ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 2 การปรากฏตัวของพระเอก
สอง
การปรากฏตัวของพระเอก
หลังจากผ่านการรวบรวมข้อมูลมาสองวัน เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ว่าหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทแห่งนี้มีชื่อว่าซิ่วเฟิง บริเวณรอบๆ รายล้อมไปด้วยภูเขา ภายในหมู่บ้านมีทางเดินเพียงสายเดียวที่สามารถเดินทางออกไปข้างนอกได้ เรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่ตัดขาดจากโลกภายนอกเลยทีเดียว
เสวี่ยเจียเยว่แอบด่าเพื่อนร่วมห้องผู้นั้นในใจประโยคหนึ่ง ‘เวรเอ๊ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’ จากนั้นก็เดินตามซุนซิ่งฮวาไปเงียบๆ
ทั้งสองคนอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ส่วนทุ่งนาอยู่ทิศตะวันตก ระยะทางที่ต้องเดินไปนับว่าไม่ใช่ใกล้ๆ
ระหว่างทางพบสตรีผู้หนึ่งที่แบกจอบมาด้วย นางสนทนากับซุนซิ่งฮวา เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเนื้อหาที่พวกนางสองคนพูดคุยกัน ก็ได้รู้ข้อมูลมาอีกสามเรื่อง
ข้อมูลแรกคือ ซุนซิ่งฮวาเป็นคนจากหมู่บ้านข้างๆ ชายคนแรกที่นางแต่งงานด้วยคือคนในหมู่บ้านเดียวกัน ต่อมาสามีตายจากไป เมื่อเดือนสองที่ผ่านมานางจึงมาแต่งงานใหม่ในหมู่บ้านแห่งนี้ กลายเป็นภรรยาของเสวี่ยหย่งฝู โดยมีแม่สื่อเป็นตัวกลางเจรจาให้
ข้อมูลที่สองคือ เจ้าของร่างที่เสวี่ยเจียเยว่ครอบครองมีชื่อว่าเอ้อร์ยา
ส่วนข้อมูลที่สามคือ เสวี่ยหย่งฝูเดิมทีมีลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวอีกหนึ่งคน ลูกชายของเขาปีนี้อายุสิบสี่ปีแล้ว ส่วนลูกสาวเพิ่งอายุได้สามขวบ ทว่าหลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามาได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็บอกว่าไม่สามารถเลี้ยงดูชีวิตคนได้มากมายเช่นนี้ และโยนหม้อโยนอ่างวุ่นวายเสียจนเสวี่ยหย่งฝูต้องส่งลูกสาวไปให้คนอื่นเลี้ยงดู
ทว่าตามวาจาหยอกล้ออันคลุมเครือของสตรีที่มีนามว่าป้าโจวผู้นี้ เกรงว่าลูกสาวของเสวี่ยหย่งฝูมิได้ถูกส่งไปให้คนอื่นเลี้ยงดู กลับเป็นซุนซิ่งฮวาขายออกไปเสียมากกว่า
มุมปากของเสวี่ยเจียเยว่พลันกระตุกขึ้นมาเบาๆ
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมพระเอกถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนเลวร้ายขนาดนั้น
แม่เลี้ยงใจร้ายผู้นี้กระทำการโหดร้ายทารุณต่อเขา เขาไม่เคยปริปากพูดอะไร แต่เอาน้องสาวของเขาไปขายให้พ่อค้ามนุษย์อย่างเลือดเย็น เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ล้วนทนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พระเอกยังเป็นคนจิตใจคับแคบและใจดำอำมหิตอีกด้วย
ป้าโจวผู้นี้เหมือนจะแต่งงานใหม่เช่นเดียวกัน และดูราวกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ซุนซิ่งฮวาทำ ถึงขั้นถามว่าพบพ่อค้ามนุษย์ที่ไหน เพราะในเรือนของตนก็มีลูกสาวที่เกิดจากภรรยาคนก่อนของสามีเช่นกัน การเก็บเกี่ยวพืชผลในไร่นาปีนี้ไม่ค่อยดีนัก อยู่ในเรือนก็เลี้ยงเสียข้าวสุก มิสู้ขายออกไปแลกเงินมาใช้สอยจะดีกว่า
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสะเทือนใจกับทัศนคติเช่นนี้ เธอจึงหันไปมองภูเขาอันเขียวขจีที่อยู่ไกลออกไป
