ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 29 นรกสวรรค์ไม่อาจพานพบกัน
ด่านประตูผีที่อยู่ในส่วนลึกของนรก ตัวแทนของจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกคนเป็นและคนตายในความหมายหนึ่ง กลับมาปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์!
เมื่อเป็นเช่นนี้ หมอกหนาที่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจทำให้สลายไปได้ก็มีคำอธิบายแล้ว หมอกนั่นไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ แต่รวมตัวขึ้นตามธรรมชาติและหลักการฟ้าดิน
เพราะนรกสวรรค์ไม่อาจพานพบกันได้ ด่านประตูผีปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์จะต้องปกปิดไว้
เหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่มารวมตัวอยู่ที่นี่และมีจำนวนเยอะกว่าผู้คนซึ่งเคยอยู่ในตำบลเสี่ยวหลินมาก ก็มีเหตุผลที่ปรากฏตัวขึ้นทันที วิญญาณเร่ร่อนเข้าใกล้ด่านประตูผี นี่เป็นสัญชาตญาณที่ไม่เกี่ยวกับสติปัญญา วิญญาณเร่ร่อนทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินคงมารวมตัวที่นี่หมดแล้ว อีกทั้งยังอนุมานได้อีกว่า ขอเพียงด่านประตูผีบานนี้ยังอยู่ วิญญาณเร่ร่อนที่มารวมกันที่นี่ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ และแข็งแกร่งขึ้นทุกที!
แต่ด่านประตูผีมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร
เว่ยเหยี่ยนแทบจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากที่รู้ว่าด่านประตูผีสามตัวอักษรนั้นหมายถึงอะไร ก็ล้วงธูปหอมสีแดงสดรูปทรงโบราณดอกหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ แล้วยื่นไปตรงหน้าเจ้าหล่าง “เร็วเข้า!”
…เขาย่อมพกหินเหล็กไฟติดตัวไว้ ตัวเขากระทั่งว่าคุ้นเคยกับวิชาเต๋าธาตุไฟเป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ไม่เร็วเท่าเจ้าหล่าง
ในเมื่อเป็นคู่หูกับเว่ยเหยี่ยนมานานหลายปี ความรู้ใจย่อมไม่ต้องพูดถึง ในขณะเดียวกับที่ธูปสีแดงดอกนั้นถูกยื่นมา เจ้าหล่างก็ดีดนิ้ว ลูกไฟกลุ่มหนึ่งพุ่งไปบนธูป จัดการเผาธูปดอกที่หนาพอควรนี้จนหมดในเวลาอันสั้น
จนถึงตอนนี้ เขาถึงจะเอ่ยด้วยสีหน้าค่อนข้างย่ำแย่ว่า “เจ้ามีธูปแดงดอกเดียวเท่านั้น”
ในกองทัพรัฐจวงแบ่งธูปออกเป็นสามประเภท มีแต่บุคคลในตำแหน่งที่กำหนดไว้ถึงจะสามารถครอบครองได้ เป็นยุทโธปกรณ์ที่หาได้ยาก ธูปดำถูกจุดขึ้นเมื่อใดคือยกทัพทั้งรัฐสู้ตัวตาย ทั้งรัฐจวงมีผู้ที่มีสิทธิ์จุดธูปดำแค่ไม่กี่คน
ธูปเหลืองหากมอดไหม้ หมายถึงผู้จุดตกอยู่ในอันตราย
และธูปแดงที่อยู่ระหว่างทั้งสองอย่าง หมายถึงวิกฤตเมืองล่มสลายเสียดินแดน!
