ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 51 ทลายขุนเขา
ก่อนการต่อสู้ของศิษย์ชั้นปีห้าจะเริ่มขึ้น เว่ยชวี่จี๋กับต่งเออที่ยุ่งอยู่ทุกวันกลับมาปรากฏตัวในสถานที่แข่งขัน
สำหรับพวกเขาแล้ว การต่อสู้ระหว่างศิษย์สำนักเต๋าประจำเมืองไม่มีอะไรน่าชม ทว่าการต่อสู้ระหว่างศิษย์ชั้นปีห้าสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งสามเมือง
หนึ่ง ศิษย์ชั้นปีห้าโดยพื้นฐานคือตัวแทนพลังต่อสู้สูงสุดของสำนักเต๋าประจำเมือง สอง ในงานสามเมืองเสวนาเต๋าจะมีหนึ่งรายชื่อที่เข้าสำนักเต๋าระดับรัฐได้โดยตรง! ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่ในเดือนหน้า ไม่จำเป็นต้องไปนครเขตปกครอง ตรงไปเมืองหลวงรัฐจวงได้เลย!
ตำแหน่งรายชื่อนี้ แน่นอนว่ามีไว้ให้ผู้ชนะเลิศของศิษย์ปีที่ห้าในงานสามเมืองเสวนาเต๋าเท่านั้น
เมื่อเว่ยชวี่จี๋และต่งเออเข้ามานั่งบนแท่นนั่งชม ทั่วทั้งลานเงียบลงมากอย่างเห็นได้ชัด
ต้องยอมรับเลยว่า ผู้แข็งแกร่งระดับต่งเออส่งผลอย่างมหาศาลต่อการยกระดับความแข็งแกร่งโดยรวมของสำนักเต๋า
งานสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนี้ ผู้ชนะเลิศชั้นปีหนึ่งคือเจียงวั่งจากสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน ส่วนศิษย์ชั้นปีสามแทบจะเป็นการสู้กันภายในของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน
ต่งเออใช้พลังบำเพ็ญของผู้แข็งแกร่งระดับห้าเบิกคลังปกครองสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลิน นี่เป็นโชควาสนาของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้ขอแค่ได้ตำแหน่งชนะเลิศของศิษย์ชั้นปีห้ามา เมืองเฟิงหลินก็เรียกได้ว่าชนะอีกสองเมืองอย่างแน่นอน และจะได้ส่วนแบ่งมากที่สุดเพียงผู้เดียวจากการจัดสรรทรัพยากรของราชสำนักจวงในปีนี้
ดังนั้น จางหลินชวนจึงแทบจะนวดหน้าผากจนทะลุเป็นหลุม
“แรงกดดันหนักหนาเหลือเกิน…” เขาพึมพำเบาๆ
การต่อสู้สามศึกบนสนาม ศึกที่ดึงดูดสายตาคนมากที่สุดย่อมเป็นการต่อสู้ระหว่างหลินเจิ้งเหริน…กับซุนเสี่ยวหมาน
คนหนึ่งคืออันดับหนึ่งบนกระดานแต้มเต๋าเมืองวั่งเจียงผู้สงบสุขุม อีกคนหนึ่งเป็นสาวน้อยตัวเล็กน่ารักที่เหมือนแค่ลมพัดก็ปลิว
“เด็กสาวคนนี้…สิบขวบหรือยังน่ะ?” เจ้าหรู่เฉิงเดาะลิ้นอย่างประหลาดใจ
ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานนั่งอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก ซุนเซี่ยวเหยียนที่ไม่รู้ว่าสวมชุดดำใส่หมวกคลุมตั้งแต่เมื่อไรหันหน้ามาอย่างโกรธเคือง ตะโกนว่า “อ้าอาอุ๊อิบอ๋ามแอ้วอ๊ะ! อั้นอืออี้อ๋าวอ้า!”