จากนั้นก็ได้ยินป้าโจวถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์ยาเป็นอะไรไปเล่า เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเห็นตวาดเสียงแหลม พออ้าปากก็พูดไม่ยอมหยุด เหตุใดตอนนี้ถึงไม่พูดไม่จาสักคำ อยู่นี่กันตั้งนาน แต่ไม่ได้ยินเจ้าพูดสักประโยค”
ซุนซิ่งฮวาเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ก่อนตอบ “ใครจะไปรู้เล่า ไม่กี่วันก่อนนางล้มป่วย นอนแข็งทื่อเป็นศพอยู่บนเตียง พอลุกขึ้นมาได้ก็กลายเป็นคนเหม่อลอยอย่างในตอนนี้แล้ว ไม่ว่าใครจะพูดด้วย นางก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรโต้ตอบทั้งนั้น”
“ไอหยา คงไม่ได้เป็นใบ้หรอกกระมัง หรือว่าสมองถูกพิษไข้ทำลายแล้ว” ป้าโจวร้องออกมาอย่างตกใจ “ต้องรีบเชิญหมอมาดูอาการเอ้อร์ยาสักหน่อยแล้วกระมัง”
“ข้าจะมีเงินมากขนาดนั้นได้อย่างไรกัน” ซุนซิ่งฮวาเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “มีชีวิตอยู่รอดในปีนี้ได้ก็ถือว่าบุญนักแล้ว ใครจะสนว่าเอ้อร์ยาเป็นใบ้หรือไร้สติ ยังกลัวว่าในวันข้างหน้าเมื่อนางเติบใหญ่จะไม่มีใครต้องการอีกหรือ”
การอยู่ในชนบท ถ้าอยากจะสู่ขอภรรยาสักคนต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อแต่งงานแล้วภรรยาก็ต้องคลอดบุตรให้สามี จะเป็นใบ้หรือไร้สติก็ไม่มีผู้ใดสนใจ อาจเพราะสตรีที่เป็นใบ้หรือไร้สตินั้น ครอบครัวจะเรียกสินสอดไม่มาก ครอบครัวฝ่ายชายจึงชอบใจจนต้องรีบมาสู่ขอ
ป้าโจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็จริง เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวว่าเอ้อร์ยาจะแต่งไม่ออก พี่หย่งฝูมิใช่มีลูกชายอีกคนที่เกิดจากภรรยาเก่าหรอกหรือ เมื่อวานข้าได้ยินลูกชายของข้าบอกว่า อาจารย์ที่สำนักศึกษาชมเขาไม่หยุดปาก บอกว่าตนนั่งอยู่ในสำนักมาหลายปี สอนลูกศิษย์มาก็มาก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนฉลาดมีความสามารถเช่นเขา ภายภาคหน้าเกรงว่าจะได้เป็นถึงขุนนางเลยกระมัง หากเจ้าให้เอ้อร์ยาแต่งงานกับเขา เมื่อถึงตอนที่เขาได้รับตำแหน่งขุนนางแล้ว เจ้าก็จะเป็นทั้งแม่เลี้ยงและแม่ยายของเขา เขาจะกล้าอกตัญญูต่อเจ้าเชียวหรือ เจ้ารอเสวยสุขได้เลย”
“เขาจะเป็นขุนนางอย่างนั้นหรือ” สีหน้าของซุนซิ่งฮวาดูเหยียดหยามยิ่ง “เช่นนั้นหลุมฝังศพของตระกูลเสวี่ยคงไม่มีหญ้าเกิดสักต้นกระมัง”
ซุนซิ่งฮวากล่าวจบก็บอกลาป้าโจว และมุ่งหน้าไปยังทุ่งนาที่อยู่ทางทิศตะวันตก
เสวี่ยเจียเยว่เดินตามซุนซิ่งฮวาไปเงียบๆ พลางทบทวนเรื่องที่ป้าโจวพูดเมื่อครู่นี้ และรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
เหตุใดถึงเหมือนการเลี้ยงต้อยอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสองคนเดินผ่านเนินดินบนหลุมฝังศพหลายแห่งและเทวสถานขนาดเล็ก ถัดมาก็เห็นทุ่งนากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำ มีชาวนาหลายคนกำลังก้มตัวลงปักดำต้นกล้า บนศีรษะสวมหมวกที่ทำจากไม้ไผ่และฟาง
ซุนซิ่งฮวาพาเสวี่ยเจียเยว่ไปยังข้างที่นาของครอบครัวตัวเอง จากนั้นนำหม้อใส่โจ๊กออกจากตะกร้า ก่อนจะตะโกนเรียน “ท่านพี่ มากินข้าวเจ้าค่ะ!”
