า ดังนั้นเงินสองตำลึงที่เธอลงพนันไปเมื่อไม่กี่วันก่อนจึงกลายเป็นสองร้อยตำลึง
เสวี่ยเจียเยว่เก็บเงินขึ้นมาด้วยสองมือพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางหลงใหลเช่นนั้นของอีกฝ่าย ก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มอย่างอดไม่ได้
เมื่อทั้งสองคนเดินออกมาที่หน้าโรงบ่อน ก็ได้ยินฝูงชนพูดคุยกันว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเทพหรือไม่ เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน พวกเขายังพูดอีกว่าตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่ง และคาดเดากันว่าเขาจะเลือกเรียนที่ใด กระทั่งมีคนเสนอให้มีการเปิดพนันในเรื่องนี้ หวังจะได้เงินมาทดแทนส่วนที่เสียไป ซึ่งคนรอบข้างต่างก็ส่งเสียงร้องว่าเห็นด้วย
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ท่านอยากเรียนที่สำนักศึกษาใดหรือ หากท่านตัดสินใจได้แล้วบอกข้าด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะมาลงพนันที่นี่อีกครั้ง ครั้งนี้ข้าจะลงเงินให้มากเลยเจ้าค่ะ พอข้าชนะ… เงินก้อนโตของพวกเราก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้ม ก่อนเอื้อมมือไปเคาะศีรษะแม่นางน้อยพลางเอ่ย “เจ้าคิดว่าการพนันมันเป็นเรื่องดีหรืออย่างไร หรือว่าเจ้าติดพนันแล้ว ครั้งนี้ช่างเถอะ แต่ครั้งหน้าห้ามก้าวเท้าเข้าไปในโรงบ่อนอีก และห้ามลงเดิมพันกับใครอีก ได้ยินหรือไม่” น้ำเสียงเขาดุดัน สีหน้าก็เคร่งขรึม
เสวี่ยเจียเยว่ก้มศีรษะลงและตอบรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ ข้าได้ยินแล้ว”
จากนั้นสีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งก็อ่อนโยนขึ้น เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเสวี่ยเจียเยว่บริเวณที่ตนเคาะเมื่อครู่ ราวกับเป็นการตบหัวแล้วลูบหลังอย่างไรอย่างนั้น
สายตาของเขาทอดมองชุดของเสวี่ยเจียเยว่ เป็นชุดที่ตัดเย็บใหม่หลังจากมาอยู่ที่เมืองผิงหยางได้ระยะหนึ่ง ซึ่งเนื้อผ้าไม่ดีเท่าไรนัก
เขาคิดว่าตอนนี้อากาศร้อนขึ้น เสวี่ยเจียเยว่ควรมีชุดผ้าโปร่งที่ใช้สวมในฤดูร้อนสักสองชุด จึงเอ่ยชวนอีกฝ่าย “พวกเราไปดูร้านผ้าข้างหน้ากันเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่พอดี อีกไม่กี่วันเสวี่ยหยวนจิ้งก็จะเข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้ว ควรมีชุดใหม่สักสองชุด เธอจึงรีบเอ่ยตกลง
หลังจากพวกเขาเดินเข้าไปในร้านขายผ้า เสวี่ยหยวนจิ้งเลือกผ้าเนื้อดีหลายพับ ล้วนเป็นผ้าโปร่งบางสีเหมือนต้นกานพลูและสีเขียวน้ำทะเล เมื่อหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ ก็เห็นอีกฝ่ายเลือกผ้าสีขาวพระจันทร์หนึ่งพับ และสีขาวท้องปลาอีกหนึ่งพับ
ทั้งสองคนมองผ้าในมือของกันและกัน ชั่วขณะนั้นพวกเขาก็เข้าใจทันทีว่านี่คือผ้าที่อีกฝ่ายซื้อให้ตน
เสวี่ยหยวนจิ้งรีบพูดขึ้น “ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งได้ชุดคลุมยาวสีเขียวชุดนี้ ไม่ต้องตัดชุดใหม่อีกชุดหรอก”
เสวี่ยเจียเยว่ชี้ไปที่ผ้าในมือเขาแล้วเอ่ยถาม “ท่านซื้อผ้ามากมายเช่นนี้ คิดจะตัดชุดให้ข้ากี่ชุดหรือ”
พวกเขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายซื้อผ้าตัดชุดใหม่ให้ตน แต่อยากเป็นฝ่ายซื้อให้เสียมากกว่า
ในที่สุดต่างคนก็ต่างพ่ายแพ้ เสวี่ยหยวนจิ้งนำเงินที่เหลืออยู่ออกมา แล้วซื้อผ้าที่เขาเลือกทั้งหมด ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็นำเงินออกมาซื้อผ้าสองพับที่ตนเลือกเช่นเดียวกัน
