ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 33 ความฮึกเหิมลุกโชน
เรื่องอย่างการฝึกบำเพ็ญแบบนี้ ไม่ใช่ว่าตรากตรำหมั่นฝึกฝนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็จะสำเร็จได้ทันที ความจริงแล้วประสบการณ์ชีวิตในสังคมและการต่อสู้ประเภทต่างๆ ก็สำคัญเช่นกัน นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เจ้ารัฐจวงสร้างกระดานแต้มเต๋าส่งเสริมให้ผู้บำเพ็ญไปทำภารกิจต่างๆ ให้สำเร็จ ไม่ใช่ว่าราชสำนักไม่มีวิธีจัดการเรื่องพวกนั้น แต่เพราะประสบการณ์จริงเหล่านี้ยกระดับประสิทธิภาพของการฝึกฝนได้ และก็ไม่ใช่เพียงรัฐจวงที่ทำเช่นนี้ ทุกรัฐทุกสำนักทั่วหล้าต่างก็ใช้ระบบที่คล้ายกันนี้ด้วย
ยกศึกที่ตำบลเสี่ยวหลินมาเป็นตัวอย่าง หลังจากที่สังหารวิญญาณแค้นแล้ว ในจุดผ่านสวรรค์ของเจียงวั่งมีรากพลังเต๋าเกิดขึ้นถึงสิบกว่าเม็ด นั่นไม่ได้เกิดขึ้นจากการทะลวงชีพจร แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในเศษพลังที่หลงเหลือหลังจากการต่อสู้อันดุเดือด
รากพลังเต๋าคือการผสานเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบของจิตและพลัง เป็นการตอบรับอย่างแท้จริงที่วิญญาณสรรพสิ่งมีต่อต้นกำเนิดฟ้าดิน และเป็นพื้นฐานของความแข็งแกร่งทุกอย่าง เป็นรากฐานของความเหนือมนุษย์
นี่คือเหตุผลที่เจ้าหรู่เฉิงชวนทุกคนไปดื่มฉลองที่หอคณิกา…ทุกคนในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญ ต้องทำให้ประสบการณ์ชีวิตของตนครบสมบูรณ์
หลิงเหอที่เป็นคนดีมีคุณธรรมย่อมไม่ยอมทำเรื่องเสเพลด้วย วันนี้เขาจึงรับผิดชอบไปรับเจียงอันอันหลังเลิกเรียน จากนั้นพานางไปเที่ยวเล่น
ตู้เหยี่ยหู่อยากไปใจจะขาด เจียงวั่งแบ่งรับแบ่งสู้ เดิมทีเขาใช้ข้ออ้างว่าต้องดูแลอันอันน้อยเป็นคำปฏิเสธจอมปลอม แต่หลังจากเจ้าหรู่เฉิง ‘วางแผน’ ให้หลิงเหออย่างรวดเร็วแล้ว ทุกคนก็ชื่นมื่นกันหมด
ยังมีหวงอาจ้านอีกคนหนึ่ง ตอนนั้นเขากำลังดื่มสุรากับตู้เยี่ยหู่ ครั้นได้ยินเรื่องดีแบบนี้ก็แทบจะเกาะขาตู้เหยี่ยหู่มาด้วย ดีที่คุณชายเจ้าใจโต ไม่สนใจว่าจะมีคนนอกมาร่วมวงด้วยหรือไม่
ณ หอสามจรุง หอคณิกาที่ดีที่สุดของเมืองเฟิงหลิง ในห้องส่วนตัวที่หรูหราที่สุด หญิงคณิกาค่าตัวแพงที่สุด
นับจากที่ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่กับอันอัน นอกจากเวลาเรียนในสำนักเต๋าแล้ว ทุกคนมีเวลาอยู่ด้วยกันส่วนตัวน้อยลงมาก หลังจากดื่มได้พักใหญ่ เจียงวั่งก็เชิญเหล่าแม่นางทั้งหลายออกไป
“นี่ๆๆ อย่าเพิ่งไปสิ
พี่สาว พี่สาวคนดี ข้าจะกลับบ้านกับท่าน!”
