ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 39 เคล็ดควบคุมปราณ
ลูกศิษย์ปีหนึ่งอีกคนที่ได้เข้าร่วมงานสามเมืองเสวนาเต๋า แท้จริงคือศิษย์สายในภาคเรียนที่แล้ว ถือว่าอยู่ช่วงท้ายของปีหนึ่ง ส่วนตัวแทนศิษย์ปีสามสองคนคือคนที่เจียงวั่งคุ้นเคยดี หลีเจี้ยนชิวกับหวางฉางเสียง
ศิษย์ปีห้าอีกคนนอกจากจางหลินชวน กลับเป็นศิษย์พี่ที่เจียงวั่งไม่รู้จัก
แต้มเต๋าเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป การจัดอันดับบนกระดานแต้มเต๋าจึงไม่ได้สะท้อนพลังที่แท้จริงออกมาอย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยต่งเออก็ยังมีมาตรฐานการพิจารณาของตนเอง
แน่นอน งานเสวนาเต๋าครั้งนี้ยังคงมีจางหลินชวนเป็นผู้นำ เขาได้รับความคาดหวังจากเว่ยชวี่จี๋กับต่งเออ หากจู้เหวยหว่ออยู่ด้วย พวกเขาอาจจะไม่ต้องทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้จู้เหวยหว่อไม่รู้ไปไหน ต่งเออจึงทำได้เพียงพุ่งเป้ามาที่จางหลินชวน
จางหลินชวนรู้สึกกดดันมากกับเรื่องนี้
เวลาเริ่มงานสามเมืองเสวนาเต๋าคือวันที่สิบเดือนสิบ ก่อนหน้านั้น คนทั้งหมดรวมถึงจางหลินชวนและเจียงวั่งต้องเข้ารับ ‘การฝึกพิเศษ’
ไม่ใช่การใช้วิธีอะไรมาบีบเค้นพลังต่อสู้ของลูกศิษย์ในระยะเวลาสั้นๆ นั่นไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง แม้จะเอาชนะการต่อสู้ตรงหน้าได้ แต่สิ่งที่พ่ายแพ้คืออนาคตของลูกศิษย์เช่นกัน ต่งเออจะชี้แนะให้กับผู้เข้าร่วมทุกคนด้วยตนเอง นี่ถือเป็นสวัสดิการชั้นยอด และยังเห็นได้ถึงการให้ความสำคัญของต่งเออด้วย
ทุกสิบวันต่งเออจะเข้าสอนในชั้นเรียนด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง คาบเรียนนั้นที่นั่งเต็มตลอด ศิษย์พี่มากมายที่ทำภารกิจอยู่ข้างนอกทั้งปีก็มักจะกลับมาที่สำนักเต๋าในวันนั้นโดยเฉพาะ เจียงวั่งก็ไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว
ทว่าเวลาที่ต่งเออสอน จะเป็นการสอนต่อคนทั้งสำนัก ย่อมไม่อาจดูแลเฉพาะความก้าวหน้าของเจียงวั่งได้ ดังนั้นถึงเขาจะฟังจนเหนื่อย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาไม่มากมายนัก
เขาเคยพบต่งเออหลายครั้งแล้ว เวลาอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายเจียงวั่งยังไม่กล้าบุ่มบ่าม แม้จะไม่ถึงขั้นระมัดระวังทุกฝีก้าว แต่ก็เคารพนอบน้อม ผู้แข็งแกร่งคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความตรงไปตรงมา กับข้าราชการระดับสูงในเมืองซินอัน ถ้าขัดแย้งก็คือขัดแย้ง ขนาดเว่ยชวี่จี๋อยู่ในที่ที่ต่งเอออยู่ด้วยก็ยังรู้สึกอึดอัด ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ตัวเล็กจ้อยอย่างเจียงวั่งเลย
