ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 6 เชื่อใจไม่ใช่เรื่องผิด
เมืองเฟิงหลินตั้งอยู่ในเขตปกครองชิงเหอ หากพูดถึงขนาดก็อยู่ในอันดับท้ายๆ ของทั้งสิบสามเมืองในเขตปกครองนี้ อันดับอยู่เหนือเมืองเม่าเท่านั้น
เจ้าสำนักเต๋าในเมืองเช่นนี้ ปกติจะเหมาะกับนักพรตระดับหกขั้นกลาง ทว่าต่งเออดูแลสำนักเต๋าเฟิงหลินด้วยพลังบำเพ็ญระดับห้า จึงยากจะเลี่ยงข่าวลือที่ว่าเขาไปล่วงเกินใครในรัฐจวงเข้า
แต่สำหรับลูกศิษย์ของสำนักเต๋าเฟิงหลิน นี่เป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัย
“ดังนั้นแล้ว ก่อนหน้าการประลองครั้งนี้ เรื่องที่ฟางเผิงจวี่วางแผนลอบโจมตีด้วยตัวเอง หวังจะฆ่าเจ้าชิงโอสถ นอกจากคำให้การของฟางเต๋อไฉ เจ้าเผยหลักฐานมัดตัวที่พอจะประกาศให้สาธารณชนรู้ไม่ได้รึ” ต่งเออสวมชุดนักพรตสีดำทั้งตัว นั่งอยู่บนเบาะในห้องฝึกสมาธิ
บนกำแพงข้างหลังเขามีภาพบุคคลหนึ่งแขวนอยู่ เป็นนักพรตสวมชุดนักพรตสีม่วงสูงส่ง ลายเส้นละเอียดประณีต ภาพสมจริงราวกับมีชีวิต แต่ใบหน้าของนักพรตกลับเหมือนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก มองเห็นไม่ชัดเจน
เจียงวั่งก้มหน้ายืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงหน้าเจ้าสำนัก ครั้นได้ยินคำถามถึงพยายามเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ข้ารู้ดีว่าเป็นเขา แค่นั้นก็พอแล้ว สำหรับหลักฐาน ก่อนที่เขาจะตายย่อมแสดงให้ทุกคนได้เห็นแล้ว และเขาก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ”
ต่งเออรู้ สิ่งที่เจียงวั่งพูดถึงก็คือลูกกลอนเปิดชีพจรที่ฟางเผิงจวี่กินลงไป
“บุ่มบ่ามเกินไปหรือไม่”
“เดิมทีควรค่อยๆ วางแผน ร้อยเรียงหลักฐาน และรอให้สำนักเต๋าตัดสิน แต่สองวันให้หลังจะเป็นวันคัดเลือกศิษย์สายในแล้ว ฟางเผิงจวี่มีชีพจรเต๋าปรากฏ เช่นนั้นก็ต้องได้เป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักแน่ เวลากระชั้นชิด ข้าทำได้เพียงเสี่ยงดู เจียงวั่งกล้าสังหารลูกศิษย์สำนักสายนอก แต่ไม่กล้าสังหารศิษย์ของเจ้าสำนัก”
สำนักสายนอกเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น ศิษย์สำนักสายในถึงจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักเต๋าที่แท้จริง!
ยามพูดเจียงวั่งก้มหน้าตลอดเวลา แสดงถึงความถ่อมตนและหน้าที่อันพึงมีของศิษย์
แต่ตอนนี้สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว กลับเป็นเสียงกระบี่นั้นที่มาจากทางตะวันตกนอกอารามเต๋าหวนสัจจะ!
ชายนามว่าหลี่อีคนนั้น ใช้เพียงกระบี่เดียวก็ตัดศีรษะบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างจั่วกวงเลี่ยได้ ไยต้องทำอะไรซับซ้อนวุ่นวายด้วย
เทียบกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนอกอารามเต๋าคืนสัจจะแล้ว เขาอ่อนแอปานใดกัน! วิชากระบี่ที่เขาภาคภูมิใจนักหนาก็อ่อนด้อยเพียงใดกัน!