เมื่อธูปแดงถูกจุด ทั้งเมืองเฟิงหลินจะอลหม่าน ถึงขั้นต้องทำให้เว่ยชวี่จี๋แตกตื่นแน่นอน
ตอนนี้กองทัพประจำเมืองและกรมอาญาในเขตเมืองเฟิงหลินถูกตรึงกำลังไว้ เว่ยชวี่จี๋นั่งดูแลจวนเจ้าเมือง แตะแค่เส้นผมก็สะเทือนไปทั้งตัว ตำบลเสี่ยวหลินที่ตอนนี้มีศัตรูเพียงวิญญาณเร่ร่อน ควรค่าให้เว่ยชวี่จี๋มาด้วยตัวเองหรือ พูดอีกอย่างคือ หากการวิเคราะห์ของเว่ยเหยี่ยนผิดพลาด และเมืองเฟิงหลินเกิดปัญหาอะไรขึ้นเพราะการออกไปนอกเมืองของเว่ยชวี่จี๋ ความรับผิดชอบนี้เขาแบกรับไหวหรือไม่
แต่เมื่อปัญหาเหล่านี้อยู่ต่อหน้าอักษรสามตัวนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องคิดแล้ว
เพราะว่า…นั่นคือด่านประตูผี ปรากฏอยู่ในตำนานนับไม่ถ้วน เป็นภาพจำลองของยุคเทพนิยายอยู่รางๆ
ความจริงแล้วในยามที่ตรงหน้าพลันมีธูปสีแดงลุกไหม้ เว่ยชวี่จี๋ที่เป็นเจ้าเมืองก็ผุดลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลแล้ว!
เขาพุ่งไปบนท้องฟ้าสูง ทั้งตัวปกคลุมอยู่ในพายุลูกหนึ่ง แล้วมุ่งไปยังตำบลเสี่ยวหลินพร้อมเสียงดังกึกก้อง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ต่งเออที่กำลังเข้าฌานพลันลืมตาขึ้นมา ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ในเมืองเฟิงหลินต้องมีผู้แข็งแกร่งระดับนี้คอยรักษาการณ์อยู่เสมอ เมื่อเว่ยชวี่จี๋ไปแล้ว เขาก็ไม่อาจจากไปได้อีก
เขาไม่ขยับกาย แต่เสียงทรงอำนาจดังออกไปข้างนอกห้องแล้ว “สั่งการลงไปยังลูกศิษย์ที่รับคำสั่งได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะทำภารกิจอะไรอยู่หรือฝึกฝนอะไร จงหยุดแล้วมุ่งหน้ากลับเมืองเฟิงหลินทันที!”
ผู้ที่สำนักเต๋าอบรมสั่งสอนคือความหวังของรัฐจวง ก่อนหน้านี้มีเวลาให้เติบโตพัฒนายาวนาน แต่เมื่อแผ่นดินมีภัย ทุกคนก็ต้องสู้เพื่อบ้านเมือง
ซ่งฉีฟางรองเจ้าสำนักที่อยู่ในสำนักเต๋าเช่นกันก็กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมโอสถ มือโบกพัดใบลานเบาๆ คอยดูแลความแรงของไฟ ถอนหายใจเสียงเบาหวิว “แก่แล้ว”
……
ในตำบลเสี่ยวหลิน หลังจากที่เว่ยเหยี่ยนจุดธูปแดงก็ไม่ได้หยุดพัก แต่กลับฟันดาบยาวออกไป ประกายดาบคมกริบแทบจะฉีกอากาศ จากนั้นกระจายหายไปบนซุ้มประตูนั้น
ใช่แล้ว หายไปอย่างเงียบงันแบบนั้น ไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย
การโจมตีต่อมาก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟลุกโหมหรือพายุคลั่ง วิชาเต๋าใดๆ โจมตีไปก็เหมือนก้อนหิมจมสู่ทะเล หลิงเหอกระทั่งว่าโยนกระบี่คู่กายของตัวเองเข้าไป แต่ก็หายไปไร้ร่องรอยเช่นกัน
เหมือนกับว่าซุ้มประตูไม่มีอยู่ ไม่ใช่แค่ไม่มีอยู่เท่านั้น แต่วัตถุทุกอย่างที่สัมผัสมันก็ไม่มีอยู่ด้วย
