ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 5 ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ห้า
ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
เสวี่ยเจียเยว่ยืนนิ่งด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่าเอ้อร์ยาก็เคยเข้าไปในเรือนของเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นกัน เขาจึงไม่ชอบใจเมื่อเธอเข้าไปในเรือนหลังนั้น
กว่าเสวี่ยเจียเยว่จะได้สติเอ่ยปากขอโทษ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ถือหม้อเดินจากไปแล้ว
ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น แผ่นหลังของเขากลับดูซูบผอมและโดดเดี่ยว
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาเดินไปไกลแล้ว เธอก็ก้มหน้าลงพลางยิ้มบาง
เสวี่ยหยวนจิ้งมีอคติต่อเธอมาก ความรู้สึกเช่นนี้ยากนักที่จะขจัดออกไปได้ แต่ไม่เป็นไร ชีวิตหลังจากนี้ยังยาวนานนัก เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอน
เธอให้กำลังใจตนเอง ก่อนจะหันไปหยิบไม้กวาดด้ามยาวที่พิงอยู่ข้างผนังมากวาดลานเรือน
เมื่อกวาดลานเรือนจนสะอาดสะอ้าน เธอก็นำผ้าขี้ริ้วมาเช็ดถูเครื่องเรือน โดยเฉพาะห้องที่ตนอาศัยอยู่ต้องสะอาดเป็นพิเศษ หลังจากเก็บข้าวของที่วางระเกะระกะไปส่วนหนึ่งแล้ว ภายในห้องก็ดูเป็นระเบียบขึ้นไม่น้อย เธอเหลือบไปเห็นขวดดินเผาใบหนึ่งวางอยู่ท่ามกลางกองสิ่งของที่ระเกะระกะโดยบังเอิญ แม้ว่าปากขวดจะแตก ทว่าเสวี่ยเจียเยว่นำมาเช็ดทำความสะอาดอย่างประณีต พอเช็ดเสร็จแล้วจึงเทน้ำใส่ประมาณครึ่งขวด จากนั้นก็หักกิ่งท้อมาใส่ขวด
ขวดดินเผาโบราณสีเทาอ่อนที่เรียบง่าย เข้ากับดอกท้อสีชมพูอ่อนยิ่งนัก มองแล้วรู้สึกสบายใจไม่น้อย
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เงยหน้ามองไปด้านนอกเรือน เห็นพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า เธอจึงรีบไปที่ห้องครัวทำอาหารเย็นตามคำสั่งของซุนซิ่งฮวา
ในภพที่จากมานั้น มารดาของเธอตายไปแล้ว ส่วนบิดาแต่งงานใหม่ แม่เลี้ยงไม่ได้ใจดีกับเธอนัก การตบตี ด่าทอ หรือให้อดข้าวอดน้ำจึงเป็นเรื่องปกติ ภายหลังตายายของเธอทนไม่ได้จึงมาเอาเรื่องถึงในบ้านของบิดา ก่อนจะพาเธอกลับไปอยู่กับพวกเขา กระนั้นก็ต้องขอบคุณแม่เลี้ยงจอมขี้เกียจ เพราะเรื่องทำกับข้าวกับปลาภายในบ้านล้วนเป็นเธอที่รับผิดชอบ ดังนั้นเธอจึงชำนาญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
เสวี่ยเจียเยว่นำข้าวฟ่างที่แช่เอาไว้มาล้างด้วยน้ำสะอาด ก่อนจะนำมาใส่ในหม้อแล้วเทน้ำลงไปครึ่งหนึ่ง ปิดฝาและรอให้น้ำเดือด หลังจากเติมฟืนเข้าไปในเตาแล้ว เธอก็ตอกไข่ใส่ถ้วย
ช่วงนี้เป็นฤดูกินผักขึ้นฉ่าย และในตะกร้ายังมีอยู่กำหนึ่ง เสวี่ยเจียเยว่คิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเด็ดใบขึ้นฉ่ายมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ลงไปในถ้วยไข่ที่ตอกไว้ เพิ่มเกลือลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน จากนั้นก็วางเอาไว้ด้านข้าง
