ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 124 ประกาศอำนาจ
หนึ่งร้อยยี่สิบสี่
ประกาศอำนาจ
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยประโยคนั้นจบแล้ว เธอก็สัมผัสได้ทันทีว่ามือสองข้างบนไหล่กระชับแน่นขึ้น ขณะเดียวกันลมหายใจของเขาก็ยิ่งถี่รัวขึ้น ตอนนี้เขาคงโกรธไม่น้อย เพราะเธอไม่เพียงพูดกับเขาด้วยความโมโห ยังเรียกเขาว่า ‘เจ้า’ เหมือนตอนที่เพิ่งข้ามภพมาใหม่ๆ ด้วย
ยามนี้ความโกรธของเสวี่ยหยวนจิ้งใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่ถึงเขาจะโกรธกลับยังยกยิ้มมุมปาก คิ้วเรียวงามเลิกขึ้น ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกถึงความชั่วร้ายจางๆ
“เหตุใดเจ้าถึงอยากให้ข้าบอกเรื่องนี้ เจ้ารู้แล้วจะอย่างไร เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด หลังจากนั้นก็แต่งงานกับเขาใช่หรือไม่”
ท่าทางและคำพูดของเขาเปรียบเสมือนใบมีดอันแหลมคมทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของเสวี่ยเจียเยว่อย่างโหดเหี้ยม โดนส่วนที่อ่อนไหวที่สุด ส่งผลให้ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างอึดอัด กระนั้นเธอก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น ทำได้เพียงกล่าวด้วยความโมโห
“แต่งงานกับเขาก็ใช่ว่าจะแย่ไปเสียทีเดียว ใบหน้าของเขาออกจะหล่อเหลา เฉลียวฉลาด ฐานะตระกูลก็ดี อีกอย่าง… เขายังบอกว่าชอบข้าด้วยใจจริง อยากจะสู่ขอข้าแต่งงาน ต่อไปจะไม่รังแกข้า หากข้าไม่แต่งกับเขาแล้วจะให้ข้าไปแต่งกับใคร ดีกว่า…”
ยังไม่ทันจะเอ่ยให้จบประโยค ริมฝีปากของเธอก็หนักอึ้งอีกครั้ง เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงมาจูบเสียก่อน
ไม่บอกไม่กล่าวก็จู่โจมจูบเธอเช่นนี้อีกแล้ว หากไม่เห็นด้วยก็พูดดีๆ กับเธอไม่เป็นหรืออย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่เดือดดาลยิ่งนัก ชั่วขณะนั้นเธออับอายเป็นอย่างมาก และได้แต่ใช้สองมือผลักเสวี่ยหยวนจิ้งออกไป แต่ก็ไร้ผลเพราะเขาจับมือของเธอเอาไว้แน่น ประสานนิ้วทั้งสิบพร้อมกับกดเธอเข้ากับกำแพง จนเสวี่ยเจียเยว่ไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย
ในขณะที่เธอคิดจะยื่นเท้าออกไปเตะ ก็ถูกเขาใช้แรงกดร่างของเธอเอาไว้ แม้แต่เท้าก็ยังไม่สามารถขยับได้
ด้วยพละกำลังและร่างกายของเขาที่สูงกว่า เสวี่ยเจียเยว่ก็เปรียบเหมือนภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนัง เสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนตะปูที่ตอกยึดเธอเอาไว้ ยามนี้เธอสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง สุดท้ายหากเธอเกิดใจเด็ดเดี่ยวขึ้นมา คงคิดจะกัดลิ้นของเขาเสีย
ทว่าทำอย่างไรเขาก็สามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่เพียงเท่านั้น ลิ้นของเขายังคงพันเกี่ยวกับลิ้นของเธอไม่ยอมปล่อย
เสวี่ยเจียเยว่แทบจะบ้าคลั่งเต็มทีแล้ว แต่เธอก็ยังทำสิ่งใดไม่ได้ในตอนนี้ แม้แต่พูดเสียงยังอู้อี้เพราะปลายลิ้นของเธอถูกลิ้นของอีกฝ่ายรังแกไม่หยุด ทำได้เพียงถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกดไว้กับกำแพงและจูบเช่นนี้ด้วยความจนใจ… ปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่ใจปรารถนา
เธอไม่เคยถูกใครจูบเช่นนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งช่ำชองเกินไป หรือฉลาดเกินไป ทั้งที่จูบก่อนหน้านี้ยังดูเหมือนเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับดูชำนาญกว่ามาก จนกระทั่งเธอรู้สึกว่าตนกำลังจะหมดสติในไม่ช้าเพราะขาดอากาศหายใจ ก่อนจะสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก และใช้หน้าผากแตะหน้าผากเธอเบาๆ พร้อมเอ่ยปนเสียงหัวเราะที่แหบแห้ง