หวงอาจ้านยืนอยู่หน้าด่านประตูผี เดินวนไปวนมาอยู่นานอย่างลังเล เขามั่นใจในปัสสาวะชายพรหมจรรย์ของตัวเองอย่างดื้อดึงนัก แต่หลังจากที่เห็นกระบี่ของหลิงเหอหายไป ก็ล้มเลิกด้วยความเสียดายยิ่ง
“คลื่นวนนี่…น่าจะเชื่อมต่อกับปรโลก อาศัยคนที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมมากมายขนาดนี้ที่นี่…การโจมตีของพวกเราโจมตีไปที่ปรโลก ไม่ใช่ที่นี่” หวางฉางเสียงขมวดคิ้วพลางเอ่ยวิเคราะห์ “สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเราน่าจะเป็นภาพมายาของด่านประตูผี ถึงขนาดภาพมายายังไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาด้วยซ้ำ”
ยังไม่ก่อตัวขึ้นมาหรือ
ตัวอักษรบนแผ่นป้ายนั้น เจียงวั่งเคยเห็นในมิติมายาห้วงจักรวาล รู้ว่านั่นคืออักษรเต๋า เป็นตัวอักษรที่ใช้อธิบายหลักการแห่งฟ้าดิน เขาขบคิดมาตลอดว่าด่านประตูผีที่ปรากฏขึ้นในตำบลเสี่ยวหลินสื่อถึงอะไร จวบจนได้ฟังคำวิเคราะห์ของหวางฉางเสียงเขาถึงได้ตื่นตกใจ
เช่นนั้นภาพมายาของด่านประตูผีจะก่อตัวขึ้นมาเมื่อไร ใช้วิธีไหน และสุดท้ายจะนำอะไรมาสู่ที่นี่
ไม่นานผู้คนก็ได้คำตอบ
วิญญาณเร่ร่อนมากมายมหาศาลที่ล่องลอยอยู่ในตำบลเสี่ยวหลิน ตลอดทางมาก็สังหารไม่หมดกำจัดไม่สิ้น ในตอนนี้กลับแห่แหนมารวมตัวอยู่ที่ใจกลาง
คนทั้งกลุ่มไม่สนอะไรอีกต่อไป ทำได้เพียงใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ถอยออกไปได้ระยะหนึ่งก็ใช้วิชาเต๋าธาตุไฟวาดเป็นวงแหวนวงหนึ่ง คนทั้งหลายรักษาพื้นที่วงนี้เอาไว้
หากมีใครก้มมองลงมาจากท้องฟ้าทะลุผ่านหมอกหนาได้ ก็จะเห็นวิญญาณเร่ร่อนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาจากการดึงดูดของพลังบางอย่าง แม่น้ำวิญญาณกว้างใหญ่โหมบ่า ทะลักมาดุจร้อยพันสายธารไหลลงสู่มหาสมุทร!
ส่วนเหล่าศิษย์สำนักเต๋าจากเมืองเฟิงหลิน อีกทั้งเว่ยเหยี่ยนและเจ้าหล่าง ก็เหมือนแนวหินโสโครกน่าสังเวชที่ถูกแม่น้ำซัดชะล้าง
เคลื่อนไหวไม่ได้ ต่อต้านไม่ได้ ซ้ำยังไม่รู้จุดสิ้นสุด!
“วิญญาณเร่ร่อนทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินถูกดึงดูดมาที่นี่แล้ว บางทีคงต้องตายกันที่นี่กระมัง” หวางฉางเสียงยิ้มขมขื่น
วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ไม่นับว่าแข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้พวกมันนับว่าไปมาโดยอิสระอยู่ในค่ายกล ทว่าประเด็นคือวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นเพียงล่องลอยไปอย่างไม่มีสติสัมปชัญญะ ยามคนเข้าใกล้ถึงจะโจมตีตามสัญชาตญาณ แต่ตอนนี้พวกมันกลับมารวมตัว ณ ที่แห่งหนึ่ง และพวกเขาก็ขวางทางพวกมันอยู่พอดี
เยอะเหลือเกิน ไม่มีสิ้นสุด!