เมื่อเดินออกมาจากร้านขายผ้า ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มแย้มออกมาในเวลาเดียวกัน ชั่วขณะนั้นหัวใจของพวกเขาอบอุ่นยิ่งนัก
สุดท้ายแล้วทั้งสองคนต่างก็คิดเพื่อกันและกัน
ทันใดนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็คิดบางอย่างออก จึงแยกเงินหนึ่งร้อยตำลึงของตันหงอี้ไว้ เงินสองร้อยตำลึงนี้ได้มาโดยไม่คาดคิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้นำออกมาให้รางวัลชีวิตสักสองตำลึง ถือว่าเป็นการฉลองที่เสวี่ยหยวนจิ้งสอบเข้าสำนักศึกษาที่ดีของเมืองผิงหยางได้
เธอเอื้อมมือไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “ท่านพี่ ไปกันเถอะ พวกเราไปตลาดซื้อเนื้อไก่กัน วันนี้ข้าจะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้ท่านกิน”
พวกเขาซื้อไก่หนึ่งตัว ปลาหนึ่งตัว เนื้ออีกสองชั่ง ทั้งยังซื้อไข่ไก่และผักอื่นๆ รวมทั้งเซาปิ่ง[1] อีกจำนวนหนึ่ง รวมแล้วก็ยังจ่ายเงินไปไม่ถึงหนึ่งตำลึง
เมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะตรงศีรษะ เสวี่ยเจียเยว่ทำอาหารกลางวันคือต้มไก่ ปลาทอดน้ำแดง ลูกชิ้นเนื้อ ผัดไก่ใส่ไข่ และข้าวต้มหม้อใหญ่ หลังจากทำเสร็จแล้ว เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งก็หารือกัน ก่อนจะไปเชิญครอบครัวป้าเฝิงและป้าโจวมากินข้าวด้วยกัน
เด็กหนุ่มสอบเข้าสำนักศึกษาถัวเยว่กับสำนักศึกษาไท่ชูได้ ทั้งยังเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยาง นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก จึงคิดว่าควรเชิญพวกเขามากินข้าวด้วยกัน บรรยากาศจะได้คึกคักขึ้น
แม้ชีวิตมนุษย์จะต้องลำบากตรากตรำในทุกวัน แต่บางครั้งก็ควรปล่อยวาง หยุดพักเพื่อหาความสุขที่เรียบง่ายในใต้หล้าอันเต็มไปด้วยความครื้นเครง อย่างเช่นการเชิญคนรู้จักมากินข้าวด้วยกัน พูดคุยสัพเพเหระ ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ป้าเฝิงได้หยุดเพียงหนึ่งวัน และนางก็พักผ่อนอยู่ที่เรือน ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เข้าไปเชิญนางกับเสี่ยวฉานและหูจื่อมากินข้าวด้วยตัวเอง เดิมทีป้าเฝิงปฏิเสธ
“ข้าไปทำงานที่ร้านตัดชุดทุกวัน ปกติเสี่ยวฉานกับหูจื่อก็ได้รับการดูแลจากพวกเจ้าสองคนไม่น้อย ข้าเป็นสตรีที่หาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว จึงไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน แล้ววันนี้จะกล้ารบกวนพวกเจ้าได้อย่างไร”
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านก็พูดเกินไป เราต่างอยู่ในลานเรือนเดียวกัน ก็เปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ควรจะรักใคร่กลมเกลียว ตอบแทนไม่ตอบแทนอะไรกันเจ้าคะ อย่างกับว่าท่านไม่เคยช่วยพวกข้า ชุดที่พี่ชายข้าสวมก็เป็นท่านที่ตัดให้ ท่านไม่เก็บเงินกับข้าสักอีแปะ จะว่าไป… ข้าต่างหากที่เอาเปรียบท่าน”
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนปากหวาน คำพูดของเธอไม่เพียงทำให้ป้าเฝิงอบอุ่นหัวใจเท่านั้น แต่ยังรู้สึกสนิทสนมกับเธอมากขึ้นอีกด้วย
จากนั้นเธอก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “ใช่ว่าข้าไม่มีเหตุผลที่เชิญท่านไปกินข้าว ท่านเองก็รู้ หลายวันก่อนพี่ชายของข้าไปสอบเข้าสำนักศึกษา วันนี้ผลสอบประกาศออกมาแล้ว พี่ชายข้าสอบเข้าเรียนได้ เขาดีใจมาก อาหารมื้อนี้จึงเป็นการฉลองการสอบของเขา พวกท่านไปกินข้าวมื้อนี้ด้วยกันจะได้หรือไม่เจ้าคะ อีกอย่าง… ข้ายังมีเรื่องอยากรบกวนท่านด้วย เมื่อครู่นี้ข้ากับพี่ชายซื้อผ้าหลายพับมาจากร้าน ในวันหน้ายังต้องรบกวนท่านช่วยตัดชุดใหม่ให้พวกข้า ดังนั้นท่านรีบพาเสี่ยวฉานกับหูจื่อไปกินข้าวที่เรือนข้าเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกข้าคงไม่กล้ารบกวนท่านตัดชุดให้แล้ว”