จะมีเวลาไปพิรี้พิไร หาวิธีที่สมบูรณ์แบบค่อยๆ รับมือกับฟางเผิงจวี่ที่สำนักเต๋าที่ไหน
อีกอย่าง หากวันนี้ไม่บุกมาด้วยกระบี่เดียว เปิดศึกตัดสินมรรคาเป็นพยานอย่างอุกอาจ แล้วใช้วิธีอื่นเข้าปะทะ เขาจะไปได้เปรียบฟางเผิงจวี่ที่มีตระกูลฟางแห่งเมืองเฟิงหลินหนุนหลังได้อย่างไร!
“หากบอกว่าลูกกลอนเปิดชีพจรที่ฟางเผิงจวี่กินเข้าไปนั้นแย่งมาจากเจ้า เช่นนั้น ลูกกลอนเปิดชีพจรของเจ้าเอามาจากที่ใด”
มาแล้ว
เจียงวั่งหัวใจบีบรัดเล็กน้อย แต่ไม่แสดงสีหน้าออกมาให้เห็นเลย การต่อสู้ที่เกิดขึ้นนอกอารามหวนสัจจะ แม้จะไม่มีคนกล้าเข้าไปใกล้ชั่วคราวเพราะพลังอำนาจของผู้แข็งแกร่งแห่งยุค แต่หลังจากนั้นจะต้องมาตรวจสอบแน่นอน อีกทั้งพวกกงหยางไป๋วางค่ายกลไว้ในอาณาเขตรัฐจวง ต้องบอกกับผู้แข็งแกร่งรัฐจวงล่วงหน้าแน่ รัฐจวงต่อให้เล็กแค่ไหน ก็มีเกียรติศักดิ์ศรีของบ้านเมืองเช่นกัน!
ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่สุดตามที่ภายนอกรับรู้กันของเมืองเฟิงหลิน ต่งเออต้องรู้เรื่องการต่อสู้ครั้งนั้นอย่างแน่นอน
ดีที่เรื่องนี้เจียงวั่งไม่มีความลับอะไร ในโลกที่มีพลังเหนือมนุษย์แห่งนี้ ร่องรอยที่เขาเคยอยู่ที่นั่นไม่มีทางปกปิดไปได้
เขาจึงใช้พยายามใช้มุมมองที่เป็นเหตุเป็นผลที่สุด ไม่ปะปนความคิดเห็นใดๆ ของตัวเอง บรรยายเรื่องทุกอย่างที่ได้ยินได้เห็นทั้งหมดตอนนั้นทันที รวมถึงสภาพร่างกายของเขา การตัดสินใจและความคิดของเขา เขาควานเจอลูกกลอนเปิดชีพจรจากกองเลือดเนื้อเละๆ ได้อย่างไร รวมทั้งตอนสุดท้ายที่จัดการฝังกลบศพเหล่านั้นด้วย
มีเพียงเรื่องกุญแจมายาเท่านั้นที่ข้ามไป
ในระหว่างการบอกเล่าเรื่องราว นอกจากความโมโหที่แทบจะล้นทะลักซึ่งปรากฏขึ้นแล้วหายวับไปในดวงตา ต่งเออก็เงียบงันโดยตลอด
เจียงวั่งย่อมรู้ว่าต้นเหตุของความเดือดดาลนี้มาจากไหน
เขตชนบทเมืองเฟิงหลิน นอกอารามหวนสัจจะ นั่นเป็นดินแดนของรัฐจวง! แต่ผู้ฝึกตนทรงพลังที่มาจากรัฐฉู่และรัฐฉินกลับปะทะกันอย่างเหิมเกริมตรงนั้น ไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย ทั้งเมืองเฟิงหลินจนกระทั่งเขตปกครองชิงเหอไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ศึกนั้น สำหรับผู้ฝึกตนรัฐจวง นี่คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง
เหตุที่ต่งเออควบคุมความเดือดดาลนี้ไว้ ก็เพราะไม่อยากเปิดเผยความจริงที่ว่ารัฐจวงอ่อนแอไร้ความสามารถ เลี่ยงไม่ให้กระทบกับความมั่นใจในการฝึกบำเพ็ญของลูกศิษย์
เขาน่าจะเป็นเจ้าสำนักที่ดีคนหนึ่ง