“เด็กโง่ จมูกของเจ้ามีไว้ทำหน้าที่ใด หายใจเข้าไม่ได้หรืออย่างไร”
เธอยังไม่ทันจะได้ถลึงตามองหรือด่าเขาสักประโยค เสวี่ยหยวนจิ้งก็ก้มลงจูบเธออย่างดูดดื่มอีกครั้ง และครั้งนี้ร้อนแรงราวกับจะละลายตัวเธอก็ไม่ปาน
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ท่ามกลางความงุนงงเธอรู้สึกได้ว่าในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยอมปล่อยแล้ว แต่ขณะที่เธอเพิ่งหายใจได้เต็มปอด สติกลับมาได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็ก้มลงจูบริมฝีปากของเธออีกครั้ง ราวกับไม่อาจหักใจจากไปได้
เธอเดือดดาลจนถึงที่สุดแล้ว จึงกล่าวออกมา “พอได้แล้ว เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้ายังไม่หนำใจอีกหรือ” ตอนนี้เธอไม่เรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ แล้ว เพราะอยากให้ชายหนุ่มหยุดรังแกเสียที
“ไม่พอ” ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจูบเสวี่ยเจียเยว่อย่างหลงใหล เขาก็เอ่ยกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาไปด้วย “ไม่พอตลอดไป”
แต่เสวี่ยเจียเยว่พอแล้ว เธอไม่ต้องการสัมผัสกับความรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนเมื่อครู่นี้ และจูบนั้นก็ร้อนแรงและดุเดือดเกินไป ตอนนี้ทั่วร่างของเธอยังคงอ่อนระทวยไม่หาย…
ด้วยเหตุนี้เธอจึงกล่าวต่อด้วยความโมโห “เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่สนใจว่าเสวี่ยเจียเยว่จะโกรธเพียงใด และไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยอีกฝ่ายไป แต่กลับทำเพียงผละหน้ามองเด็กสาวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “เรียกข้าว่าท่านพี่”
ความโมโหของเสวี่ยเจียเยว่พุ่งปรี๊ดอีกครั้ง “เมื่อครู่เจ้าก็เอาแต่เรียกข้าว่าเสวี่ยเจียเยว่ แล้วเหตุใดข้าจะเรียกเจ้าว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ ข้าจะเรียก เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้าคนสารเลว”
เธอกัดฟันกล่าวคำว่า ‘เจ้าคนสารเลว’ ด้วยความขุ่นเคือง อีกทั้งดวงตายังแดงก่ำเล็กน้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งมองเด็กสาวด้วยความจนใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางและก้มลงจูบริมฝีปากที่แดงก่ำของอีกฝ่าย
“อือ ข้ามันสารเลว เจ้าอยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป”
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงจนตาค้าง ราวกับว่าเธอชกหมัดออกไปหนักๆ โดยคิดว่าจะสามารถสร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายได้ แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นปุยนุ่นนุ่มๆ ที่ลอยกลับมา ทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เสวี่ยหยวนจิ้งยังเอาแต่จูบเธอไม่เลิก เขาจะไม่พอจริงๆ ใช่หรือไม่ เขายังคงกดเธอไว้กับกำแพง แม้เสวี่ยเจียเยว่อยากจะดิ้นก็ยังทำไม่ได้ เจ้าคนสารเลวผู้นี้ไม่สนใจเลยว่าเธอจะยินยอมหรือไม่ ยังบีบบังคับเธออยู่เช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ทันได้ตอบรับ เขาก็ปฏิบัติราวกับเป็นสามีของเธอ เหตุใดเธอถึงต้องทำในสิ่งที่เขาต้องการด้วย
ยิ่งคิดเท่าไรเสวี่ยเจียเยว่ก็ยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจมากเท่านั้น แต่เธออับจนหนทางกับเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว สุดท้ายดวงตาของเธอพลันร้อนผ่าว จากนั้นหยาดน้ำตาก็ไหลอาบแก้มเนียน
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นมา เขาตกใจเป็นอย่างมากจนต้องรีบถอนริมฝีปากออกและก้มลงมอง ก็พบว่าใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แม่นางน้อยร้องไห้จนไหล่ทั้งสองข้างสั่นเทา