อย่างน้อยภายในครรลองสายตาของหวางฉางเสียงที่พอจะพัดพวกมันให้สลายไปได้ พวกเขาก็มองไม่เห็นสุดขอบของวิญญาณเร่ร่อน
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ หากบอกว่าก่อนหน้านี้ที่นี่แค่รวมวิญญาณเร่ร่อนของคนที่ตายหลายต่อหลายปีในตำบลเสี่ยวหลินไว้ ในขณะเดียวกันก็ดึงดูดวิญญาณจำนวนหนึ่งจากที่ไกลมา ตอนนี้กลับยิ่งมีวิญญาณเร่ร่อนที่ยังไม่สลายไปทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินมุ่งหน้ามารวมตัวกันตรงนี้ด้วยความเร็วที่เกินกว่าตัวพวกมันเองจะทำได้
เส้นของวิญญาณเร่ร่อนที่แหวกอากาศมาอย่างแน่นขนัด เชื่อมต่อไปทั่วเมืองเฟิงหลินเป็นภาพที่เหมือนใยแมงมุมในตาทิพย์ ชวนให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนหวั่นไหว
“ไม่หรอก” เสียงของเว่ยเหยี่ยนค่อนข้างเย็นเยือก ใจของเขาก็เช่นกัน “อีกไม่นานเจ้าเมืองก็จะตามมา”
ไม่มีใครรู้ว่าเขาไม่อยากจุดธูปสีแดงดอกนั้นขนาดไหน ไม่อยากให้คนคนนั้นเห็นท่าทางอ่อนแอไร้กำลังของตัวเองเพียงใด แต่เขาทำไม่ได้ เผชิญหน้ากับด่านประตูผีที่มีอยู่ในตำนานแบบนี้ เขาไม่อาจเอาเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเองมาเดิมพันกับความปลอดภัยของเมืองเฟิงหลินทั้งเมือง
เจียงวั่งสังเกตวิญญาณเร่ร่อนที่อ้อม ‘หินโสโครก’ พุ่งไปยังด่านประตูผี และถูกดูดซับสลายไปในพริบตาเหล่านั้น จิตใจของเขาซับซ้อน ไม่สามารถบรรยายได้
วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ไม่มีสติสัมปชัญญะ ดังนั้นจึงไม่ดิ้นรน ไม่กรีดร้อง เหมือนว่าไม่มีความเสียใจ ไม่มีความเจ็บปวด
ทว่าพวกมันเคยเป็นคนมีชีวิต ล้วนแต่เป็นวิญญาณของผู้มีชีวิตที่แต่ละคนควรได้หลับอย่างสงบ!
ในนั้นบางทีอาจจะมีใครที่เคยเดินเฉียดผ่านเขา บางทีอาจมีคนที่เขาเคยรู้จัก อาจจะมีเพื่อนบ้าน ปู่ย่า หรือบิดาของเขาด้วยก็เป็นได้
เขาเบิกตากว้างมองหาบิดาที่ป่วยตายไปในกลุ่มวิญญาณเร่ร่อนมากมายพวกนี้ ชายผู้ที่ไม่ได้ตัวสูงใหญ่แต่กลับค้ำยันผืนฟ้าให้เขามาโดยตลอด
วิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นกะพริบแล้วหายวับ เฉียดผ่านไปราวประกายไฟ ปรากฏขึ้นทั่วทุกด้าน เขาจ้องแต่วิญญาณที่มาจากทางตำบลเฟิ่งซี ตาของเขาแดงก่ำจนมองไม่เห็นแล้ว
ตลอดมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมา ภายหลังใช้ชีวิตกับอันอัน เขายิ่งต้องแสดงความแข็งแกร่งในฐานะที่เป็นที่ชาย เขาแทบจะไม่เคยพูด แต่เอาเข้าจริงๆ เจียงวั่งคิดถึงเขาเหลือเกิน!
เจียงวั่งอยากจะเห็นเขาอีกสักครั้ง แต่ก็กลัวว่าจะเห็นเขาด้วย
กลัวเหลือเกินว่าจะไร้ความสามารถเมื่ออยู่หน้าด่านประตูผี
ทันใดนั้นก็เหมือนถึงจุดเปลี่ยนบางอย่าง แม่น้ำวิญญาณเร่ร่อนที่ยิ่งใหญ่หายวับไปในพลังงานบางอย่าง ส่วนภาพมายาด่านประตูผีที่อยู่บนคลื่นวนก็ชัดเจนและก่อเป็นวัตถุจริงขึ้นมา
ในพริบตาต่อมา เว่ยชวี่จี๋เจ้าเมืองเฟิงหลินที่กายพันล้อมด้วยวายุคลั่งก็ลอยต่ำลงมาจากบนฟ้า ทว่าภาพมายาของด่านประตูผีบานนั้นก็กะพริบวาบหายวับไปในเวลาเดียวกัน!
เจียงวั่งเหมือนรู้สึกเลาๆ ว่ามีสายลมแผ่วเบากลุ่มหนึ่งพัดผ่านแก้มเขาไป แต่หลังจากได้สติกลับมา ทุกอย่างเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป
คลื่นวนมหึมานั่นหายไปแล้ว หมอกหนาที่รวมตัวอยู่ในตำบลเสี่ยวหลินก็สลายไปทันที
ทุกอย่างกระจายหาย นรกสวรรค์ไม่อาจพานพบกันได้!
………………………………………………………