เจียงวั่งสำรวจผู้แข็งแกร่งขั้นกลางที่คอยชี้แนะเส้นทางการฝึกฝนให้เขาตลอดช่วงเวลาอันยาวนานคนนี้อย่างเงียบงัน …ก่อนหน้าวันนี้เขาไม่เคยมีโอกาสเช่นนี้เลย
เขาสังเกตและสรุปพลางเล่าเรื่องที่ประสบพบเจอซึ่งเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีจนจบ
“ที่มาที่ไปของลูกกลอนเปิดชีพจรของเจ้าชัดเจน ข้าตรวจสอบประวัติภารกิจทุกครั้งของเจ้าตอนอยู่สำนักสายนอกแล้ว รู้จักประมาณตน ทั้งยังเด็ดขาด นับว่าหาได้ยาก”
ต่งเออกวาดตามองเจียงวั่งอย่างเรียบๆ แวบหนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ต่อจากนี้ไป ต่อหน้าข้าเจ้าก็เรียกตัวเองว่าศิษย์ได้แล้ว”
ใจของเจียงวั่งผ่อนคลายทันที รู้ว่าผ่านด่านนี้ไปแล้ว อีกทั้งเขายังได้รับการยอมรับจากเจ้าสำนักเต๋าเฟิงหลิน ได้รับคัดเลือกเข้าสำนักสายในเลยทันที
นิ้วโป้งทั้งสองของเขาเกี่ยวทับกัน มือซ้ายอยู่ด้านนอก มือขวาอยู่ด้านใน ประสานไว้ที่หน้าอก ก่อนก้มศีรษะลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นตามมารยาทว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์”
สำนักหรูเน้นเรื่องฟ้า ดิน เจ้าผู้ปกครอง ญาติมิตร และอาจารย์ แต่สำหรับลัทธิเต๋าแล้ว อาจารย์อยู่เหนือเจ้าผู้ปกครองและญาติมิตร เพราะผู้เป็นอาจารย์เผยแผ่มรรค เป็นผู้บรรยายมหามรรคา
สำหรับลูกศิษย์สายในของสำนักเต๋าเฟิงหลินทุกคน ต่งเออก็คืออาจารย์ผู้มีบุญคุณของพวกเขา
ดวงตาทั้งสองของต่งเออปิดลงเล็กน้อย ไม่พูดอะไรต่ออีก “ไปเถอะ”
……
เจียงวั่งเดินออกมาจากห้องฝึกสมาธิของเจ้าสำนัก เคียงข้างกับหลิงเหอและเจ้าหรู่เฉิงที่คอยอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด
ทั้งสามคนไม่พูดอะไรกันไปชั่วขณะ บรรยากาศอึมครึม
เจียงวั่งกลับมา ฟางเผิงจวี่กลับตายไป ‘ห้าจอมยุทธ์แห่งเฟิงหลิน’ เหลือเพียงแค่ชื่อแล้ว
ตู้เหยี่ยหู่กลับไม่มาปรากฏตัวที่นี่ เช่นนั้นจะต้องหลบไปดื่มเหล้าอยู่มุมไหนสักมุมแล้วแน่นอน ในบรรดาคนเหล่านี้ เขาดูเหมือนสบายๆ ที่สุด แต่เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ เขาน่าจะเป็นคนที่ไม่อาจเผชิญหน้าได้ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะก่นด่าได้เจ็บแสบเคียดแค้นปานใด ก็ไม่อาจลบเรื่องจริงที่ว่าเคยมองฟางเผิงจวี่เป็นพี่น้องแท้ๆ ได้
ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ หลิงเหอเป็นคนทำลายความเงียบงันก่อน “พวกเจ้ากลับไปที่พักก่อน ข้ายังต้องส่งร่างของเผิงจวี่กลับไปคฤหาสน์ตระกูลฟาง”
ศิษย์สายนอกของสำนักเต๋าเฟิงหลินจะอยู่หกคนต่อหนึ่งห้อง ห้าจอมยุทธ์แห่งเฟิงหลินถูกคอกัน จึงย้ายมาอยู่ด้วยกันเสียเลย คนอื่นๆ ก็เข้ามาในกลุ่มนี้ไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ห้าคนต่อหนึ่งห้องมาตลอด