ป้าเฝิงได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่าวันนี้ผลการสอบของสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยางออกแล้ว พี่ชายเจ้าสอบได้สำนักใดเล่า”
“สอบได้ทั้งสองสำนักเลยเจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังจูงมือเสี่ยวฉานและกล่าวชวน “ไปกันเถอะ พาแม่กับน้องเจ้าไปกินข้าวที่เรือนพี่สาว”
ป้าเฝิงเอ่ยชื่นชม นางไม่ได้ปฏิเสธอีก ก่อนจะพาเสี่ยวฉานกับหูจื่อออกจากเรือน เสวี่ยเจียเยว่ให้เสวี่ยหยวนจิ้งรินน้ำให้สามแม่ลูก ส่วนตนก็ออกไปเชิญป้าโจว
แม้ว่าช่วงที่ป้าโจวป่วยเธอจะคอยส่งข้าวส่งน้ำให้นาง แต่หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็เป็นเหมือนที่ผ่านมา และประตูหน้าต่างของเรือนป้าโจวยังคงปิดสนิทเช่นเคย
ความจริงแล้ววันนี้เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้คาดหวังว่าป้าโจวจะมากินข้าวด้วย แต่เพราะทุกคนต่างก็อยู่ในลานเรือนเดียวกัน จะเรียกเพียงครอบครัวป้าเฝิงก็กระไร เธอจึงเคาะประตูเรือนหลักและบอกเหตุผลของการเชิญไปกินข้าวอย่างชัดเจน
คิดไม่ถึงว่าป้าโจวจะเดินมาเปิดประตู นางพยักหน้าก่อนจะก้าวเท้าออกจากเรือน
เสวี่ยเจียเยว่มองแผ่นหลังของนางอย่างตะลึงงัน นิ่งอยู่นานกว่าจะได้สติแล้ววิ่งตามไป
เป็นเพราะเรือนฝั่งตะวันออกมีขนาดเล็ก เสวี่ยหยวนจิ้งจึงย้ายโต๊ะกับเก้าอี้รวมทั้งตั่งออกมาตั้งไว้ที่ลานเรือน เพื่อให้ทุกคนได้นั่งล้อมวงกินข้าวตรงนี้
หลังจากพวกเขายกอาหารมาวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็นั่งกินด้วยกัน
แม้ป้าเฝิงจะอาศัยอยู่ในเรือนที่ใกล้กับเรือนหลักของป้าโจวมาสองสามปี แต่จำนวนครั้งที่นางได้พบอีกฝ่ายนั้นสามารถยกนิ้วขึ้นมานับได้ เมื่อได้เห็นป้าโจวในตอนนี้ ป้าเฝิงจึงเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ไม่ได้เจอท่านตั้งนาน ขอบคุณท่านมากที่ให้ไป๋ถังเกากับขนมถังบ๊ะจ่างแก่เสี่ยวฉานและหูจื่อ”
ป้าโจวพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร สีหน้าของนางยังราบเรียบเช่นเคย
เสวี่ยเจียเยว่มองป้าโจว วันนี้นางสวมชุดคลุมหลวมสีถั่วเขียว แม้ว่าชุดจะดูเก่า แต่เนื้อผ้านั้นดีมาก ดูวาวและลื่น น่าจะเป็นผ้าไหม ตัวเสื้อปักเป็นลายกิ่งไม้สีเข้ม นางรวบผมเป็นมวยอย่างเรียบง่ายปักด้วยปิ่นเงิน เมื่อเห็นนางนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยท่าทางดูสง่างามยิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรีที่มีฐานะครอบครัวไม่ธรรมดา
เธอรู้สึกสนใจในชาติกำเนิดของป้าโจวเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพียงเรียกให้ทุกคนกินข้าวอย่างเป็นมิตร
เสวี่ยหยวนจิ้งกับป้าโจวไม่ใช่คนพูดมาก ทว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนช่างพูด เสี่ยวฉานกับหูจื่ออยู่ในวัยที่กำลังซุกซน ส่วนป้าเฝิงก็ร่วมพูดคุยด้วย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงคึกคักไม่น้อย
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูลานเรือน
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าให้เสวี่ยเจียเยว่ “ข้าไปดูเอง”
เมื่อเขากล่าวจบก็วางตะเกียบลงแล้วเดินไปเปิดประตู
[1] เซาปิ่ง คือขนมเปี๊ยะหรือขนมแป้งทอดจีน