ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 151.1 จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง (1)
หนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ด
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
เสวี่ยเจียเยว่ตัดสินใจจะตามป้าอู๋ไปดูที่ดินเปล่า…
เมื่อไปถึงเธอก็พบว่าเป็นพื้นที่ว่างมีเนื้อที่ประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบหมู่จริงๆ อีกทั้งในช่วงแรกๆ มันคงเป็นทะเลสาบ แต่ต่อมาน้ำในพื้นที่นี้น่าจะลดลงและไม่มีใครดูแล ถึงได้กลายเป็นแอ่งน้ำเหมือนตอนนี้
ที่ดินผืนนี้ไม่เพียงเป็นหลุมเป็นบ่อเท่านั้น แต่ยังมีน้ำอยู่ทุกที่ อีกทั้งด้านหน้ายังมีขยะเน่าเปื่อยมากมาย โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว หากถึงฤดูร้อนเกรงว่าจะส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว
เสวี่ยเจียเยว่ยืนดูรอบๆ ก็เห็นว่ามีเรือนชาวบ้านอยู่ทุกด้าน แต่หน้าต่างที่ใกล้กับแอ่งน้ำจะปิดเอาไว้ คงไม่มีใครอยากเห็นภาพที่ไม่เจริญตาเช่นนี้
แต่เธอกลับรู้สึกตื่นเต้นมาก และความคิดหนึ่งก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหัว
ด้วยเหตุนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงเอ่ยถามป้าอู๋ “ที่ดินเปล่านี้ เจ้าของเขาคิดจะขายเท่าไรหรือเจ้าคะ”
แม้ที่ดินจะกว้างขวาง แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแอ่งน้ำ ทั้งยังมีขยะเป็นจำนวนมาก เจ้าของที่ดินเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้ที่ดินนี้ทำอะไร อีกอย่าง… หากถึงฤดูร้อนอากาศร้อนขึ้น พื้นที่นี้ต้องเต็มไปด้วยยุง กลิ่นขยะเหม็นคลุ้ง ชาวบ้านที่อยู่บริเวณรอบๆ ต้องไปสร้างความวุ่นวายที่เรือนของเขาตลอดเวลา บังคับให้เขาจัดการกับขยะเหล่านั้น ดังนั้นเจ้าของไม่เพียงไม่ได้เงินจากที่ดินผืนนี้เท่านั้น แต่ยังต้องสูญเงินเป็นจำนวนมากทุกปี จึงอยากขายมันออกไป
แน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับมือกับปัญหาที่ยุ่งเหยิงต่อจากเขา เขาจึงไม่ได้ขายในราคาที่สูงมากนัก
หลังจากป้าอู๋บอกราคาออกไป เสวี่ยเจียเยว่ก็คำนวณในใจ คิดว่าราคานี้ยังพอรับได้ เธอจึงขอให้นางพาไปพบเจ้าของที่ดิน
ป้าอู๋คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเจียเยว่อยากจะซื้อที่ดินแห่งนี้ในทันที เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก
เดิมทีนางเพียงเดินผ่านประตูเรือนของเสวี่ยเจียเยว่เท่านั้น แต่จู่ๆ ก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้พอดี จึงคิดจะลองพูดกับเด็กสาวดู ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตกลงซื้อ เพราะช่วงหลายวันมานี้สามีของนางก็เคยเสนอขายที่ดินนี้ให้หลายคน แต่ไม่มีใครตกลงซื้อสักคน พอเสวี่ยเจียเยว่เห็นที่ดินผืนนี้กลับต้องการพบเจ้าของในทันที จะไม่ให้นางเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีได้อย่างไร
นางพาเสวี่ยเจียเยว่ไปพบเจ้าของที่ดิน และบอกว่าเด็กสาวต้องการจะซื้อไว้
ตอนแรกที่เจ้าของที่ดินเห็นเสวี่ยเจียเยว่ก็คิดว่าเธอเป็นเพียงสตรีที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น จึงคิดจะฉวยโอกาสขึ้นราคา แต่โชคดีที่เสวี่ยเจียเยว่ทำการค้าขายในเมืองผิงหยางมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกไม้ไหนเธอล้วนเห็นมาหมด การต่อรองราคานั้นถือว่าเชี่ยวชาญไม่น้อย ดังนั้นเจ้าของที่ดินจึงขึ้นราคาไม่สำเร็จ ตรงกันข้าม ยังต้องลดราคาลงจากเดิมอีกไม่น้อย
ทั้งสองคนต่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ จึงต้องเชิญคนกลางมาเขียนสัญญา โชคดีที่ตอนออกมาเสวี่ยเจียเยว่พกตั๋วเงินมาด้วยหลายใบ เธอจึงเขียนชื่อและประทับรอยนิ้วมือของตนลงบนสัญญานั้น ก่อนจะจ่ายตั๋วเงินให้เจ้าของที่ดิน ในที่สุดที่ดินผืนนี้ก็เป็นของเธอแล้ว
ส่วนป้าอู๋ในฐานะคนกลาง แน่นอนว่าต้องมีค่าเหนื่อยให้นางด้วย