เขารีบใช้มือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย พลางเอ่ยด้วยความเป็นห่วงโดยเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างสนิทสนมเช่นที่ผ่านมา
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ตอบ เธอเอาแต่ร้องไห้อยู่เช่นนั้น
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งคิดดูแล้ว เขาจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “หรือตอนที่ข้าจูบเจ้าเมื่อครู่นี้ ข้าเผลอกัดเจ้าด้วย”
เสียงสะอื้นของเสวี่ยเจียเยว่เบาลงเล็กน้อย ทว่าหลังจากนั้นไม่นานน้ำตากลับยิ่งไหลมากกว่าเดิม และเสียงสะอื้นก็ดังกว่าเมื่อครู่
คนผู้นี้ยังมีหน้ามาถามอีกหรือ อย่าถามคำถามที่ทำให้เธออับอายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้หรือไม่
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยคำถามอื่นด้วยความระมัดระวัง แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังไม่ตอบ เธอเอาแต่ร้องไห้ตลอดเวลา อีกทั้งยิ่งร้องไห้มากเท่าไร ความเสียใจก็มากขึ้นเท่านั้น ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ในที่สุดเขาก็คว้าตัวเด็กสาวเข้ามากอดโดยไม่สนใจการขัดขืน แล้วก้มลงจูบน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่ายพลางเอ่ยอ้อนวอน
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าอย่าร้องไห้เลย ข้าผิดเอง ข้ามันเลว เจ้าอย่าร้องไห้ได้หรือไม่ เสียใจน้อยใจเพราะอะไรให้บอกข้า ดีหรือไม่”
ยิ่งเขาปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วเบามากเท่าไร เสวี่ยเจียเยว่ก็ยิ่งน้อยใจมากเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งมีความรักให้เธอได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ดังนั้นเธอจะทำตัวไร้เหตุผลอย่างไรก็ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา…
นอกเหนือจากความน้อยใจแล้ว เธอยังสงสัยยิ่งนัก
เหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้ทำตัวแปลกประหลาดเช่นนี้ เดี๋ยวนึกอยากเป็นพี่ชาย อีกเดี๋ยวก็นึกอยากเป็นสามี ทั้งยังจูบเธออย่างรุนแรงเช่นนั้นอีก ตอนนี้ริมฝีปากของเธอบวมเป่ง ลิ้นก็ปวดตลอดเวลา เขาคงไม่ใช่หมาป่าหรอกกระมัง
เธอยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด และเสวี่ยหยวนจิ้งก็กอดเธอตลอดเวลาเช่นกัน เขายอมรับผิดพร้อมเอ่ยปลอบโยนเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเธอร้องไห้เป็นเวลานานเท่าไร แต่ก็ทำเอาเหนื่อยเลยทีเดียว ในที่สุดเธอจึงค่อยๆ หยุดร้อง แต่ดวงตายังคงมีน้ำใสๆ คลอเป็นชั้นบางๆ หนังตาปูดบวมหลังจากผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ปลายจมูกเล็กก็บวมแดงราวกับกระต่ายน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ไม่ปาน
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งสงสารเด็กสาวจับใจ แต่ยังรู้สึกขำขันอยู่ลึกๆ และอดกลั้นไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นหยิกปลายจมูกเล็กเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไปเล่า ต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยหรือ ฟ้ายังไม่ถล่มลงมาเสียหน่อย”
เสวี่ยเจียเยว่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงอดสะอื้นออกมาอีกครั้งไม่ได้ เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็ทั้งอายทั้งโกรธ ก่อนจะยกมือขึ้นตบหลังมือของเขาอย่างแรง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยความโมโห
“เจ้ายังกล้าหัวเราะอีกหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาหัวเราะเยาะข้า เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าถึงร้องไห้ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเจ้า”
ในขณะที่กล่าวนั้น ดวงตาของเธอก็แดงก่ำราวกับว่ากำลังจะร้องไห้อีกครั้ง
เสวี่ยหยวนจิ้งกลัวว่าแม่นางน้อยจะร้องไห้เหมือนเมื่อครู่นี้อีก จึงรีบกล่าวปลอบโยน “เอาละๆ ข้าไม่ดีเอง ข้ามันเลว เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ”
ในขณะที่เขากอดเสวี่ยเจียเยว่นั้น คางของชายหนุ่มก็อยู่บนศีรษะของอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับกล่าว
“เหตุใดน้ำตาเจ้าถึงได้มากขนาดนี้ เจ้าถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำหรืออย่างไร”
เสวี่ยเจียเยว่กระอักกระอ่วนใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
จริงๆ แล้วเมื่อครู่ตันหงอี้ก็เอาแต่วุ่นวายกับเธอไม่เลิก และพูดในส่วนของตัวเอง ทำเรื่องของตัวเอง ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรเขาก็ไม่ยอมฟัง แต่ตอนนั้นเธอกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจเลยสักนิด แม้แต่ร้องไห้ยังไม่ร้อง เหตุใดถึงได้น้อยใจอย่างง่ายดายเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง ทั้งยังร้องไห้ง่ายอีกด้วย และเมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียด ก็นึกได้ว่าเธอไม่ได้เป็นเช่นนี้ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งเพียงครั้งเดียว…
เมื่อคิดในอีกมุม ก็พบว่าสถานการณ์มีความแตกต่างกัน ต่อให้ตันหงอี้จะไม่สนใจความรู้สึกของเธอขนาดไหน เขาก็ไม่กดเธอกับกำแพงและจูบอย่างเอาแต่ใจ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับทำ และไม่ใช่การจูบเพียงครั้งเดียว ทั้งยังเป็นจูบที่รุนแรงอีกด้วย
หลังจากคิดในใจครู่หนึ่ง เธอก็ตอบกลับอย่างเดือดดาล “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น แทนที่จะโกรธเขากลับยิ้มบาง
เขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่มีนิสัยดื้อรั้น ใช่ว่าจะปลอบให้หายโกรธได้ง่ายๆ ดังนั้นผลจึงเป็นเช่นนี้ เกรงว่าต่อไปคงได้ปลอบประโลมอีกฝ่ายบ่อยๆ แล้วกระมัง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็มีความสุขที่ได้ทำ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องของข้า แล้วจะเป็นเรื่องของใคร” น้ำเสียงของเขาดูมีความสุขไม่น้อย “ต่อไปข้าก็ต้องเป็นสามีของเจ้า เรื่องของเจ้าก็ต้องเป็นเรื่องของข้า”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งอายทั้งโกรธ “สามีอะไรกัน ใครบอกว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้า เมื่อครู่นี้ตันหงอี้ก็เพิ่งขอข้าแต่งงาน”
“เรื่องล้อเล่นเช่นนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก” เสวี่ยหยวนจิ้งจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ชีวิตนี้เจ้าจะแต่งงานกับข้าได้เพียงคนเดียว ส่วนชายอื่นเจ้าห้ามคิดเด็ดขาด”
คำพูดของเขาทำให้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที จากนั้นจึงตอบกลับไป “ใครบอกเจ้าว่าชีวิตนี้ข้าแต่งงานกับเจ้าได้เพียงคนเดียว ก่อนหน้านี้เจ้าบอกข้ามาตลอดว่าจะปฏิบัติต่อข้าเหมือนน้องสาว เหตุใดตอนนี้ถึงไม่รักษาคำพูดล่ะ นั่นไม่ใช่ตัวเจ้าเลย”
กลับกลายเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งที่อึดอัดใจบ้าง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาพลันแดงก่ำ กระนั้นเขาก็ยังพูดอย่างมั่นใจ
“ตอนนี้ก็คือตอนนี้ ตอนนั้นก็คือตอนนั้น ตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้าเป็นน้องสาวของข้าจริงๆ แต่ตอนนี้ใจข้าอยากแต่งงานกับเจ้า อยากเป็นสามีของเจ้า”