ผู้ที่ร้องไห้โหวกเหวกหน้าแดงหูแดง ย่อมเป็นหวงอาจ้าน เมื่อครู่เขาตามเซ้าซี้ดื่มกับแม่นางทุกคนไม่น้อยกว่าเจ็ดแปดรอบ ตอนนี้ค่อนข้างเมาแล้ว ท่าทางราวกับจากลากันสิบลี้ อาลัยอาวรณ์เหลือเกิน แทบอยากจะมอบร่างพรหมจรรย์ของตนให้กับที่นี่ แต่เหล่าแม่นางหัวเราะคิกคักพลางปฏิเสธ ก่อนจะพากันเรียงแถวออกไป
พวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ ย่อมไม่สามารถทำตัวเหลวไหลไม่ระวังตัวจนเกินไป ก่อนที่จะเปิดประตูฟ้าดินได้ การรักษาร่างพลังหยางเอาไว้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้บำเพ็ญ
ดังนั้นเจียงวั่งจึงตื่นตัวอยู่โดยตลอด
ส่วนตู้เหยี่ยหู่อันที่จริงก็แค่อยากดื่มสุราเท่านั้น จะดื่มที่ไหนดื่มกับใครเป็นเพียงเรื่องรอง
ทั้งห้องมีเพียงหวงอาจ้านที่อาลัยอาวรณ์อย่างเหลือล้น เขามองมาทางเจ้าหรู่เฉิงเหมือนขอความช่วยเหลือ สำหรับหวงอาจ้าน พวกเขาสองคนต่างหากถึงจะเป็นคนประเภทเดียวกัน แต่เจ้าหรู่เฉิงกลับส่ายหน้า หญิงสาวที่เขาเชิญมาโดยเฉพาะไม่มา จึงยากจะปกปิดความผิดหวังเอาไว้ “งามแบบเห็นได้ดาษดื่น ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
“นี่ยังเห็นได้ดาษดื่นอีกหรือ ยังดาษดื่นอีกหรือ!” หวงอาจ้านแทบจะกระโดดขึ้นมา “แก้วใบนั้นใหญ่ขนาดไหน! ไม่สิ เสื้อผ้านั่นกลมกลึงเพียงใด ไม่ถูก ปิ่นปักผมนั่นขาวปานใด…”
สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ ร้องไห้อย่างเจ็บปวด “ฮือๆๆ ดีแต่เปลือกที่ไหนกัน”
เจียงวั่งไม่พูดอะไร
เจ้าหรู่เฉิงนิ่งงัน
ตู้เหยี่ยหู่วางฝ่ามือบนศีรษะของเขา “ดื่มมากแล้วก็หลับเสียเถอะเจ้า ในฝันมีทุกอย่าง”
เจียงวั่งไม่สนใจหวงอาจ้านที่ฟุบไปบนโต๊ะ ส่งเสียงกรนปานฟ้าร้อง คำนวณเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้ข้าทำภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ได้มาสิบห้าแต้มเต๋า รวมกับยี่สิบห้าแต้มก่อนหน้านี้ก็มีสี่สิบแต้มแล้ว ช่วงนี้ข้ายังไม่ต้องใช้แต้มเต๋า ยกให้พวกเจ้าก่อนก็แล้วกัน ใครแต้มเต๋าถึงก็ไปแลกลูกกลอนเปิดชีพจรมาก่อน”
พวกเจ้าที่เขาพูดถึงย่อมเป็นเจ้าหรู่เฉิงและตู้เหยี่ยหู่ แน่นอนว่ายังรวมถึงหลิงเหอที่ไม่อยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น หากจะจัดตามลำดับก็ดูห่างเหิน ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือแต้มเต๋าของใครเยอะที่สุดก็ให้คนนั้นไปก่อน
ชีพจรเต๋าเด่นชัดเป็นเรื่องใหญ่ เป็นก้าวแรกสู่การเหนือกว่ามนุษย์ ยิ่งเร็วยิ่งดีอยู่แล้ว
“ข้าไม่เอานะ” เจ้าหรู่เฉิงนั่งเอนอยู่บนเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย สำหรับเรื่องการฝึกบำเพ็ญ เขาเหมือนจะไม่สนใจมาโดยตลอด ทั้งหมดอาศัยพรสวรรค์ถูไถไป
