ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 4 การสนทนาครั้งแรก
สี่
การสนทนาครั้งแรก
เสวี่ยเจียเยว่อาศัยความทรงจำเดิมของตน เดินกลับเรือนตามทางที่เธอเคยมาก่อนหน้านี้ ระหว่างทางมีชาวบ้านหลายคนเรียกชื่อเอ้อร์ยา ทว่าเธอกลับไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว จึงทำได้เพียงยิ้มแย้มกลับไปเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยทักทายอันใด
เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือน เธอใช้ลูกกุญแจไขเปิดประตูใหญ่ที่ติดกับลานด้านหน้าและประตูเรือน จากนั้นจึงเดินเข้าไป
ตั้งแต่ตอนเช้าของวันนี้ เสวี่ยเจียเยว่สังเกตห้องทั้งสามอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นด้านนอกหรือด้านใน แม้แต่หยากไย่ที่เกาะอยู่ตามมุมผนังเรือน เธอล้วนจำได้ดี แม้ก่อนข้ามภพมาเธอจะเป็นคนที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและคุ้นชินได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไตร่ตรองดูในยามนี้ เธอกลับไม่อยากคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่แม้แต่น้อย
หลังจากวางตะกร้าลง เสวี่ยเจียเยว่ก็เดินไปลากเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กและเก่ามาที่หน้าประตู นั่งลงบนเก้าอี้แล้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
เวลานี้แสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านใบท้อที่ปลูกอยู่ในสวนติดกับลานด้านนอก กระทบใบหน้าขาวนวลของเธอ เสวี่ยเจียเยว่พลันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปจากเดิม
เธอปรายตามองต้นท้อสูงตระหง่านที่อยู่ใกล้กับมุมผนังเรือน
นี่เป็นต้นท้อที่พบได้บ่อยในชนบท ผลของมันไม่ได้หวานฉ่ำนัก เป็นเพียงต้นท้อป่าที่จะออกผลเล็กๆ เท่านั้น และตอนนี้ก็มีดอกท้อสีชมพูอ่อนผลิบานอยู่เต็มต้น พร้อมทั้งผึ้งและผีเสื้อกำลังโบยบินไต่ตอมอยู่รอบๆ เมื่อมองภาพนั้นก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิเลยทีเดียว
เสวี่ยเจียเยว่มองอยู่ครู่หนึ่ง พลันเธอตบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
คำว่า ‘ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์’ นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะตีความอย่างไร อาจให้ความหมายในทางลบได้ว่า ‘พอใจกับสถานการณ์นี้ เพราะไม่กล้าพอที่จะเปลี่ยนแปลง’ หรือให้ความหมายอีกอย่างคือ ‘ไม่ว่าจะพบเจอสภาพแวดล้อมแบบใด ก็สามารถพึงพอใจกับมันได้ทั้งนั้น’
เสวี่ยเจียเยว่ตัดสินใจได้แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ในยามนี้เธอต้องลองปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมมีความหวัง
เธอถือลูกกุญแจไปหยุดยืนหน้าประตูห้องของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา
ไม่เพียงของใช้ที่มีค่าในเรือนเท่านั้น ของกินต่างๆ ก็ล้วนอยู่ในห้องของซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝู เมื่อซุนซิ่งฮวาออกจากเรือน แน่นอนว่าห้องนี้ต้องถูกปิดไปด้วย หลังจากปะติดปะต่อกับคำเตือนของซุนซิ่งฮวาก่อนหน้านี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็สรุปได้ว่าเอ้อร์ยาจะต้องแอบเอาของในห้องนี้ไปกินอยู่บ่อยครั้งแน่นอน