บนแท่นเตาของชาวนามักจะมีหม้อใหญ่หนึ่งใบสำหรับใช้ทำข้าวต้ม และกระทะสำหรับผัดผัก
เสวี่ยเจียเยว่ก่อไฟในเตาที่มีกระทะวางอยู่ เมื่อกระทะร้อนได้ที่แล้วจึงเทน้ำมันงาลงไปเล็กน้อย ก่อนจะนำไข่ไก่ที่ผสมกับผักขึ้นฉ่ายลงไปทอด
เธอไม่ได้เทไข่ลงกระทะจนหมด แต่เทลงไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็ใช้ไม้พายพลิกไข่ในกระทะ เมื่อไข่สุกได้ที่แล้วจึงตักใส่จาน
ตอนนี้ข้าวฟ่างในหม้อเริ่มเดือดแล้ว ทำให้ได้ยินเสียงดังปุดๆ และไอน้ำลอยขึ้นมาพร้อมกลิ่นหอมอบอวลภายในห้องครัว
เสวี่ยเจียเยว่รีบหยิบถ้วยดินเผาเนื้อหยาบใบหนึ่งออกมาจากตู้ถ้วยชาม นำไปล้างทำความสะอาด ก่อนจะเปิดฝาหม้อออกแล้วตักโจ๊กใส่จนเต็มถ้วยใบนั้น… เป็นโจ๊กข้าวฟ่างที่เข้มข้นมาก จากนั้นเธอก็กินโจ๊กกับไข่ทอดใส่ขึ้นฉ่ายที่ทำเมื่อครู่นี้
วันนี้เธอได้กินแค่โจ๊กที่มีข้าวฟ่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท้องจึงร้องเพราะความหิวโหยตั้งนานแล้ว การที่ซุนซิ่งฮวาทำเช่นนั้น ทำให้รู้ชะตากรรมแล้วว่าเย็นนี้เธอคงได้กินโจ๊กที่ไม่เข้มข้นถ้วยหนึ่งเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ฉวยโอกาสที่หาได้ยากยิ่งกินจนตัวเองอิ่มท้องจะดีกว่า
เสวี่ยเจียเยว่กำลังหิวอย่างที่สุด มีหรือเธอจะสนว่าโจ๊กลวกปากหรือไม่ อีกทั้งยังกังวลว่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาจะกลับมา เธอจึงต้องกินให้เร็วที่สุด ขณะที่กินข้าวอยู่นั้น หูก็คอยฟังเสียงการเคลื่อนไหวจากภายนอกไปด้วย
เมื่อกินเสร็จแล้ว เธอก็รีบล้างถ้วยกับตะเกียบให้เรียบร้อย ก่อนจะนำไปเก็บไว้ในตู้ถ้วยชาม ส่วนไข่ที่ปรุงแล้วและโจ๊กข้าวฟ่างที่เหลือ…
เสวี่ยเจียเยว่ตักน้ำหนึ่งกระบวยใส่ถ้วยไข่ที่ปรุงแล้ว และตักใส่หม้อโจ๊กด้วย ทำเช่นนี้ซุนซิ่งฮวาจะดูปริมาณไม่ออก
ในภพที่จากมาเธอทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะสำหรับเธอ… ไม่ว่าจะเป็นแม่เลี้ยงคนไหนก็ร้ายกาจเหมือนกันหมด แน่นอนว่าเมื่ออีกฝ่ายมีแผนการเจ้าเล่ห์ก่อน เธอก็ย่อมมีการตอบโต้กลับไปเช่นกัน
เธอเพิ่มฟืนเข้าไปในเตาอย่างต่อเนื่อง จนโจ๊กข้าวฟ่างสุกมากกว่าเดิม จากนั้นทอดไข่ใส่ขึ้นฉ่าย และอุ่นหมั่นโถวธัญพืช ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ทำทุกอย่างเสร็จนั้น เธอก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูลานเรือน
เธอรีบวิ่งไปเปิดประตู เห็นซุนซิ่งฮวายืนอยู่ด้านนอก เสวี่ยหย่งฝูยืนอยู่ข้างๆ ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งยืนห่างออกไปสองสามก้าวด้านหลังพวกเขา พลางเอียงคอราวกับกำลังมองไปยังภูเขาสีเขียวขจีที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ขณะนี้พระอาทิตย์ใกล้อัสดง ทำให้เห็นลำคอที่งดงามของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น ผิวขาวราวกับกระดาษซวนจื่อก็มิปาน