“ข้าก็ไม่ต้องการเหมือนกัน” ตู้เหยี่ยหู่กระดกดื่มสุรารวดเดียวหมด แล้วพลันพูดขึ้น “ข้าจะไปแล้ว”
“ไป? ไปไหน” เจียงวั่งถาม
“ก่อนหน้านี้เว่ยเหยี่ยนถามข้าว่าอยากเข้ากองทัพหรือไม่ ข้าคิดอยู่หลายวันและก็ตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้จะไปเลย”
ประโยคนี้กะทันหันนัก เจ้าหรู่เฉิงนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที “พี่หู่ พี่ต้องคิดให้ดีนะ”
“คิดดีแล้ว” ตู้เหยี่ยหู่แยกเขี้ยวยิ้ม “เว่ยเหยี่ยนบอกว่าข้าเหมาะกับสายทหารมากกว่า ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
คำพูดนี้ไม่ผิดเลย เจียงวั่งและเจ้าหรู่เฉิงต่างก็รู้ว่าร่างกายของตู้เหยี่ยหู่ไม่เหมือนคนทั่วไป ห้าวหาญทรงพลัง เป็นพวกทหารอย่างแท้จริง ทั่วทั้งรัฐจวงยึดผู้บำเพ็ญเต๋าเป็นหลัก ผู้แข็งแกร่งสายทหารของรัฐจวงมีอยู่ไม่มาก
แม้แต่แม่ทัพใหญ่หวงฝู่ตวนหมิงผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในนามรัฐจวงตอนนี้ แท้จริงแล้วก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกบำเพ็ญเต๋า ทั้งรัฐจวงขาดนักรบจากสายฝึกฝนสายอื่นๆ แน่นอนว่ารวมถึงสายทหารด้วย แม้แต่เว่ยเหยี่ยนเองก็ฝึกวิชาเต๋า
ตู้เหยี่ยหู่หากเลือกเส้นทางนี้ ก็หมายความว่าในระยะยาวเขาจะไม่มีขอบเขตการฝึกบำเพ็ญที่เป็นระบบ แต่จะมีแค่วิชาฝึกฝนของสายทหารที่ไร้แบบแผนบางอย่างเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าสายทหารไม่แข็งแกร่งมากพอ ดูจากเหตุผลแล้ว เหตุที่รัฐจวงยังสุขสงบภายใต้การจับจ้องจากรัฐยงได้นานถึงเพียงนี้ การสนับสนุนจากสำนักเต๋าเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ราชสำนักจวงมีความสามารถไม่มากพอ ทำอย่างราชสำนักฉินและราชสำนักฉู่ที่สนับสนุนทั้งสองสายไม่ได้ รัฐจวงยึดถือการฝึกเต๋าเป็นหลัก จึงทำได้เพียงใช้การฝึกเต๋าเป็นหลักเช่นกัน
แต่เจียงวั่งกลับเอ่ยขัดขวางไม่ได้แม้แต่คำเดียว เพราะเขารู้นิสัยของตู้เหยี่ยหู่เป็นอย่างดี ชายคนนี้ในใจลุกท่วมด้วยไฟ ทั้งร้อนแรงและบ้าบิ่น ไม่ยอมจำนน ไม่ยอมแพ้ และย่อมไม่ยอมให้เจียงวั่งทิ้งห่างไปเรื่อยๆ แต่ตำราเต๋าพวกนั้นเขาอ่านแล้วปวดหัว ไม่ถูกจริตเอาเสียเลย อีกอย่างร่างกายกับเลือดลมของเขาก็มีพรสวรรค์โดดเด่นจริงๆ หากอยู่ที่รัฐโม่หรือดินแดนอื่นที่การฝึกฝนทหารรุ่งเรือง เขาจะต้องเป็นอัจฉริยะที่ได้รับความสำคัญอย่างแน่นอน
“เว่ยเหยี่ยนรับท่านแทนใคร” เจียงวั่งถาม
“ทางหน่วยเกราะดำเก้าสินธุขาดคนอีกมาก ตำแหน่งที่แบ่งมาทางเมืองเฟิงหลินเราก็มีอยู่หลายสิทธิ์ เว่ยเหยี่ยนคิดว่าข้าเหมาะ ก็เลยแนะนำข้า”