เมื่อไขกุญแจแล้ว เธอก็ผลักประตูเข้าไป และพบเตียงนอนแกะสลักเก่าๆ วางอยู่ในห้อง สีแดงหลุดล่อนออกมาไม่น้อย อีกทั้งสีของตู้กับหีบเก็บเสื้อผ้าก็หลุดล่อนเช่นกัน เมื่อเดินไปด้านหลังห้อง ก็พบกระสอบธัญพืชจำนวนหนึ่ง รวมทั้งโอ่งขนาดใหญ่หลายใบ พอเปิดฝาโอ่งดูก็พบข้าวสาร แป้งข้าวสาลี และข้าวฟ่าง แต่ก็ไม่นับว่ามากนัก เพราะตอนนี้คือฤดูกาลที่ชาวนากำลังขาดแคลนอาหาร
เสวี่ยเจียเยว่ตักข้าวฟ่างออกมาจำนวนหนึ่งและกวาดสายตาไปรอบห้อง พบไข่ไก่วางอยู่ในถังใบหนึ่ง นับได้ทั้งหมดเก้าฟอง เธอหยิบออกมาเพียงสามฟอง ก่อนจะเดินออกจากห้องแล้วปิดประตูใส่กุญแจไว้เหมือนเดิม จากนั้นจึงนำพวงกุญแจไปวางไว้บนโต๊ะในห้องโถง
เมื่อนำข้าวฟ่างแช่น้ำในถังแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะตักน้ำใส่หม้อแล้วก่อไฟต้มน้ำ
เจ้าของร่างนี้ช่างเป็นคนสกปรกมอมแมมเสียจริง ตามซอกเล็บเต็มไปด้วยดินโคลน ส่วนเส้นผมก็ไม่รู้ว่าไม่ได้สระมากี่วันแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เธอจับเส้นผมของตนก็พบว่ามันยุ่งเหยิง อีกทั้งยังรู้สึกคันเนื้อตัวเป็นอย่างมาก ร่างนี้ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้วแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ซุนซิ่งฮวาสอนให้ก่อไฟอย่างไร ตอนนี้เธอก็สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว
ฟางนั้นติดไฟง่าย ฟืนในเตาจึงติดไฟอย่างรวดเร็ว ไม่นานน้ำในหม้อก็เริ่มเดือด
เมื่อครู่ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามา เธอได้ปิดประตูลานเรือนแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย เธอจึงวิ่งไปปิดประตูเรือนลงกลอนให้เรียบร้อย จากนั้นก็หาถังไม้ใบใหญ่มาล้างสามรอบ ตักน้ำร้อนใส่ถังและผสมน้ำเย็นลงไปด้วย ก่อนจะลงไปนั่งแช่น้ำในถังใบนั้น
ถังอาบน้ำใบใหญ่ที่เคยเห็นในโทรทัศน์ล้วนไม่มีอยู่ในที่แห่งนี้ อีกอย่าง… แม้มีก็คงเป็นของตระกูลร่ำรวยเท่านั้นถึงจะใช้กัน หากจะต้มน้ำใส่ถังใหญ่ขนาดนั้นต้องใช้ฟืนเท่าไร… นั่นเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยเกินไป
เสวี่ยเจียเยว่กลัวว่าเสวี่ยหย่งฝูและคนอื่นๆ จะกลับมาในไม่ช้า ดังนั้นการอาบน้ำในครั้งนี้จึงรวดเร็วที่สุด
แม้จะเป็นการอาบน้ำที่รวดเร็ว แต่ก็ขจัดโคลนออกไปจากร่างกายได้ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว เธอก็สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสบายตัวขึ้นเป็นอย่างมาก จากนั้นเธอสระผมที่ยุ่งเหยิง ไม่มียาสระผมก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีสบู่ใช้ซักผ้าและพอให้เอามาขยี้ผม ในที่สุดเธอก็ชำระล้างสิ่งสกปรกที่อยู่บนศีรษะออกไปได้
เมื่อสระผมเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเหมือนตัวเองได้เกิดใหม่ หัวใจเธอกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเจอสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่เพียงใด เธอก็รับมือกับมันได้แล้ว
หลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว เธอเปิดประตูเรือน ยกถังไม้นำน้ำออกไปสาดทิ้งนอกเรือนอย่างทุลักทุเล เมื่อถือถังไม้กลับมา เธอก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูลงกลอน
การอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ระมัดระวังหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร
จากนั้นเธอนำผ้ามาเช็ดผมพลางกวาดสายตาไปรอบๆ เรือน
ด้านในนี้ยังคงเหมือนตอนเช้าที่เธอเห็น พื้นดินสูงต่ำไม่ราบเรียบ มุมเรือนมีไก่ตัวผู้และไก่ตัวเมียกำลังจิกกินอาหารบนกองฟางที่วางเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ
เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่ได้ เธอเดินออกจากเรือนหลัก ตั้งใจจะไปสำรวจเรือนอีกหลัง
เรือนหลังนี้เดิมทีใช้เป็นที่เก็บฟืน แต่หลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามาพร้อมกับพาเอ้อร์ยามาด้วย นางก็บอกว่าเรือนหลักมีเพียงไม่กี่ห้อง เอ้อร์ยากับเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ทั้งสองคนจึงนอนห้องเดียวกันไม่ได้ ทำให้ห้องเดิมของเสวี่ยหยวนจิ้งกลายเป็นของเอ้อร์ยาไปโดยปริยาย ส่วนเด็กหนุ่มก็ย้ายมานอนในเรือนเก็บฟืน ซึ่งใช้เก็บฟืนกับฟางไปครึ่งเรือน ส่วนบริเวณที่เหลือพอจัดระเบียบเล็กน้อยก็พอให้คนเข้ามาอยู่ได้
นั่นหมายความว่าเธอได้ยึดห้องเดิมของเสวี่ยหยวนจิ้งมาครอบครองอย่างนั้นสินะ… เสวี่ยเจียเยว่คิดเช่นนี้พร้อมกับยื่นมือไปเปิดประตูเรือนเก็บฟืน
ถึงแม้รอบด้านจะเป็นภูเขา แต่ชาวบ้านในชนบทแห่งนี้ต่างก็นำฟางมาใช้ในการก่อไฟเป็นหลัก ส่วนพวกกิ่งไม้และฟืนท่อนใหญ่มักจะใช้กันในฤดูหนาว หรือบางครั้งก็นำออกมาใช้ในฤดูอื่นบ้าง ดังนั้นสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่เห็นในเรือนหลังนี้จึงเป็นมัดฟางตั้งซ้อนกันมากกว่าฟืนเสียอีก มุมหนึ่งของเรือนมีตั่งสองตัว ซึ่งมีแผ่นไม้วางอยู่ด้านบนแผ่นหนึ่ง และปูทับด้วยผ้าห่มสีฟ้าผืนเก่าๆ
นอกจากนั้นยังมีโต๊ะเล็กหนึ่งตัว ขาข้างหนึ่งของมันหักและใช้อิฐสองสามก้อนรองเอาไว้ บนโต๊ะมีถ้วยดินเผาเนื้อหยาบหนึ่งใบ รวมทั้งตำราที่วางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบอีกหลายเล่ม ถึงแม้จะเป็นเรือนเก็บฟืน แต่การเก็บกวาดกลับดูสะอาดสะอ้าน แทบไม่มีฝุ่นอยู่บนโต๊ะแม้แต่นิดเดียว ดูสะอาดกว่าเรือนที่เธออยู่เมื่อครู่นี้เสียด้วยซ้ำ
เสวี่ยเจียเยว่ยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ขณะกำลังจะออกจากเรือน เธอก็ได้ยินเสียงคนตบประตูลานเรือน
เธอกระวนกระวายเป็นอย่างมาก และรีบปิดประตูเรือนเก็บฟืนทันที เมื่อเดินมาถึงประตูลานเรือน เธอก็หรี่ตามองไปด้านนอกผ่านรอยแยกบนประตู
เธอพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ด้านนอกพร้อมขมวดคิ้วแน่น ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมประตูจึงปิด ช่างเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเสียจริง แม้ตอนนี้เขาจะขมวดคิ้ว กลับดูมีสง่าราศีไม่น้อย ราวกับเทพบุตรจุติลงมายังโลกมนุษย์ก็มิปาน แต่น่าเสียดายที่เขาใจคอโหดเหี้ยมนัก
เป็นคนที่ไม่ควรไปแหย่ให้เกิดโทสะคนหนึ่ง…
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปปลดกลอนแล้วเปิดประตู ก่อนจะมองใบหน้าของเขา
เสวี่ยหยวนจิ้งมองแม่นางน้อยที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อพินิจให้ดีแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายเพิ่งอาบน้ำมา ปลายเส้นผมยังมีน้ำหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าที่เคยสกปรกมอมแมมก่อนหน้านี้ก็ได้รับการทำความสะอาดจนหมดจด เผยผิวขาวราวงาช้างให้เห็นอย่างเด่นชัด ลำคอกับมือก็เช่นกัน ล้วนถูกล้างจนสะอาดสะอ้าน อีกทั้งดวงตาคู่นั้นยังดูสดใส ราวกับเห็นรอยยิ้มบางๆ สะท้อนอยู่ในนั้น ทำให้นึกถึงอัญมณีที่ส่องประกายระยิบระยับ
