ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 40 เขาไม่คู่ควร
“น่าสนใจ” เจียงวั่งเผยยิ้ม
“เจ้าจะไปหรือไม่” หลิงเหอถาม
“ทำไมจะไม่ไปเล่า” เจียงวั่งหันไปพูดกับอันอัน “เดี๋ยวพี่จะพาเจ้าไปดื่มกินให้หนำใจ ดีไหม”
เจียงอันอันผงกศีรษะเล็กๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ
ดังนั้นหลิงเหอจึงจัดระเบียบเสื้อผ้า หยิบกระบี่ขึ้นมา
“นี่!” เจียงวั่งห้ามเขาไว้ “ท่านไม่ต้องตามไปหรอก ไม่ได้ไปอาละวาดเสียหน่อย”
ครั้นเห็นสายตาของหลิงเหอ เจียงวั่งจึงเสริมไปอีก “วางใจเถิด ตระกูลฟางไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้น”
หลิงเหอคิดๆ ดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงวางกระบี่นั่งลงขัดสมาธิ สำหรับเขาแล้ว ถ้าหากไม่มีธุระอื่น เขาสามารถฝึกบำเพ็ญได้ทั้งวันทั้งคืน
การฝึกฝนไม่มีฟ้าหรือดิน ความสุขของการฝึกฝนอยู่ภายใน
…….
ระหว่างเดินไปยังหอชมจันทร์ อันอันพลันเงยหน้าขึ้นถาม “ตระกูลฟางเป็นคนเลวหรือเปล่า”
“อ้อ?” เจียงวั่งมองนางด้วยความสนใจ “ทำไมจึงถามเช่นนี้”
“ข้าเห็นว่าขนาดพี่หลิงเหอยังอยากเล่นงานพวกเขาเลย” เจียงอันอันตอบ
เจียงวั่งยิ้มขึ้นมา
นิสัยเช่นนั้นของหลิงเหอก็ดูเป็นอริกับใครได้ยากจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปกินข้าวแล้ว” เจียงอันอันเอ่ยอีก
“ไม่ได้สิ ต้องไปกิน แล้วต้องกินให้ดูดี กินให้มีมารยาทด้วย” เจียงวั่งกล่าวอย่างจงใจ “กินให้พวกคนเลวจนไปเลย พวกเรากำลังทำเรื่องดีอยู่ เข้าใจหรือไม่”
เจียงอันอันกัดนิ้วโป้งคล้ายกำลังครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าให้
เพียะ!
“อย่ากัดนิ้ว!”
เมืองวั่งเจียงมีหอชมชลที่สูงใหญ่ ชื่อเสียงขจรไกล ในเมืองเฟิงหลินก็มีหอชมจันทร์ที่ชื่อคล้ายกันอยู่ แต่เทียบกับอีกที่แล้วยังสู้ไม่ได้
หอนี้ไม่สูงมากนัก มีเพียงสามชั้น แต่กลับใช้ชื่อว่าชมจันทร์ที่ไม่ได้เข้ากับความเป็นจริง จึงฟังแล้วชวนให้ขบขัน
ทว่าอาหารในหอนี้ยอดเยี่ยมอย่างหาได้ยาก ดังนั้นกิจการจึงรุ่งเรืองเสมอมาในเมืองเฟิงหลินแห่งนี้
เจียงวั่งอุ้มเจียงอันอันเดินเข้าไปในหอชมจันทร์ ก่อนจะมีข้ารับใช้ของตระกูลฟางเชิญไปยังห้องส่วนตัว
ชายกลางคนที่ท่าทางหนักแน่นใบหน้านับว่างามสง่าคนหนึ่งตรงเข้ามาต้อนรับ “หลานชาย!”
เมื่อสายตามองมาที่ตัวเจียงอันอัน เขายิ้มเป็นมิตรมากกว่าเดิม “นี่คือน้องสาวของเจ้าสินะ น่ารักจริงๆ”
เจียงวั่งเคยพบฟางเจ๋อโฮ่วมาแล้ว ตอนที่เขาสนิทสนมกับฟางเผิงจวี่ ฟางเจ๋อโฮ่วเชิญพวกเขามาร่วมโต๊ะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เวลานั้นฟางเจ๋อโฮ่วยังห่วงใยและคาดหวังในตัวหลานชายของตนเองอยู่มาก หลังจากที่ฟางเผิงจวี่ตายไป เพราะว่าตายอย่างไร้เกียรติ สุดท้ายตระกูลฟางจึงไม่มีใครออกหน้ามาฝังศพ
คำว่าหลานชายของอีกฝ่าย เจียงวั่งไม่อยากจะยอมรับ เขาเอ่ยทักทาย “คารวะประมุขตระกูลฟาง”
“ยังไม่ใช่ ยังไม่ใช่” ฟางเจ๋อโฮ่วหัวเราะ จากนั้นกวักมือเรียก หยิบไข่มุกทองเส้นหนึ่งจากคนรับใช้ยื่นไปทางเจียงอันอัน “พบหน้ากันครั้งแรก ลุงให้ของขวัญกับเจ้าแล้วกัน!”