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนใจกว้างกับเรื่องเช่นนี้ เธอมอบเงินห้าตำลึงให้ป้าอู๋ ทั้งยังเอ่ยกับนางด้วยรอยยิ้ม “ป้าอู๋ ต่อไปหากมีเรื่องเช่นนี้อีก ท่านต้องบอกข้าเป็นคนแรกนะเจ้าคะ”
จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่พูดคุยกับป้าอู๋อย่างสนิทสนม ไม่เพียงเธอเพิ่งมาที่นี่และมีอีกหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ ทว่าต่อไปเธอยังต้องให้ป้าอู๋คอยแนะนำอีกมาก
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าถึงอย่างไรป้าอู๋ก็อยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี รู้จักคนมาไม่น้อย ต่อไปอาจจะมีบางช่วงที่เธอต้องการความช่วยเหลือ ใช้เงินเพียงเล็กน้อย แต่ได้คนคอยช่วยเหลือเช่นนี้มาหนึ่งคน ไม่ว่าจะไตร่ตรองอย่างไรเงินก้อนนี้ก็ยังนับว่าคุ้มค่า
เมื่อป้าอู๋ได้เงินห้าตำลึง นางก็ดีใจยิ่งนัก อีกทั้งเสวี่ยเจียเยว่ยังปากหวาน ถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นก็อบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ผู้คนประทับใจไม่น้อย ดังนั้นป้าอู๋จึงยิ้มแย้มมาตลอดทาง เพียงบอกว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของนาง ทั้งยังเชิญเสวี่ยเจียเยว่ไปนั่งเล่นที่เรือนของนางหากมีเวลาว่าง
ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าตรอกเล็กๆ ที่เป็นทางเข้าเรือนของเสวี่ยเจียเยว่ จึงกล่าวอำลากันตรงนั้น เสวี่ยเจียเยว่ยืนมองป้าอู๋เดินจากไป ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกเสื้อของตนที่มีสัญญาพับไว้อย่างดี จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปในตรอกอย่างมีความสุข
เธอเห็นรถลากม้าจอดอยู่หลายคัน และมีกล่องไม้วางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ทั้งยังมีสิ่งของอื่นๆ อีกมากมาย ภายนอกนั้นถูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา ดูเหมือนคนกำลังย้ายบ้านก็ไม่ปาน
เสวี่ยเจียเยว่มองอย่างสงสัย ขณะเดียวกันเธอก็เดินต่อไป เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูลานเรือน ก็เห็นประตูลานเรือนทั้งสองบานของเรือนฝั่งตรงข้ามเปิดอยู่ มีคนรับใช้จำนวนมากกำลังเดินไปมาระหว่างเรือนกับรถลากม้า และนำสัมภาระเข้าไปจัดวางอย่างเป็นระเบียบ โดยมีสตรีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
“พวกเจ้าทำอะไรให้มันเร็วๆ หน่อย ยกสัมภาระพวกนี้เข้าไปจัดให้เรียบร้อย อีกไม่นานคุณชายใหญ่ก็น่าจะมาถึงแล้ว”
กำลังย้ายบ้านอย่างที่เธอคิดเอาไว้จริงๆ ด้วย อีกทั้งยังเป็นคนที่เดินทางเข้ามาสอบในเมืองหลวง เสวี่ยเจียเยว่ได้ข้อสรุปเรื่องนี้แล้ว จากนั้นเธอก็หยิบกุญแจออกมาและคิดจะไขประตูลานเรือน แต่พบว่าประตูไม่ได้ใส่กุญแจเอาไว้ ทั้งที่ก่อนจะออกไปกับป้าอู๋เธอใส่กุญแจประตูเรือนไว้แล้ว แต่ตอนนี้…
ทันใดนั้นเธอรู้สึกกังวลขึ้นมา ทว่าไม่นานก็สงบลง… เสวี่ยหยวนจิ้งคงกลับมาแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่ผลักประตูเข้าไป จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านในพลางเอ่ยเรียกชายหนุ่มไปด้วย “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
แต่กลับไม่มีใครตอบ…
เสวี่ยเจียเยว่เรียกเสียงดังขึ้น เรียกอีกหลายครั้งก็ยังไม่มีใครตอบ แต่ประตูเรือนทุกบานกลับเปิดกว้าง
เธอรู้สึกตื่นตระหนกทันที คิดเพียงว่ามีขโมยแอบเข้ามา ก่อนจะนึกได้ว่าที่มุมกำแพงมีท่อนไม้ที่เธอใช้ตีเสื้อผ้าเป็นประจำ จึงเดินไปหยิบขึ้นมาอย่างเงียบๆ สองมือกำแน่น และเดินย่องเบาๆ ไปทางหน้าเรือน
เมื่อเดินเข้าไปในเรือน เธอค้นหาจนทั่วทั้งสามห้อง แม้แต่ตู้ใส่เสื้อผ้าก็เปิดดู ก่อนจะมองไปที่ใต้เตียงอย่างระมัดระวัง ทว่าไม่มีแม้แต่เงาคน เมื่อตรวจดูเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่มีค่าก็ไม่ขาดไปสักชิ้น เธอจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่เดินไปดูที่เรือนฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกอย่างละเอียด ก็ยังคงไม่พบเงาคน และไม่มีสิ่งของหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว
ถึงอย่างนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ดี เธอยืนอยู่ในลานเรือนพร้อมกับถือท่อนไม้เอาไว้ ไม่กล้าเดินเข้าไปในเรือนอีก เพราะกังวลว่าจะมีคนวิ่งออกมาจากมุมไหนสักมุม และการยืนอยู่ในลานเช่นนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ
ในใจหวังเพียงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะรีบกลับมา ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเป็นคนสำคัญหนึ่งเดียวของเธอไปแล้ว เมื่อมีเขาอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอก็ไม่กลัว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเพียงว่าฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอตกใจกับเสียงเล็กน้อยที่ดังขึ้นในลาน มือกำท่อนไม้แน่นขึ้นทันที เมื่อมองไปยังบริเวณที่เกิดเสียง หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นรัวมากขึ้น
หลังจากเสียงนั้นดังขึ้นอยู่หลายครั้ง เสวี่ยเจียเยว่ก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว หัวใจของเธอเต้นแรงจนเกือบจะทะลุออกมาจากอก เธอคิดจะถือท่อนไม้เดินออกไปยืนรอเสวี่ยหยวนจิ้งที่หน้าประตูลานเรือน
แต่ขณะที่เธอกำลังจะเดินไปถึงประตูใหญ่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเพราะมีคนผลักประตู แต่เนื่องจากมีไม้ขัดเอาไว้จึงผลักเข้ามาไม่ได้
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนเกือบกระโดดถอยหลัง ฝ่ามือของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ แม้แต่ท่อนไม้ในมือก็แทบจะถือไม่ไหว
ขณะที่เธอกำลังคิดว่าใครผลักประตู สายตาก็เหลือบมองดอกไม้ตรงหน้า ก่อนจะเห็นคนกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา
เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนหน้าซีดเผือด ราวกับหัวใจจะหยุดเต้นในทันที เธอยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีอย่างไร
แต่เมื่อมองอีกครั้งก็เห็นว่าคนที่กระโดดเข้ามาคือเสวี่ยหยวนจิ้ง หากมองให้ดีจะเห็นว่าใบหน้าของชายหนุ่มราวกับน้ำแข็ง ดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยความโกรธ ดูเหมือนจะระเบิดในอีกไม่ช้า
แต่ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สังเกตเรื่องเหล่านี้สักนิด เธอแค่รู้สึกดีใจและประหลาดใจ ราวกับหาที่หลบภัยของตนเจอแล้วก็ไม่ปาน เธอโยนท่อนไม้ในมือทิ้งไป แล้วโผเข้าหาเสวี่ยหยวนจิ้งทันที
“ท่านพี่” ทั้งที่เมื่อครู่นี้เธอกลัวจนแทบร้องขอชีวิต แต่ก็ยังอดทนไม่ร้องไห้ออกมา ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะความหวาดกลัวทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมาในคราวเดียว น้ำตาไหลพรากลงมาราวกับไข่มุก
เธอโอบกอดเอวของเสวี่ยหยวนจิ้ง เสียงร้องไห้นั้นปนสะอื้นเล็กน้อย “เหตุใดท่านถึงเพิ่งกลับมา ตอนที่ข้ากลับมาเห็นประตูเรือนทุกบานเปิดอยู่ ข้านึกว่าขโมยขึ้นเรือน ทำเอาข้าตกใจจนไม่กล้าขยับ”
เสวี่ยเจียเยว่คาดว่าจะได้รับความอ่อนโยนเช่นเคย ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับจับไหล่เธอแล้วผลักออกอย่างรวดเร็ว
เมื่อก่อนเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จึงมองหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร
จากนั้นก็เห็นว่าใบหน้าของชายหนุ่มดำทะมึน อีกทั้งน้ำเสียงยังเย็นชา “เมื่อครู่เจ้าออกไปที่ใดมา”
“เมื่อครู่… เมื่อครู่ข้าออกไปดูที่ดินกับป้าอู๋มาเจ้าค่ะ”
เสวี่ยเจียเยว่สะกดกลั้นความหวาดกลัวเอาไว้ และเอ่ยอธิบายให้เสวี่ยหยวนจิ้งฟัง
หน้าอกของชายหนุ่มกระเพื่อมขึ้นลงสองสามที เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพยายามระงับความโกรธในใจ แต่ถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นยังแฝงไปด้วยความโกรธอยู่ดี “เจ้าซื้อที่แอ่งน้ำขังมาทำอะไร”