เจ้าหรู่เฉิงฟังไม่ถนัด จึงเขยิบไปหาทางนั้นเล็กน้อย ก่อนจะหดศีรษะกลับในฉับพลันแล้วสูดลมหายใจลึก เพราะเขาเห็นใบหน้าอ้วนที่บวมปูดเขียวคล้ำใต้หมวกคลุมอย่างชัดเจน เจ้าอ้วนที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งคนนี้ ไม่รู้ว่าในช่วงสั้นๆ หลังลงมาจากสนามประลองเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าถึงบวมปูดไปหมด มองไม่เห็นดวงตา พูดจาก็ไม่ชัดเจน
‘หรือว่าจะเป็นผลข้างเคียงของวิชากลองหนังปฐพี?’ เจ้าหรู่เฉิงคิดในใจ
ทางซุนเซี่ยวเหยียนเห็นว่าใบหน้าตัวเองทำให้คนอื่นตกใจได้ ก็หดตัวกลับไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ มืออวบอ้วนดึงหมวกปิดลงไปอีก ก่อนพี่สาวจะลงสนามยังหามุมซ้อมเขาก่อนรอบหนึ่ง เขาจะทวงถามความยุติธรรมจากไหนได้?
เจียงวั่งไม่แสดงสีหน้า ทว่าในใจกลับกังวลเล็กน้อย
เด็กอ้วนคนนี้อายุเพียงสิบสามปี ส่วนเขาอายุสิบเจ็ดแล้ว สาวน้อยตัวเล็กบนเวทีคนนั้นเป็นพี่สาวของเด็กอ้วน แต่ได้เป็นตัวแทนศิษย์ชั้นปีห้าของเมืองซานซานมาร่วมต่อสู้ จะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าแน่
ในช่วงเริ่มต้นของเส้นทางการฝึกบำเพ็ญ เขาอยู่รั้งท้ายเกินไปหรือไม่
……
เด็กสาวเท้าเปล่าคนนั้นกระโดดขึ้นไปบนสนามประลองอย่างคล่องแคล่ว จี้ค้อนเงินอันเล็กที่ห้อยอยู่ตรงข้อมือแกว่งไปมา นางมีใบหน้าเล็กน่ารักที่ช่างไร้พิษภัย พอเทียบกันแล้ว รูปโฉมซึ่งเรียกได้ว่าหล่อเหลาของหลินเจิ้งเหรินไม่ได้เรียกแรงสนับสนุนให้เขาสักเท่าไรเลย
คนดูมากกว่าครึ่งด้านล่างหวังให้ซุนเสี่ยวหมานชนะ ส่วนอีกเกือบครึ่งหนึ่งที่เหลืออยากให้นางชนะโดยไม่ต้องลำบากมากนัก
“ได้ยินว่าฉู่ผิงตายด้วยน้ำมือของสยงเวิ่น หัวใจถูกควักออกมาด้วยนี่นะ ข้าเสียใจแทนเจ้าด้วย” ก่อนเริ่มต่อสู้ หลินเจิ้งเหรินเอ่ยขึ้นอย่างเอ้อระเหย
“เป็นหรือตายล้วนแล้วแต่โชคชะตา” ซุนเสี่ยวหมานมีสีหน้าไร้อารมณ์
เจียงวั่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า บรรยากาศของเหล่าผู้บำเพ็ญเมืองซานซานที่อยู่ด้านข้างเย็นเยียบลงมาก
ก่อนหน้านี้สยงเวิ่นไปปรากฏตัวที่เมืองซานซาน และถูกศิษย์ของสำนักเต๋าเมืองซานซานล้อมโจมตี แต่เขาไม่ใช่แค่หนีรอดไปได้ ทว่ายังสังหารผู้บำเพ็ญสิบคนรวมฉู่ผิงศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋าเมืองซานซานด้วย ทุกคนถูกควักหัวใจออกมาแกล้มสุรา สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเขตปกครอง
เรื่องนี้เป็นเหตุให้กรมอาญาระดมกำลังในเขตปกครองแม่น้ำชิงมาปราบปราม
หลินเจิ้งเหรินเอ่ยถึงเรื่องนี้ในยามนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อแสดงความเสียใจ
ขณะมองเด็กสาวตรงหน้า หลินเจิ้งเหรินก็หัวเราะ “ปีที่แล้วเขาแพ้ให้กับข้า ไม่รู้ว่าปีนี้เจ้าจะเอาชนะกลับได้หรือไม่”
ฉู่ผิงตายไปแล้ว ย่อมไม่อาจเอาชนะกลับได้อีก
แต่คนที่ยังอยู่จะมีโอกาสเช่นนี้หรือไม่
ซุนเสี่ยวหมานย่างเท้าเปล่าไปด้านหน้า เท้าหยกขาวเนียนคู่นั้นเดินตัดสลับกันไปด้านหน้า
การต่อสู้เริ่มขึ้น
หลินเจิ้งเหรินกางมือขวาออก ดึงแส้ยาวสีมรกตเส้นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อข้างซ้าย
แส้นั้นพลิ้วไหวราวสายน้ำ จากนั้นก็ยืดออกในฉับพลัน ก่อนแหวกอากาศพุ่งตรงไปทางซุนเสี่ยวหมาน กลับกลอกเจ้าเล่ห์ดุจอสรพิษ!