เสวี่ยเจียเยว่ถอนสายตากลับมา เมื่อได้ยินเสียงของซุนซิ่งฮวา
“ฟ้ายังสว่างโร่เช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงปิดประตูลานเรือน ทั้งยังใส่กลอนอีก กลัวเสือเข้ามากินเจ้าหรืออย่างไร”
ในชนบทหากมีคนอยู่ในเรือน ก็มักจะไม่ปิดประตูเรือนและประตูลานด้านนอก หากปิดละก็ คนในหมู่บ้านต้องหัวเราะและสงสัยว่า เพราะเหตุใดจึงต้องปิดประตูกลางวันแสกๆ หรือมีเรื่องอะไรที่ไม่อาจบอกผู้ใดได้
เสวี่ยเจียเยว่เคยอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ แม้ว่าต่อมาเธอจะย้ายไปอยู่ชนบทกับตายาย แต่เพราะความเคยชิน เมื่อเข้าประตูมาแล้วจึงรีบปิด อีกอย่าง… เธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ต้องระมัดระวังเอาไว้ หากไม่ปิดประตูลานเรือน เธอย่อมไม่มีทางสบายใจ
ถ้อยคำที่ซุนซิ่งฮวาด่านั้น เธอไม่ได้โต้เถียงกลับไปแต่อย่างใด เนื่องจากแม่เลี้ยงในภพที่จากมามีนิสัยคล้ายกับนางไม่น้อย ไม่ชอบให้ใครทำตัวกระด้างกระเดื่องกับตน หากโต้เถียงเธอต้องถูกด่าหรือไม่ก็ถูกตีสักยกแน่นอน แต่ถ้านิ่งเสีย อีกฝ่ายก็จะด่าเพียงสองสามประโยคแล้วปล่อยผ่านไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยอมให้ซุนซิ่งฮวาด่าจะดีกว่า เพราะต่อให้เถียงหัวชนฝาอย่างไร ก็สู้นางไม่ได้อย่างแน่นอน
แม้จะบอกว่ามีเพียงความกล้าหาญเท่านั้นที่เอาชนะทุกอย่างได้ ทว่าอันดับแรกต้องแน่ใจก่อนว่าตนคือคนที่มีความกล้าหาญผู้นั้นหรือไม่ มิเช่นนั้นหากรู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้ แต่ยังจะวิ่งเข้าใส่แล้วปล่อยให้คู่ต่อสู้เอาชนะตน เช่นนั้นก็เรียกว่าคนโง่เขลาแล้ว การรอคิดบัญชีตอนที่ตนมีความสามารถมากพอแล้วจะไม่ดีกว่าหรือ
‘ล้างแค้นสิบปีก็ยังไม่สาย’ ความหมายของประโยคนี้คือ ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีความหวังเสมอ
เสวี่ยเจียเยว่หลุบตาลง ไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกไป ปล่อยให้ซุนซิ่งฮวาด่าเธอพลางเดินเข้าไปในลานเรือน
ขณะที่เสวี่ยหย่งฝูเดินตามภรรยาไป เขาก็มองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยแววตาตื่นตกใจ จากนั้นก็ยื่นมือไปหมายจะสัมผัสใบหน้าของเธอ
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก เธอถอยหลังไปสองก้าวอย่างเงียบๆ เพื่อหลบมือของเขา
ทว่าเสวี่ยหย่งฝูกลับไม่ได้สังเกต แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสระผมล้างหน้าด้วยหรือ ช่างดูสะอาดสะอ้านเสียจริง”
ก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่เช็ดผมจนแห้งแล้ว เธอคิดชั่วครู่ หากจะรวบผมเลยก็ย่อมทำไม่ได้ จะปล่อยผมตลอดเวลาก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องถักเปียสองข้าง