เสวี่ยเจียเยว่วางตะกร้าลง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสองคนที่อยู่ในทุ่งนา
แม้ว่าเธอจะข้ามภพมาได้สองวันแล้ว ทว่าเป็นไข้ไปเสียก่อน นอนนิ่งอยู่บนเตียงทั้งวันทั้งคืน นอกจากซุนซิ่งฮวาที่เข้ามาด่าทอในห้องแล้ว เธอก็ไม่เคยเห็นสมาชิกครอบครัวอีกสองคนเลย ตอนนี้จึงต้องมองสำรวจให้ดี
เมื่อคนผู้หนึ่งได้ยินซุนซิ่งฮวาตะโกนเรียก เขาก็วางต้นกล้าสีเขียวลง แล้วเดินลุยน้ำโคลนไปยังบริเวณข้างที่นาด้วยเท้าเปล่าเปลือย
เขาสวมอาภรณ์ผ้าป่าน รูปร่างเตี้ยและล่ำสัน บนศีรษะไม่ได้สวมหมวกบังแดด จึงมองเห็นผิวหน้าที่ดำคล้ำและเต็มไปด้วยรอยฝ้าสีแดงกับจมูกที่แบนราบได้อย่างชัดเจน ส่วนผมเผ้าก็ไม่รู้ว่าไม่ได้สระมากี่วันแล้ว ดูเป็นคนสกปรกมอมแมมไม่น้อย
คนผู้นี้คือเสวี่ยหย่งฝู
ส่วนอีกคน… เสวี่ยเจียเยว่หันไปมอง เห็นเขากำลังลุกขึ้นและมองมาทางนี้พอดี สายตาของเธอสบเข้ากับตาคู่นั้นทันที
ทันใดนั้นหัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็พลันสั่นสะท้าน ในหัวมีคำถามผุดขึ้นมา… หน้าตาของเสวี่ยหย่งฝูดูธรรมดา ทว่าเหตุใดลูกชายของเขาถึงได้หล่อเหลาเอาการเช่นนี้
เด็กหนุ่มผู้นี้คือ ‘เสวี่ยหยวนจิ้ง’ พระเอกในนิยายเรื่อง หญิงงามสิบสองตำหนัก ที่เพื่อนร่วมห้องของเธอร่างเค้าโครงขึ้นมา และเป็นพี่ชายลูกติดพ่อเลี้ยงของเอ้อร์ยา เจ้าของร่างที่เธอครอบครองอยู่
เมื่อเสวี่ยหย่งฝูนั่งลงบนพื้นเรียบร้อยแล้ว ซุนซิ่งฮวาจึงตักโจ๊กใส่ถ้วยดินเผาเนื้อหยาบ และส่งโจ๊กถ้วยใหญ่ที่เข้มข้นเป็นพิเศษให้เขา พร้อมกับบอกเสวี่ยเจียเยว่หยิบตะเกียบให้เขาด้วย
ในยามนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงได้สติ รีบหยิบตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาจากตะกร้าไม้ไผ่แล้วส่งให้เขา
เสวี่ยหย่งฝูรับตะเกียบคู่นั้นมาพร้อมกับมองเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถามซุนซิ่งฮวา “อาการป่วยของเอ้อร์ยาดีขึ้นแล้วหรือ”
กระนั้นกลับไม่มีความห่วงใยอยู่ในประโยคนั้นแม้แต่น้อย
ซุนซิ่งฮวาส่งหมั่นโถวให้เขาพร้อมกับตอบ “ดีขึ้นแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นใบ้หรือไร้สติกันแน่ วันนี้ข้าไม่ได้ยินนางปริปากพูดออกมาสักประโยค”
เสวี่ยหย่งฝูได้ยินดังนั้นก็หันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะรับหมั่นโถวพลางพูดเย้าแหย่ “เอ้อร์ยา หากเรียกข้าว่าท่านพ่อ พ่อจะเอาหมั่นโถวลูกนี้ให้เจ้ากิน”
น้ำเสียงฟังดูสนุกสนาน เหมือนเขากำลังหยอกสุนัขหรือแมวอย่างไรอย่างนั้น