เจียงวั่งไม่พูดอะไร
หลิงเหอก็มีนิสัยแบบนี้ ไม่ว่าฟางเผิงจวี่จะทำผิดเท่าไร เขาก็ไม่มีทางเพิกเฉยศพของฟางเผิงจวี่
“ยังเกลียดเจ้าสี่อยู่อีกหรือ” หลิงเหอถาม
“อย่าเรียกเจ้าสี่ๆ อีก” ใบหน้างามสง่าของเจ้าหรู่เฉิงฉายแววรังเกียจ “ข้าอับอายที่ต้องพูดถึงคนที่ทำร้ายพี่น้องและต่ำช้าชั่วร้ายแบบนั้น”
เทียบกับอายุแล้ว หน้าตาของหลิงเหอดูเป็นผู้ใหญ่ไปสักหน่อย และก็คงเพราะสาเหตุนี้เองที่ทำให้เขายิ่งได้รับความเชื่อใจและความสำคัญโดยง่าย ในบรรดาห้าคน เขารับบทพี่ชายคนโตมาโดยตลอด ดูแลเอาใจใส่น้องๆ ทั้งหลายมามาก
และเพราะความสุขุมเป็นผู้ใหญ่ ทำให้คนมักลืมไปว่าความจริงเขาอายุเพียงสิบเก้าปี มากกว่าเจียงวั่งแค่สองปี มากกว่าเจ้าหรู่เฉิงสามปีเท่านั้น
เพียงแต่เด็กยากไร้มักเป็นผู้ใหญ่เร็ว
เจียงวั่งมองหลิงเหอพลางส่ายหน้า เอ่ยออกมาว่า “เกลียดเขาไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ข้าแค่เกลียดที่ตัวเองโง่ เกลียดตัวเองที่เชื่อใจผิดคนเท่านั้น”
แม้เจียงวั่งจะแสดงออกว่าสงบนิ่งปานใด หลิงเหอก็ยังฟังเสี้ยวความแค้นที่ไม่อาจลบเลือนได้นั้นออก เขาพอจะเข้าใจได้
“ความเชื่อใจเป็นหนึ่งในสิ่งที่สว่างไสวที่สุดในโลกนี้ เชื่อใจไม่ใช่สิ่งที่ผิด เจียงวั่ง” หลิงเหอกล่าวเช่นนี้ “คนที่ผิดคือคนที่ละเลยต่อความเชื่อใจของเจ้า”
เขาไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แต่แววตาเป็นกังวลของเขายังบอกกับเจียงวั่งอีกว่า
ความรักพี่น้องระหว่างพวกเขาก็ไม่ผิด อีกทั้งยิ่งไม่ใช่ของปลอม สิ่งที่ผิด สิ่งที่ปลอม มีแค่คนที่หันหลังให้ทุกอย่างคนนั้น มีเพียงแค่ฟางเผิงจวี่คนเดียว
ดังนั้นเขาถึงส่งศพของฟางเผิงจวี่กลับไป ทำให้อีกฝ่ายไม่ถึงกับตายแล้วไม่มีที่ไป นี่ไม่ได้มาจากการยอมรับหรือเห็นอกเห็นใจฟางเผิงจวี่ แต่แค่เพราะเคารพและปกป้องความรักพี่น้องที่พวกเขาเคยมีร่วมกัน และภายหลังก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลงไป
นี่ก็คือหลิงเหอ
ไม่ว่าจะฉุนเฉียวอย่างตู้เหยี่ยหู่หรือหยิ่งยโสอย่างฟางเผิงจวี่ ล้วนยินยอมเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ ใช่เพียงเพราะอายุเสียที่ไหน
“ท่านไปเถอะ คนตายก็ดั่งตะเกียงดับ บุญคุณความแค้นหายสิ้น” เจียงวั่งหยุดฝีเท้า “แต่ว่าข้าทำถึงขนาดไปเป็นเพื่อนท่านไม่ได้หรอกนะ”
“ข้ายิ่งทำไม่ได้เลย” เจ้าหรู่เฉิงก็โพล่งขึ้นมาเช่นกัน
หลิงเหอตบๆ ไหล่เจ้าหรู่เฉิง มองเจียงวั่งอย่างลึกล้ำแวบหนึ่งก็หมุนตัวจากไป
………………………………………………………