เจียงอันอันหันหน้าหนี เอาใบหน้าเล็กๆ ซุกอกเจียงวั่ง ในหัวน้อยๆ ของนางมองคนผู้นี้เป็นศัตรูไปแล้ว กระทั่งพูดจาก็ยังไม่อยากพูดกับเขา
เจียงวั่งวางเจียงอันอันให้นั่งลงบนที่นั่งหน้าโต๊ะพลางกล่าว “เด็กน้อยไม่ชินกับคนแปลกหน้า อย่าได้ถือสาเลย ส่วนของขวัญก็ละไว้เถิด เชิญรองเจ้ากรมฟางเอ่ยมาตามตรง ที่เชิญข้ามาครั้งนี้มีเรื่องอะไร”
ฟางเจ๋อโฮ่วควบตำแหน่งรองเจ้ากรมด้วย มีตำแหน่งขุนนางติดตัวอย่างเป็นทางการ ทว่าตำแหน่งรองเจ้ากรมนี้ไม่ได้สูงเท่าไรนัก
“ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน” ฟางเจ๋อโฮ่วไม่เผยสีหน้ากระดากอายแม้แต่น้อย โบกมือให้คนรับใช้เก็บไข่มุกทองไป จากนั้นกล่าวต่อว่า “ลองชิมอาหารขึ้นชื่อของที่นี่เสียก่อน ไก่ใบบัว”
เจียงอันอันที่ตัดสินใจว่าจะกินให้พวกคนเลวจนกรอบตั้งท่าเตรียมกินแล้วเรียบร้อย แต่กลับถูกเจียงวั่งกดห้ามไว้ เจียงวั่งยื่นตะเกียบชิมอาหารทุกจานบนโต๊ะอย่างละคำ อีกพักหนึ่งจึงค่อยยกอาหารสองสามจานมาวางลงตรงหน้าอันอัน
“พี่ชายชิมให้เจ้าแล้ว อาหารพวกนี้รสชาติดีที่สุด”
เดิมทีอันอันคิดจะบ่น แต่พอกลิ่นหอมของไก่ใบบัวโชยเข้าไปในจมูกก็ไม่ว่างบ่นแล้ว ยื่นมือฉีกน่องไก่ขึ้นมาน่องหนึ่ง
ฟางเจ๋อโฮ่วยิ้มอย่างสนิทชิดเชื้ออยู่ตลอด ราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นการป้องกันของเจียงวั่งเลย
“ความสัมพันธ์พี่น้องนี่ดีจริงๆ” เขาเอ่ยชม
“เลี้ยงแก้ขัดไปเท่านั้น” เจียงวั่งเอ่ยแบบขอไปที
เจียงอันอันมองเขาอย่างขุ่นเคือง ทว่าปากยังไม่ว่าง จึงทำเพียงกัดปีกไก่ไปเต็มแรงอีกคำหนึ่ง
เจียงวั่งไม่ได้ใส่ใจ ถามต่อว่า “ไม่ทราบว่ารองเจ้ากรมหาข้าครั้งนี้เพราะ…”
จู่ๆ ฟางเจ๋อโฮ่วก็ถอนหายใจยาว สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “เรื่องของเผิงจวี่ พวกเราตระกูลฟางติดค้างคำขอโทษกับเจ้าอยู่”
ครั้นเกี่ยวข้องกับฟางเผิงจวี่ เจียงวั่งไม่จริงจังไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องจะผ่านมาอย่างไร ฟางเผิงจวี่ตายไปแล้ว บุญคุณความแค้นก็หายไปด้วยเช่นกัน เขาไม่คิดจะทำและไม่จำเป็นต้องไล่ทำลายป้ายวิญญาณหลังจากที่ฟางเผิงจวี่ตายแล้วอีก
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว” เจียงวั่งกล่าว
“ถึงหลานชายจะพูดเช่นนี้ แต่ตระกูลฟางของข้าปล่อยผ่านไปไม่ได้” ฟางเจ๋อโฮ่วดันกล่องใบเล็กใบหนึ่งบนโต๊ะมา “ในนี้เป็นทองคำแท้ร้อยตำลึง ให้แทนคำขอโทษ”
“เรื่องของฟางเผิงจวี่ เขาได้ชดใช้แล้ว” เจียงวั่งไม่มีอารมณ์จะผลักไสไปมา เขาไม่มองทองคำแท้กล่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านมีเรื่องอะไรก็พูดมาเถิด”
ฟางเจ๋อโฮ่วพยักหน้า “ฟางเผิงจวี่เคยเป็นความหวังของพวกเราตระกูลฟาง อนาคตไกลไร้ขีดจำกัด เขาถูกเจ้าสังหารในศึกตัดสินชีวิต แม้จะบอกว่ารนหาที่เองก็ตาม แต่ตระกูลฟางของเราก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้เจ้าเพราะเรื่องนี้ ใช่ไหมเล่า”
“ถูกต้อง” นี่เป็นเรื่องจริง เจียงวั่งไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ
“ตอนนี้ลุงมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องเจ้า”
เจียงวั่งมองเขา เป็นสัญญาณให้เขาพูดต่อ
ฟางเจ๋อโฮ่วเอ่ยต่อว่า “หลังจากเผิงจวี่ตาย คนหนุ่มสาวรุ่นต่อไปของตระกูลฟางเหลือแค่เฮ่อหลิงที่ยังพอขัดเกลาได้ ข้าทำได้เพียงเก็บความเจ็บปวด เอาความรักความห่วงใยต่อเผิงจวี่ไปไว้ที่เฮ่อหลิง เขาเองก็ใจสู้นัก พยายามฝึกฝนอย่างมาก พลังบำเพ็ญกระทั่งเหนือเจ้าไปแล้ว แต่ว่า…”
เจียงวั่งเลิกคิ้ว รู้ว่าใจความที่แท้จริงมาแล้ว
“ศึกก่อนหน้านี้กับเจ้า เขาถูกทำลายความมั่นใจ พังทลายไปอย่างสิ้นเชิง เขาขังตัวเองไว้ในห้อง ทั้งวันดับทุกข์ด้วยสุรา ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปนานเข้า ข้ากังวลว่าเขา…จะกลายเป็นคนไม่ได้ความ” พูดถึงจุดนี้ แม้จะเป็นจิ้งจอกเฒ่าอย่างฟางเจ๋อโฮ่ว น้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่บ้าง
ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นทายาทภรรยาหลวงเพียงคนเดียวของเขา
“แล้วอย่างไรหรือ” เจียงวั่งถาม
“เรื่องนี้พูดยากหน่อย…” ฟางเจ๋อโฮ่วพูด “แต่ลุงยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะไปยอมรับผิดกับเฮ่อหลิง บอกว่าเจ้าใช้…ใช้อุบายที่ไร้เกียรติในการต่อสู้ ช่วยให้เขามีความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง”
เจียงวั่งอยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ “เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ ข้าจะไปยอมรับได้อย่างไร”
“ไม่ใช่ยอมรับเปล่าๆ ไม่ใช่ยอมรับเปล่าๆ!” ฟางเจ๋อโฮ่วรีบร้อนบอก “หลังจากจบเรื่อง นอกจากทองคำแท้กล่องนี้ ข้ายังจะมีทองคำแท้อีกร้อยตำลึงส่งไปให้อีก! เจ้าแค่แสร้งก้มหัวให้เขาสักครั้งเท่านั้น…”
เจียงวั่งงอนิ้วเคาะกล่องใบนี้ แล้วจึงยิ้มออกมา “ตระกูลฟางก็เคยมีผู้บำเพ็ญ ข้าจำได้ว่าท่านปู่ฟางเป็นผู้บำเพ็ญระดับแปดวัฏจักรดาราไม่ใช่หรือ เงินทองเหล่านี้ สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วจะมีความหมายอะไร”
นิ้วกดลงบนกล่องใบเล็ก ก่อนผลักมันกลับไปเบาๆ
ฟางเจ๋อโฮ่วรีบล้วงกล่องผ้าปักลายใบเล็กจากในอกเสื้อออกมาอีกกล่อง เปิดออกอย่างระมัดระวัง แล้ววางไว้เบื้องหน้าเจียงวั่ง
คลื่นรากพลังเต๋าในกล่องผ้าดึงดูดสายตาเจียงวั่งแทบจะในพริบตา
“ข้างในนี้คือหินรากพลังเต๋าก้อนหนึ่ง สำหรับผู้บำเพ็ญ ข้าว่ามันมีค่ากับเจ้าอยู่” ฟางเจ๋อโฮ่วแสดงออกอย่างจริงใจ “ขอแค่ก้มหัวให้เพียงเล็กน้อย มันก็จะเป็นของเจ้า”
หินรากพลังเต๋าก้อนนี้มีค่าอย่างแน่นอน! ถ้าเทียบกับสมบัติเงินทองทั่วไป หินรากพลังเต๋านี่สิถึงจะเป็นเงินแข็งค่าของผู้บำเพ็ญ ทั้งสามารถช่วยเรื่องฝึกบำเพ็ญ และยังใช้ชดเชยพลังที่เสียไปได้ทุกเวลา ยิ่งไปกว่านั้นหินรากพลังเต๋าก้อนนี้ยังไม่เคยถูกใช้งาน อัตราส่วนเต็มเปี่ยม มีรากพลังเต๋าหนึ่งร้อยเม็ดเต็มๆ
สำหรับเจียงวั่ง ขอแค่ดูดซับหินรากพลังเต๋าก้อนนี้ เขาก็แทบจะไปถึงมาตรฐานของการสร้างรากฐานได้ในทันที!