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นคนใจดำขนาดไหน แต่ใบหน้าก็ดูอบอุ่นไร้พิษภัยได้ขนาดนี้เชียวหรือ
เสวี่ยหยวนจิ้งครุ่นคิดอย่างเย็นชาในใจ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
เสวี่ยเจียเยว่แปลกใจว่าเหตุใดเขาถึงได้กลับมาคนเดียวอย่างกะทันหันเช่นนี้ พวกเขาปักดำต้นกล้าเสร็จเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ
เธอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปในเรือน ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็เดินออกมา ในมือข้างขวาถือหม้อมาด้วยหนึ่งใบ และในหม้อใบนั้นมีถ้วยดินเผาเนื้อหยาบสองใบ
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจทันทีว่าเขากลับมาเอาน้ำดื่ม จะต้องเป็นเสวี่ยหย่งฝูหรือไม่ก็ซุนซิ่งฮวาที่กระหาย จึงให้เด็กหนุ่มกลับมาเอาน้ำไปให้พวกเขา
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งได้น้ำแล้วก็เดินออกไปนอกเรือนทันที ไม่มีทีท่าว่าอยากจะพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่แม้แต่น้อย ราวกับเธอไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาของเขาอย่างไรอย่างนั้น
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่า หากความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน การพบหน้ากันทุกวันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ อีกอย่าง… การเป็นมิตรกับเด็กหนุ่มไม่ใช่เรื่องเสียหาย เธอไม่อยากตกอยู่ในสภาพร่างกายไม่สมประกอบน่าเวทนาในอนาคต
เพราะเหตุนี้เธอจึงเป็นฝ่ายเรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง “นี่ เจ้ารอก่อน ข้า…”
เมื่อเธอเอ่ยประโยคนั้นจบ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ชะงักเท้าทันที ก่อนจะมองไปทางเรือนเก็บฟืน ทันใดนั้นนัยน์ตาเขาก็ทะมึนลง
เสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น หัวใจเธอก็สั่นสะท้านราวกับมีใครรัวกลองอยู่ภายใน ขณะมองตามสายตาของเขาไป ก็คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคงไม่รู้หรอกว่าเธอเพิ่งเข้าไปในเรือนเก็บฟืน เพราะตอนเธอออกมาก็ปิดประตูเรียบร้อยแล้ว หากมองจากภายนอกแทบจะดูไม่ออกเลยว่าเพิ่งมีคนเข้าไป อย่างน้อยก็เธอคนหนึ่งละที่ดูไม่ออกสักนิด
เธอไม่ล่วงรู้เลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นเป็นคนละเอียดรอบคอบ ทุกครั้งที่ออกมาจากเรือนเก็บฟืน เขาจะเสียบฟางเอาไว้ที่รอยแยกของประตู เมื่อกลับมาก็จะตรวจดูว่าฟางนั้นยังอยู่ในสภาพเดิมหรือไม่ หากยังเหมือนเดิม ก็แสดงว่าไม่มีใครเข้าไปในเรือนของเขา แต่ถ้าไม่มีฟางละก็ นั่นหมายความว่ามีคนเข้าไปในเรือนของเขา!
แม้ในเรือนหลังนั้นจะไม่มีของมีค่าอะไร แต่สำหรับคนที่มีนิสัยรักความสะอาดย่อมไม่ชอบให้ใครเหยียบย่ำเข้าไป ที่สำคัญคือ… คนผู้นั้นยังเป็นคนที่เขาไม่ชอบ ถึงขั้นเป็นคนน่ารังเกียจผู้หนึ่งสำหรับเขาก็ว่าได้
เขาหันกลับมามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทว่าคนฟังรู้สึกราวกับถูกมีดกรีดช้าๆ
“ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง อย่าเข้าไปในเรือนของข้าอีก”