“เจ้าเปิดชีพจรมาพักหนึ่งแล้ว ทำไมยังสร้างรากฐานไม่สำเร็จอีก” ทันทีที่นั่งลง ต่งเออก็ถามขึ้นโดยตรง
เจียงวั่งฝืนใจตอบกลับ “เพราะศิษย์ด้อยปัญญาเอง…”
ทางต่งเออยื่นมือออกมา “ช่างเถอะ ข้าดูเอง”
เจียงวั่งไม่กล้าคัดค้าน ได้แต่หวังว่าต่งเออจะไม่พบความลับของตนเอง แน่นอนว่าต่อให้ถูกพบเข้าปัญหาก็ไม่ใหญ่นัก ศิษย์ในสำนักกับเจ้าสำนักมีมิตรภาพระหว่างอาจารย์และศิษย์อยู่ ในแวดวงขุนนางรัฐจวงต่อจากนี้ก็จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน หากพูดโดยเนื้อแท้ พวกเขารุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ด้วยกัน ขอแค่ไม่มีปัญหาอะไรโดยหลักการ ต่งเออก็ไม่ทำอะไรเขาแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ประตูฟ้าดินเป็นทั้งกำแพงและสิ่งพรางตา ตอนที่ประตูฟ้าดินยังไม่เปิดออก สถานการณ์ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจุดผ่านสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกตรวจพบง่ายนัก นอกเสียจากต่งเออจะลงมือทะลวงเปิดประตูฟ้าดินของเจียงวั่งจากด้านนอกเข้าไปเอง แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น เจียงวั่งก็จะแย่ไปด้วย ต่งเออไม่มีทางทำแน่
ครั้นต่งเออแตะมือบนกระดูกสันหลังของเจียงวั่งก็ขมวดคิ้ว “รากฐานของเจ้าช้ามากอยู่แล้ว ทำไมยังไปฝึกวิชาหลอมกายอีก”
ลัทธิที่คำสอนชัดเจนเปิดกว้างเช่นเต๋า ฝ่า (สำนักปรัชญานิตินิยม) และหรู แต่ละสายล้วนมีความยิ่งใหญ่สง่างามเฉพาะตัว และไม่มีข้อห้ามไม่ให้ศิษย์ไปร่ำเรียนวิชายุทธ์สายอื่นควบคู่กัน แต่สิ่งที่ต่งเออสนใจก็คือ เจียงวั่งจะฟุ้งซ่านด้วยเหตุนี้ จนมองข้ามว่าพลังบำเพ็ญต่างหากคือรากฐานหรือไม่
เจียงวั่งตอบ “ศิษย์ทะลวงชีพจรเช้าเย็น ไม่เคยเกียจคร้าน เพียงแต่เลือดลมมีขีดจำกัด หนึ่งวันทะลวงชีพจรได้เพียงสองครั้ง ดังนั้นจึงฝึกวิชาหลอมกายาควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เลือดลมแข็งแกร่งขึ้น ทะลวงชีพจรได้มากครั้งขึ้น รวบรวมรากพลังเต๋าได้มากขึ้น จะได้สร้างรากฐานสำเร็จในเร็ววัน”
“ทุกวันทะลวงชีพจรสองครั้งก็เพียงพอแล้ว รากพลังเต๋าใช่ว่ามีมากแล้วจะดี การควบคุมถึงจะเป็นวิถีที่ถูกต้อง” สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงรายละเอียดยิบย่อย ต่งเออจึงแนะนำสักประโยคตามภาระที่ต้องรับผิดชอบ จากนั้นเขาจึงใช้วิชาลับสัมผัสความเป็นไปในจุดผ่านสวรรค์ของเจียงวั่งจากนอกแนวกระดูกสันหลัง
“แผนผังรากฐานที่เจ้าใช้ไม่ใช่วิญญาณหวนกำเนิดหรือ” ต่งเออพลันถามขึ้น
ถูกพบเข้าเสียแล้ว! ในใจเจียงวั่งเกิดความเหนื่อยหน่ายที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมา อยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่ประสบการณ์มากล้นอย่างต่งเออ คิดจะปิดบังอะไรก็ช่างยากเย็นเหมือนปีนขึ้นฟ้า