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดฟางเฮ่อหลิงจึงสร้างรากฐานได้เร็วขนาดนั้น ถึงขั้นเข้าใกล้การสร้างวงจรจักรวาลเล็กสำเร็จแล้วด้วยซ้ำ
ทว่าเจียงวั่งทำแค่ปิดฝากล่องลงเบาๆ “อาจเป็นเช่นที่ท่านว่า การก้มหัวของข้าไม่มีค่าอะไร”
เขาผลักกล่องผ้าปักลายกลับไป “แต่ฟางเฮ่อหลิงไม่คู่ควร”
คนที่ถูกท้าทายมาตลอดคือเขา คนที่ถูกบีบให้ต้องต่อสู้ก็คือเขา มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องไปขอโทษด้วย ตัวเองพ่ายแพ้ ใจพังทลาย จะไปโทษใครได้ หรือว่าผู้อ่อนแอได้รับความเป็นธรรมโดยธรรมชาติ เจ้าอ่อนแอเจ้าก็มีเหตุผลแล้ว?
หินรากพลังเต๋าสำคัญมาก แต่ว่าหลักการสำคัญยิ่งกว่า
“ไม่ใช่เพื่อตัวเจ้า ก็ลองคิดเพื่อน้องสาวเจ้าดูสักหน่อย” ฟางเจ๋อโฮ่วเอ่ยขึ้นช้าๆ “นางกำลังเรียนอยู่สถานศึกษาส่วนบุคคลไม่ใช่หรือ”
เจียงอันอันในเวลานี้ยังคงคีบซ้ายคีบขวา ก้มหน้าก้มตากิน เคี้ยวเต็มปากจนมันเยิ้ม ไม่ได้รู้เลยว่าผู้ใหญ่กำลังคุยอะไรกัน
แววตาของเจียงวั่งจริงจังทันที มีจิตสังหารที่ชัดเจนโดยไม่เก็บงำเป็นครั้งแรก
ฟางเจ๋อโฮ่วฝืนมองเขา เกิดความรู้สึกชั่ววูบว่าอยากจะกระโดดหน้าต่างหนีไปขึ้นมา ยามนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้แตกต่างจากลูกชายของเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ต้นกล้าอ่อนที่ถูกเพาะเลี้ยงในเรือนกระจก แต่เป็นสัตว์ป่าวัยหนุ่มที่ผ่านลมผ่านฝน ดิ้นรนเอาชีวิตรอด!
“ฮ่าๆๆๆ” เจียงวั่งพลันหัวเราะเสียงดัง ลุกยืนแล้วอุ้มเจียงอันอันขึ้นมา “ไม่กินแล้ว พวกเรากลับบ้านกัน”
ไม่ว่าในใจคิดอย่างไร เขาก็จะไม่ต่อสู้โหดเหี้ยมต่อหน้าเจียงอันอัน จะไม่ให้นางตกอยู่ในอันตราย
“อึก…อึก…” เจียงอันอันกลืนเนื้อในปากอย่างยากลำบาก นางนั่งอยู่บนตัวเจียงวั่งแล้ว แต่ดวงตากลับยังจ้องเขม็งที่กับข้าวบนโต๊ะ
“ถือว่า…ข้าขอร้องเจ้าละ!” ทางด้านหลัง ฟางเจ๋อโฮ่วเอ่ยขึ้นเช่นนี้
แต่เจียงวั่งอุ้มน้องสาวผลักประตูเดินออกไปโดยไม่หยุดฝีเท้าแล้ว
……………………………………….