เมื่อเขาผลักมือซ้ายออกไป พื้นดินก็เกิดคลื่น คลื่นพิโรธม้วนตัวขึ้นมาในพริบตา ล้อมซุนเสี่ยวหมานไว้ คลื่นพิโรธครั้งนี้รวดเร็วหาใดเปรียบ
ในขณะเดียวกัน คนที่สายตาเฉียบคมจะสังเกตเห็นได้ว่า บนพื้นที่ว่างเบื้องหน้าหลินเจิ้งเหรินมีอะไรกำลังทะลวงผืนดินทำลายก้อนอิฐออกมา
ประลองกับเด็กสาวเช่นนี้ ยังจะเล่นงานจิตใจก่อนล่วงหน้า บางทีอาจทำให้คนมากมายรู้สึกว่าน่าอาย แต่ก็ยิ่งทำให้คนได้รู้ถึงความหนักแน่นของหลินเจิ้งเหรินขึ้นไปอีกเช่นกัน
ไม่ปล่อยจุดได้เปรียบไปแม้แต่น้อย ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตั้งตัวเลย
ในการต่อสู้เวลานี้ ความหนักแน่นเช่นนี้ยิ่งแสดงออกมาอย่างหมดจด
รูปแบบการต่อสู้ของหลินเจิ้งหลี่อาจจะเลียนแบบคนอื่นมา แต่พลังที่แท้จริงห่างชั้นอยู่หลายขุม
ซุนเสี่ยวหมานกระโจนขึ้นจากพื้น เตะปลายเท้าเปล่าหลบแส้ที่หวดเข้ามาทันควันอย่างสบายๆ จากนั้นจึงเหยียบบนคลื่นที่โจมตีมาตรงไปด้านหน้า
คิ้วกระบี่ของเจ้าหรู่เฉิงพลันเลิกขึ้น ดวงตาเผยความตกตะลึง
นั่นคือพลังวิชาเต๋าที่มีพลังทำลายล้างเชียวนะ เท้าหยกของนางกลับไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย หนำซ้ำสัมผัสร่องรอยการปลดปล่อยวิชาเต๋าออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อาจเพราะตัวนางมีวิชากลองหนังปฐพีเหมือนกับซุนเซี่ยวเหยียน หรืออาจจะเพราะนางหลอมกายาจนแข็งแกร่งได้ระดับหนึ่งแล้ว
ถ้าพูดถึงในตอนนี้ เหมือนจะมีเพียงพวกนักรบที่ไม่รักชีวิตเท่านั้น ถึงจะทำได้ถึงขั้นใช้กายเนื้อล้วนๆ ตัดขาดอันตรายจากพลังวิชาเต๋า
สาวน้อยเท้าเปล่าวิ่งไปบนคลื่น เหยียบพลังวิชาเต๋าของหลินเจิ้งเหรินไม่กี่ก้าวก็กระโจนตัวไปด้านหน้า
หลินเจิ้งเหรินปล่อยมือ แส้ยาวสีมรกตสะบัดหางในฉับพลัน เกิดเป็นเสียงอากาศถูกทำลาย ก่อนจะกลายเป็นงูหลามยักษ์ตัวหนึ่งกลางอากาศ แยกเขี้ยวพุ่งขย้ำไปทางซุนเสี่ยวหมาน
แส้ยาวเส้นนี้เดิมทีสร้างขึ้นจากปีศาจงูหลามตัวหนึ่ง เป็นถึงสมบัติสืบทอดของตระกูลหลินแห่งเมืองวั่งเจียง มีชื่อว่านาคามรกต