แม้ว่าเรื่องการกินของเอ้อร์ยาจะไม่สำรวมเท่าไร แต่หลังจากเส้นผมถูกสระจนสะอาดสะอ้านก็ดำขลับและนุ่มสลวย กระทั่งเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่อยากเชื่อว่าเส้นผมเจ้าของร่างที่เธอครอบครองจะงดงามได้ถึงขนาดนี้
เสวี่ยหย่งฝูพิจารณาเสวี่ยเจียเยว่อย่างละเอียด ก่อนจะเรียกซุนซิ่งฮวา “เจ้ามาดูนี่หน่อย เอ้อร์ยาสระผมล้างหน้าแล้ว ดูสะอาดสะอ้านไม่น้อยเลย พอมองดูดีๆ แล้ว หน้าตาของนางก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่นะ เหตุใดเมื่อก่อนข้าถึงไม่เคยสังเกตเลยเล่า”
ในที่แห่งนี้คนมักจะพูดว่าหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ซึ่งหมายถึงการชมว่าหน้าตางดงามนั่นเอง
ท่าทางของเสวี่ยหย่งฝูราวกับได้พบของล้ำค่าอย่างกะทันหันก็มิปาน เขาหัวเราะและอยากจะยื่นมือไปดึงผมเปียของเสวี่ยเจียเยว่ แต่เธอหลบเลี่ยงเสียก่อน ขณะเดียวกันก็รู้สึกเบื่อเขามากขึ้น
พอเสวี่ยเจียเยว่มองเสวี่ยหยวนจิ้ง ก็เห็นว่าเขากำลังมองเธอด้วยสายตาเย็นชา ดูไม่ออกเลยว่ารู้สึกอย่างไร
ซุนซิ่งฮวาไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางเดินมามองเสวี่ยเจียเยว่อย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวอย่างเย้ยหยัน “วันนี้พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกกระมัง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสระผมด้วย ทั้งยังล้างหน้าล้างตาจนสะอาดสะอ้าน ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ได้สระผมมาเกือบครึ่งปีแล้วกระมัง ล้างหน้าทุกครั้งก็อย่างกับแมว ขี้เกียจจนต้องเอาน้ำลายตัวเองมาล้าง”
เมื่อซุนซิ่งฮวากล่าวจบ เสวี่ยเจียเยว่ก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของเสวี่ยหยวนจิ้ง สายตาเย็นชาที่มองเธอนั้นมีความสงสัยแฝงอยู่ด้วย
นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะแม้แต่เธอก็ยังสงสัยในร่างกายของตนเช่นเดียวกัน
ซุนซิ่งฮวาดึงเสวี่ยหย่งฝูเข้าไปในเรือน พร้อมกับเรียกเสวี่ยเจียเยว่ “เจ้าจะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพื่ออะไร เข้ามายกอาหารสิ หรือว่าข้าดำนาทั้งวันเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแล้ว ยังต้องกลับมาปรนนิบัติคุณหนูใหญ่อย่างเจ้าอีก”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าซุนซิ่งฮวาทำกับลูกสาวแท้ๆ ของตนราวเป็นศัตรูคู่แค้นอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่เธอข้ามภพมายังไม่เคยเห็นสีหน้าเป็นมิตรของนางแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยได้ยินคำพูดดีๆ ออกมาจากปากของอีกฝ่ายสักคำ
เธอคิดเช่นนั้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัว
เสวี่ยเจียเยว่ยกจานไข่ทอดใส่ขึ้นฉ่ายกับหมั่นโถวมาวางบนโต๊ะ แต่เธอกลับไม่ใช่คนที่ตักโจ๊ก