น่าจะเพราะความกล้าหาญตรงไปตรงมาของตู้เหยี่ยหู่ถูกจริตทหารมาก หลังจากภารกิจตำบลเสี่ยวหลิน เว่ยเหยี่ยนจึงมาสร้างมิตรภาพกับเขา
ส่วนเกราะดำเก้าสินธุ…แทบจะเป็นคุณูปการของรัฐจวง เป็นกองทัพที่มีพลังสังหารแข็งแกร่งที่สุดของรัฐ ชื่อเสียงอยู่เหนือกว่ากองทัพขนนกขาวที่อารักขาเมืองหลวงซินอันเสียอีก
ความจริงแล้วก็เพราะการมีอยู่ของเกราะดำเก้าสินธุนี่เอง เมืองจิ่วเจียงถึงมักจะได้รับการเรียกขานว่าเป็นเขตปกครองที่สี่ของรัฐจวงด้วยพื้นที่แค่เมืองเดียว แม้อยู่ในการดูแลของเขตการปกครองไต้ซาน แต่อันที่จริงมีอิสระเสรีนัก เจ้าเมืองจิ่วเจียงจะเป็นผู้นำของหน่วยเกราะดำเก้าสินธุในเวลาเดียวกัน ธรรมเนียมนี้ดำเนินเรื่อยมานับแต่ก่อตั้งบ้านเมือง จะเห็นได้ถึงความพิเศษของหน่วยนี้
“ต่อให้ไปอยู่เกราะดำเก้าสินธุก็ยังต้องใช้แต้มเต๋า” ตู้เหยี่ยหู่จะเข้าร่วมกองทัพ เจียงวั่งจึงตัดสินใจแล้วว่าจะยกแต้มเต๋าของตัวเองให้เขาก่อน
“ไม่ต้อง” ตู้เหยี่ยหู่ยังคงส่ายหน้า เขาไม่ได้เกรงใจ และก็ไม่ใช่คนขี้เกรงใจด้วย เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจว่า “ในเมื่อจะไปสายทหาร ข้าก็ไม่คิดจะกินลูกกลอนเปิดชีพจร ต้องเดินในวิถีตามธรรมเนียมที่สุดและโบราณที่สุดของทหารอยู่แล้ว!”
ธรรมเนียมของทหารที่ว่าหมายถึงผู้บำเพ็ญไม่พึ่งพาลูกกลอนเปิดชีพจร แต่เลือกที่จะใช้เลือดลมทะลวงชีพจรเต๋าแทน เหตุที่ถูกเรียกว่า ‘โบราณ’ ก็เพราะคนที่ทำสำเร็จบนเส้นทางนี้ได้แทบไม่มีเลย จุดจบที่ดีที่สุดของผู้ล้มเหลวก็คือกลายเป็นคนพิกลพิการ มากกว่านั้นคือตายคาที่
ต้องรู้ไว้ว่าการฝึกฝนทะลวงชีพจร ยกระดับเลือดลม หล่อหลอมรากพลังเต๋าสองครั้งทุกวัน ก็เป็นขีดจำกัดการฝึกฝนของคนธรรมดาแล้ว และการรวบรวมพลังเลือดลมมหาศาล ทะลวงเปิดจุดผ่านสวรรค์ ทำชีพจรเต๋าให้ปรากฏ นับเป็นเรื่องอันตรายถึงระดับไหนกัน?
แต่ก็เพราะความอันตรายของมัน นักรบบ้าคลั่งพวกนั้นจึงบูชาไว้เป็นจารีต ให้ความเคารพสูงสุด
หากทำสำเร็จข้อดีมีมหาศาล ความสำเร็จของผู้ฝึกตนสายทหารที่ใช้วิธีนี้เปิดชีพจรได้มักจะอยูู่เหนือผู้อื่น
เจียงวั่งและเจ้าหรู่เฉิงต่างเงียบงัน พวกเขาสัมผัสได้ถึงการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ของเสือ[1]ตัวนี้
“ดังนั้นยกแต้มเต๋าให้พี่ใหญ่ก่อนเถอะ ของข้าก็จะให้เขาเหมือนกัน” ตู้เหยี่ยหู่ตัดบทเรื่องเส้นทางต่อจากนี้ของตัวเองอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นยกกาสุรามาก็กรอกลงท้องไปทีเดียวครึ่งกา
………………………………………………………
[1] ชื่อตู้เหยี่ยหู่ มีคำว่า หู่ ที่แปลว่าเสืออยู่