เอ้อร์ยาในอดีตเป็นคนตะกละตะกลาม เพียงแค่เอาของกินมาล่อ ไม่ว่าจะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น
เสวี่ยเจียเยว่มองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบไร้ความรู้สึก ทั้งยังไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียว
“ดูเหมือนนางจะเป็นใบ้จริงๆ แต่บอกให้ทำอะไรนางก็ทำอย่างเชื่อฟัง เช่นนั้นก็คงมิได้ไร้สติหรอก” เสวี่ยหย่งฝูพูดประโยคนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นก็เอาหมั่นโถวในมือยัดเข้าปาก ก่อนจะยกถ้วยโจ๊กขึ้นซดคำใหญ่จนเกิดเสียงดัง ‘ซู้ด’ และพูดกับซุนซิ่งฮวาด้วยเสียงงึมงำว่าตอนนี้ต้นกล้าไม่พอ พอกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วต้องไปถอนต้นกล้าในนามาเพิ่ม
ซุนซิ่งฮวาตักโจ๊กใส่ถ้วยแล้วส่งให้เสวี่ยเจียเยว่ ทว่าไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนเสวี่ยหย่งฝู มีโจ๊กเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น หมั่นโถวก็ไม่ให้กิน
นางให้เหตุผล “เพิ่งหายไข้ จะกินหมั่นโถวทำไมกัน มันย่อยยาก กินโจ๊กไปก่อนสักสองสามวันค่อยมาว่ากันอีกที”
แล้วเสวี่ยเจียเยว่จะทำอะไรได้เล่า เธอไม่สามารถลุกขึ้นแล้วคว่ำถ้วยโจ๊กลงบนศีรษะของซุนซิ่งฮวาได้ เพราะต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน จึงทำได้เพียงยกถ้วยโจ๊กขึ้นดื่มเท่านั้น
หางตาของเธอเหลือบเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังเดินมาทางนี้
เด็กหนุ่มมีรูปร่างซูบผอมราวกับต้นไผ่เขียวต้นหนึ่งก็มิปาน เสื้อผ้าที่เขาสวมดูหลวมโพรกไม่พอดีตัว อีกทั้งผิวพรรณก็มิได้ดำคล้ำเหมือนเสวี่ยหย่งฝูบิดาของตน ผิวเขาขาวผ่องเป็นยองใย เมื่อถูกแสงอาทิตย์ส่องกระทบก็ราวกับกระจกบานหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ขาวจนสามารถส่องประกายออกมาได้เลยทีเดียว
ขาวมากจนทำให้คนมองรู้สึกอิจฉา…
เสวี่ยเจียเยว่คิดพลางปรายตามองเสวี่ยหยวนจิ้ง ซึ่งเดินไปนั่งล้างมือล้างเท้าอยู่ที่ลำธารเล็กสายหนึ่ง
คนดำนา สิ่งที่เท้าต้องเหยียบย่ำตลอดเวลาก็คือโคลนตม ทั้งยังต้องถือต้นกล้าที่เปียกชื้นและเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน ไม่ว่าจะเป็นมือหรือเท้า แม้แต่แขนกับน่องก็ต้องเปรอะเปื้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อครู่นี้เสวี่ยหย่งฝูไม่ได้สนใจโคลนตมที่เลอะอยู่บนมือของตนแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงข้างที่นาก็กินข้าวกลางวันทั้งที่ยังไม่ได้ล้างมือ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับล้างมือล้างเท้าอย่างพิถีพิถัน