“ขอรับ” เจียงวั่งยอมรับอย่างซื่อสัตย์ “แผนผังรากฐานที่ศิษย์ใช้ซับซ้อนกว่าแผนผังวิญญาณหวนกำเนิดมาก นี่เป็นสาเหตุที่ศิษย์สร้างรากฐานได้ช้า”
“เหลวไหล” ต่งเออตำหนิ “บนโลกนี้แผนผังรากฐานที่ดีกว่าแผนผังวิญญาณหวนกำเนิดมีอยู่มากมาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมสายเขาอวี้จิงของพวกเราจึงยังใช้รากฐานธรรมดาเช่นนี้ นั่นเพราะมันมั่นคง ปลอดภัย ประสิทธิภาพสูง สามารถใช้งานในจุดผ่านสวรรค์ขนาดใดก็ได้อย่างมั่นคง เป็นแผนผังรากฐานที่เหมาะกับการใช้งานได้กว้างที่สุด! เรื่องใหญ่อย่างรากฐาน เหตุใดเจ้าไม่ถามอาจารย์แต่กลับตัดสินใจด้วยตัวเอง”
เจียงวั่งหน้าร้อนผ่าว ในใจเกิดความละอาย นี่ไม่ใช่เพราะเขากลายเป็นนกตื่นคมศร[1]หลังจากถูกฟางเผิงจวี่ทรยศหรอกหรือ แม้จะไม่ถึงกับถูกบีบคั้นจนคิดเพ้อบางเวลา แต่ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ที่ตนเองพบมา
ไม่ว่าพูดอย่างไร เขาก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นอย่างที่ศิษย์มีให้อาจารย์กับต่งเออโดยสมบูรณ์
วันนั้นเมื่อต่งเออเห็นบาดแผลของเขา ก็ลงมือปิดผนึกสำนักเต๋าทันที เหตุการณ์นั้นทำให้เขาประทับใจจริงๆ แต่ในช่วงเวลาที่เคยอยู่ร่วมกับฟางเผิงจวี่ ความประทับใจที่เขาเคยได้สัมผัสน้อยกว่าหรือ
ตอนที่เขากำลังจะบอกว่าตนเองใช้แผนผังรากฐานอะไร ต่งเออก็โบกมือให้ “ช่างเถอะ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เวลาก็เสียไปแล้ว พูดมากไปไร้ประโยชน์”
เขาคิดๆ จากนั้นแก้หยกแขวนสีเขียวอันหนึ่งออกมาจากข้างเอวและยื่นส่งให้เจียงวั่ง “ในหยกนี้บันทึกวิชาลับไว้วิชาหนึ่ง สามารถช่วยเจ้ายกระดับการควบคุมรากพลังเต๋า จะทำให้เจ้าสำเร็จรากฐานได้เร็วขึ้น ถ้าพกติดตัวไว้ยังมีคุณสมบัติชำระจิตใจให้สะอาดด้วย เจ้ารับไปสิ”
“ศิษย์มิกล้า” เจียงวั่งเห็นว่าเป็นของติดตัวก็รีบร้อนปฏิเสธ “นี่เป็นของรักของอาจารย์ต่ง ศิษย์จะรับมาได้อย่างไร”
ต่งเออลูบหยกแขวน บนใบหน้าที่เย็นชาเผยความถวิลหารางๆ “นี่คือสิ่งที่รับมาจากสหายเก่า สหายเก่าที่กลายเป็นธุลีดินไปแล้ว”
เขากลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ยัดหยกแขวนใส่มือเจียงวั่งอย่างห้ามสงสัย “ของชิ้นนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าแล้ว เจ้ารับไปเถอะ อนาคตของรัฐจวงเป็นของพวกเจ้า”
มือกุมหยกแขวน จิตใจดำดิ่ง จากนั้นจึงมีวิชาลับวิชาหนึ่งแล่นผ่านความคิด ชื่อว่า… ‘เคล็ดควบคุมปราณ’
เจียงวั่งกำหยกแขวนไว้มั่น ก้มคารวะลงกับพื้น “ศิษย์ขอบคุณท่านอาจารย์!”