ซุนซิ่งฮวาตักโจ๊กใส่ถ้วยใบหนึ่งเสร็จ ก็หยิบถ้วยอีกใบมาปิดถ้วยโจ๊กไว้ ก่อนจะรินน้ำออกโดยไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว จากนั้นก็ตักโจ๊กอีกถ้วยแล้วรินน้ำออกเช่นเดิม เสวี่ยเจียเยว่ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ อดถอนหายใจไม่ได้
ถ้วยโจ๊กสองใบที่ถูกรินน้ำออกก่อนหน้านี้ ซุนซิ่งฮวายื่นให้เสวี่ยหย่งฝูหนึ่งใบ อีกใบเก็บไว้ให้ตัวเอง ส่วนเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งน่ะหรือ ก็ยังคงเป็นโจ๊กเหลวๆ ที่ไม่เข้มข้น มองเห็นเมล็ดข้าวฟ่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยังดีที่เสวี่ยเจียเยว่แอบกินโจ๊กข้าวฟ่างเข้มข้นกับไข่ทอดใส่ขึ้นฉ่ายไปแล้ว เธอจึงรู้สึกเฉยๆ กับโจ๊กที่มีข้าวฟ่างอยู่เพียงเล็กน้อยในถ้วยตรงหน้า เมื่อเหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้ง ก็เห็นสีหน้าเขายังคงเฉยชา แทบไม่รู้เลยว่าคนผู้นี้รู้สึกหิวหรือไม่
เสวี่ยเจียเยว่ยกถ้วยโจ๊กขึ้นมา ก่อนจะกินอย่างช้าๆ ไม่นานเธอก็ได้ยินซุนซิ่งฮวาเอ่ยถาม
“เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้ขโมยกินใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ส่ายหน้า ทว่าซุนซิ่งฮวากลับไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะหยิบลูกกุญแจไปไขประตูห้อง ตรวจดูข้าวฟ่างกับไข่ไก่ครู่หนึ่งถึงได้เดินออกมา พร้อมกับเอ่ยถาม
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าวันนี้โจ๊กข้าวฟ่างมันพิเศษกว่าทุกวัน เจ้าไม่ได้ขโมยกินจริงๆ หรือ”
เสวี่ยเจียเยว่มองตะเกียบของซุนซิ่งฮวาซึ่งแทบจะวางในถ้วยไม่ได้ พลางคิดว่าเมล็ดข้าวฟ่างมากขนาดนั้นจะไม่พิเศษได้อย่างไร ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธดังเดิม
หากยอมรับละก็ เธอต้องถูกตีถูกด่าอย่างแน่นอน หรือต่อให้ถูกตีจนเกือบตาย เธอก็ไม่มีทางยอมรับ
ซุนซิ่งฮวากำลังจะถามอีก แต่เสวี่ยหย่งฝูพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“พอได้แล้ว ถ้าเจ้าไม่สงสัยว่าคนนี้ขโมยกิน ก็สงสัยว่าคนนั้นขโมยอยู่ดี ต่อไปตอนที่เจ้าออกจากเรือนก็เอาของพวกนี้ไปด้วยเลยสิ”
เขากล่าวจบก็หันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ แต่สายตากลับไม่มีความรำคาญแม้แต่น้อย
“ไข่ทอดใส่ขึ้นฉ่ายจานนี้ช่างอร่อยยิ่งนัก” เสวี่ยหย่งฝูพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยอีกประโยค “อร่อยกว่าแม่ของเจ้าทำเสียอีก”
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองซุนซิ่งฮวา ก็เห็นว่าสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก นางต้องไม่พอใจเป็นอย่างมากแน่นอน
แต่มีอะไรสำคัญเล่า เมื่อเสวี่ยเจียเยว่คิดถึงความโชคร้ายที่ซุนซิ่งฮวาจะได้พบเจอ หัวใจของเธอก็มีความสุข
พอหันไปเห็นสายตาเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา เพียงก้มหน้าก้มตากินโจ๊กต่อไป