ล้างแขนกับน่องอย่างละเอียด แม้แต่แขนเสื้อที่ม้วนขึ้นมาถึงข้อศอกและขากางเกงที่ม้วนขึ้นมาถึงน่องยังไม่ปล่อยผ่านไป เขาล้างดินโคลนที่เลอะอยู่ด้านในออกให้สะอาดอย่างละเมียดละไม จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อกับขากางเกงลงมาปกปิดแขนกับน่อง ก่อนจะเดินมากินข้าว
เสวี่ยเจียเยว่คาดว่าชายผู้นี้มีนิสัยรักความสะอาดไม่น้อย เมื่อได้ข้อสรุปหนึ่งเกี่ยวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็หันกลับมาดื่มโจ๊กของตนต่อ
ซุนซิ่งฮวาตักโจ๊กให้เสวี่ยหยวนจิ้งด้วยสีหน้ารังเกียจ ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว ก็กลัวว่าคนในหมู่บ้านเดียวกันที่ทำนาอยู่ใกล้ๆ จะเห็นแล้วเอาไปนินทา จึงหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งออกจากตะกร้า ก่อนจะบิออกเล็กน้อยแล้วส่งให้ลูกเลี้ยง
เสวี่ยเจียเยว่จับตามองอยู่ ก็เห็นโจ๊กในถ้วยของเด็กหนุ่มน้อยกว่าของตนเสียอีก คาดว่าคงมีเมล็ดข้าวฟ่างอยู่เพียงสองสามเม็ดเท่านั้น เรียกว่าน้ำข้าวต้มยังจะดูเหมาะสมกว่า
เธอแอบปรายตามองเสวี่ยหยวนจิ้ง สีหน้าเขาดูเรียบนิ่งเช่นเคย เพียงยกถ้วยขึ้นมา ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วดื่มโจ๊ก จากนั้นก็กินหมั่นโถวช้าๆ ดูไม่ออกเลยว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่
ในที่สุดเธอสรุปได้ว่าที่เป็นเช่นนั้นก็ถูกแล้ว เพราะตอนสุดท้ายของนิยาย คนผู้นี้จะกลายเป็นขุนนางในราชสำนัก จะไม่ปิดบังความรู้สึกของตนเก่งได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีสีหน้านิ่งขรึมตลอดเวลา
เสวี่ยเจียเยว่ถอนสายตากลับมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดื่มโจ๊กในถ้วยของตน
เมื่อเธอดื่มโจ๊กเสร็จแล้ว โจ๊กกับหมั่นโถวของเสวี่ยหย่งฝูและซุนซิ่งฮวาก็หมดพอดี ซุนซิ่งฮวาวางถ้วยลงไปในตะกร้า พร้อมกับสั่งเสวี่ยเจียเยว่
“ข้ากับพ่อของเจ้าจะไปถอนต้นกล้า ยามบ่ายก็ต้องลงนาปักดำต้นกล้า เจ้าเอาถ้วยกับตะเกียบและหม้อไปล้างให้สะอาด แล้วเอาต้นกล้าที่เหลืออยู่มาปักดำกับพี่ชายเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองพี่ชายที่จะทำร้ายเธอในอนาคตตามเค้าโครงนิยาย เห็นเขากำลังมองหญ้าสีเขียวขจีที่อยู่บนพื้นดินด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับไม่ได้ยินที่ซุนซิ่งฮวาพูดอย่างไรอย่างนั้น
ให้เธออยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้งตามลำพัง…
มันน่าอึดอัดเกินไปแล้ว