ต่งเออไม่ใช่คนชอบแสดงความรู้สึกลึกซึ้งต่อศิษย์ ตรงเข้าไปดึงตัวเจียงวั่งขึ้นมาทันใด ก่อนจะพูดถึงจุดที่ต้องระมัดระวังยามฝึกบำเพ็ญ และโบกไม้โบกมือให้เขาออกไป
……
วันนี้เนื่องจากต้องตามไปฝึกกับต่งเออ เจียงวั่งจึงไหว้วานหลิงเหอให้ไปรับเจียงอันอันแทน เวลานี้เขาจึงไม่ต้องไปที่สถานศึกษาอีกรอบ แต่ตรงกลับหอพักได้เลย
วิชาลับที่ได้รับมาใหม่มีความหมายอย่างมากกับเจียงวั่ง ตอนนี้เขาฝึกหลอมกายาได้ผล เลือดลมเต็มปอด ทุกวันสามารถฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรได้สี่ครั้ง คายรากพลังเต๋าได้สี่เม็ด มีเพียงแผนผังจักรวาลดาราที่ยิ่งถึงช่วงหลังก็ยิ่งซับซ้อน ด้วยความสามารถในการควบคุมรากพลังเต๋าของเขาตอนนี้ ทุกครั้งที่จัดเรียงจุดพลังก็แทบจะใช้แรงใจจนหมดเกลี้ยง ความจริงแล้วนี่ต่างหากคือปัญหาที่จำกัดความเร็วในการสร้างรากฐานของเขาอยู่
และเคล็ดควบคุมปราณสามารถช่วยเหลือเจียงวั่งให้ใช้พลังใจน้อยที่สุดเข้าควบคุมรากพลังเต๋า ทำให้เวลาในการวางจุดพลังของเขาเหลือเฟือ ไม่ต้องลงแรงหนักอีกต่อไป
ต่งเออมองปัญหาออกในแวบเดียว และมอบวิธีแก้ปัญหานี้ให้ ประโยคเดียวของอาจารย์เอาชนะความบากบั่นสิบปีได้
หลังจัดการผูกหยกแหวนไว้ที่เอวอย่างระมัดระวัง เจียงวั่งตัดสินใจว่าทั้งชีวิตจะไม่ปลดลงมาอีก
ต่งเออมองเขาเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจในอนาคต ยอมตัดใจมอบของรักคู่กายให้ เวลานี้เขาจะไม่มองต่งเออเป็นที่พึ่งได้อย่างไร
“มีเทียบเชิญมาถึงเจ้า”
ตอนที่ไปรับเจียงอันอันมาจากหลิงเหอ หลิงเหอเอ่ยขึ้นมากะทันหัน
เจียงวั่งมือข้างหนึ่งอุ้มเจียงอันอัน มืออีกข้างเปิดเทียบเชิญออกอ่าน ต่อมาถึงเข้าใจสีหน้าเคร่งขรึมของหลิงเหอ
เจ้าของเทียบเชิญคือฟางเจ๋อโฮ่ว
ผู้ท้าชิงตำแหน่งประมุขตระกูลฟางที่แข็งแกร่งที่สุด ลุงของฟางเผิงจวี่ บิดาของฟางเฮ่อหลิง
ส่วนสถานที่จัดงานเลี้ยงคือหอชมจันทร์
สถานที่ที่ฟางเผิงจวี่วางยาพิษทำร้ายเขาเมื่อหลายเดือนก่อน
……………………………………….
[1]นกตื่นคมศร หมายถึงผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ไม่ดีมา จะตื่นตระหนกหวาดกลัวได้ง่ายเมื่อพบเรื่องที่เคยกระทบกระเทือนใจ