เวลาเดียวกัน พื้นที่ว่างเบื้องหน้าหลินเจิ้งเหรินก็ระเบิดออกในฉับพลัน เถาวัลย์นับไม่ถ้วนพุ่งออกมาเหมือนฝูงงู! วิชาเต๋านี้เป็นรูปแบบวิชาชั่วพริบตา! เป็นวิชาเต๋าที่สลักลงในจุดผ่านสวรรค์หลังจากที่หลินเจิ้งเหรินสำเร็จวงจรจักรวาลเล็กครั้งแรก
วิชาเต๋าประเภทนี้ปกติไม่เผยออกมาให้เห็นง่ายนัก เพราะผู้บำเพ็ญระดับล่างทุกคนสลักวิชาเต๋าชั่วพริบตาลงในจุดผ่านสวรรค์ได้เพียงสองวิชา แบ่งเป็นตอนสำเร็จวงจรจักรวาลเล็กครั้งที่หนึ่ง และหลังจากสำเร็จวงจรจักรวาลใหญ่ครั้งที่หนึ่ง นี่เป็นดั่งวิชาไม้ตายของผู้บำเพ็ญทุกคน มักจะไม่ค่อยให้คนอื่นได้รู้
บางครั้งในการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญ แม้ว่าจะเป็นวิชาเต๋าชั่วพริบตา ก็มักแสร้งทำเป็นประสานปางมือก่อนครู่หนึ่งเพื่อปิดบังอำพราง
หลินเจิ้งเหรินเหมือนจะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง จึงงัดไพ่ตายออกมาใช้โดยไม่ลังเล
เถาวัลย์งูเหล่านี้ตัดสลับกลางอากาศ ถักทอเป็นกำแพงเถาวัลย์ที่แข็งแกร่งฟันแทงไม่เข้าในเวลาอันรวดเร็วขวางไว้ด้านหน้าหลินเจิ้งเหริน
วิชาเต๋าธาตุไม้ กำแพงเถาอสรพิษ!
ส่วนซุนเสี่ยวหมานที่อยู่ด้านหน้าหลินเจิ้งเหริน เมื่อเผชิญกับงูหลามยักษ์ที่ไล่มาด้านหลัง ด้านหน้าก็มีกำแพงเถาวัลย์ขวางอยู่ นางทำเพียงชูมือเล็กๆ ขึ้นสูง
เครื่องประดับเงินอันเล็กที่ห้อยอยู่บนข้อมือขยายใหญ่ขึ้น
คนทั้งหมดเห็นว่าเด็กสาวเท้าเปล่าที่น่ารักคนนั้นกระโจนอยู่กลางอากาศ แต่สองมือของนางจับด้ามค้อนยักษ์สีเงินทั้งสองไว้แน่นแล้ว ก่อนจะหมุนควงรอบกาย!
ค้อนยักษ์หมุนพร้อมเสียงลมรอบหนึ่ง จากนั้นฟาดลงไปยังนาคามรกตที่อยู่ด้านหลัง เกี่ยวงูหลามยักษ์ตัวนี้เอาไว้แล้วหมุนควงต่อ
ซุนเสี่ยวหมานหมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ บนค้อนยักษ์มีงูหลามสีมรกตห้อยอยู่ แล้วจึงใช้พลังที่ไร้ข้อกังขาหวดทุบไปบนกำแพงเถาอสรพิษ
เพียงพริบตาที่สัมผัส กำแพงเถาอสรพิษที่รวมขึ้นจากวิชาเต๋าชั้นสองระดับกลางก็พังทลายลง
หนึ่งค้อนทลายขุนเขา!
……………………………………….