ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 13 อรุณรับหมอกม่วง พลบค่ำเหนี่ยวนำเมฆแดง
ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ลาลับไปทางตะวันตก ทั้งแผ่นดินเข้าสู่ห้วงราตรีท่ามกลางเสียงถอนหายใจเสียงหนึ่ง
ไส้เดือนตัวน้อยในจุดผ่านสวรรค์ตัวนั้นในที่สุดก็ว่ายผ่านระยะทางอันยาวไกล และคายรากพลังเต๋าอันชุ่มชื้นอิ่มเอิบออกมาเม็ดหนึ่ง
ยามรุ่งอรุณและยามพลบค่ำเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวันในการฝึกบำเพ็ญ ดวงอาทิตย์อบอุ่นไม่ร้อนแผดเผา โดยเฉพาะสำหรับผู้ฝึกตนระดับต้นยิ่งสามารถปกป้องชีพจรเต๋าได้เป็นอย่างดี เคยมีตัวอย่างมากมายของคนที่ฝึกบำเพ็ญตอนเที่ยง ผลสุดท้ายก็ถูกไฟแท้ดวงอาทิตย์กระตุ้นไฟในใจและเผาร่างทำลายชีพจร
นี่คืออรุณรับหมอกม่วง พลบค่ำเหนี่ยวนำเมฆแดงที่ว่ากัน
แม้จะเป็นร่างกายที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กของเจียงวั่ง ก็ยังสัมผัสได้ว่าพลังเลือดลมถูกบีบคั้นจนถึงจุดวิกฤตบางอย่าง หากเดินหน้าต่อไปจะทำให้พลังปราณเสียหาย ไส้เดือนในจุดผ่านสวรรค์ก็ไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย
แน่นอน ในจุดวิกฤตนี้ร่างกายจะไม่รู้สึกอ่อนล้าอะไร รากพลังเต๋าที่หล่อเลี้ยงอยู่ในจุดผ่านสวรรค์เป็นเหมือนหัวใจดวงเล็กๆ คอยสูบฉีดพลังอยู่ตลอดเวลา
ทุกอย่างนี้ทำให้เจียงวั่งได้สัมผัสคำสอนที่ได้รับในตอนเรียนอย่างลึกซึ้ง จากพลังเลือดลมจนถึงการสร้างรากพลังเต๋า นี่เป็นการยกระดับพลังประเภทหนึ่ง และเป็นเงื่อนไขแรกของคนที่จะก้าวผ่านมนุษย์สามัญ
ได้ยินว่าผู้ฝึกตนวิถียุทธ์ที่แท้จริงจะไม่หล่อเลี้ยงรากพลังเต๋า แต่เน้นฝึกฝนร่างกาย ฝึกฝนเลือดลมเท่านั้น นั่นก็เป็นอีกเส้นทางหนึ่ง
โลกในตอนนี้ เหล่าเจ้าผู้ครองรัฐผงาดขึ้น มีสำนักก่อตั้งมากมาย หลากสำนักประชันธรรม มหามรรคาไม่มีสิ้นสุด พูดได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองของการฝึกบำเพ็ญ แน่นอนว่าสำหรับเจียงวั่งที่อยู่ในรัฐจวง เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก
เจียงวั่งควบคุมรากพลังเต๋าให้เคลื่อนที่ไปในจุดผ่านสวรรค์อย่างระมัดระวัง ตรงไปเติมแผนผังจักรวาลดาราที่จำได้ขึ้นใจนานแล้ว ขั้นตอนนี้ไม่ง่ายเลย เนื่องจากพลังจิตวิญญาณของคนก็เหมือนพลังเลือดลม จะมีขีดจำกัดของมันในช่วงเวลาหนึ่ง
ผู้ฝึกตนที่เพิ่งก้าวสู่เส้นทางเหนือมนุษย์อย่างเจียงวั่ง ทุกวันขับเคลื่อนรากพลังเต๋าสองครั้งก็เป็นขีดจำกัดแล้ว หากมากกว่านี้จะทำให้จิตใจเหนื่อยล้า กรณีที่สาหัสกระทั่งว่าอาจทำให้สติปัญญากระทบกระเทือนได้
เจียงวั่งรู้ดีว่าแผนผังรากฐานที่ตนเลือกต้องใช้เวลานาน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าชักช้าเสียเวลา ประดุจอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะต้องเริ่มใหม่
และเขาก็ไม่มีเวลาให้ตัวเองเริ่มใหม่ด้วย
หนึ่งวันมีโอกาสจัดเรียงจุดพลังแค่สองครั้งเท่านั้น เขาพลาดไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว! ต่อให้แผนผังจักรวาลดาราจะซับซ้อนยากเย็นกว่าแผนผังวิญญาณหวนกำเนิดมากก็ตาม
สมมติว่าตอนนี้มีคนฝึกฝนพร้อมกับเจียงวั่ง สิ่งที่อีกฝ่ายเลือกคือรากฐานแผนผังวิญญาณหวนกำเนิด เช่นนั้นแล้วบนพื้นฐานที่ว่าการเรียงจุดพลังนั้นสมบูรณ์แบบ เขาต้องเร็วกว่าเจียงวั่งมากแน่นอน
เจียงวั่งไม่รู้เช่นกันว่าการตัดสินใจของตัวเองถูกหรือไม่ แต่ในเมื่อเลือกแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้หันหลังกลับ ทำได้เพียงเดินต่อไปข้างหน้า ทำได้เพียงทุ่มสุดกำลังทำให้ดีที่สุดเท่านั้น
โชคดีที่เขาทำได้ไม่เลว ตอนที่การฝึกฝนทะลวงชีพจรครั้งสุดท้ายของวันนี้จบลง ก็มีรากพลังเต๋าหลายสิบเม็ดลอยนิ่งอยู่ในจุดผ่านสวรรค์แล้ว แต่ละเม็ดอิ่มเอิบ เหมือนต้นข้าวเหลืองอร่ามในนาฤดูใบไม้ร่วง แผ่กลิ่นอายของผลเก็บเกี่ยวที่สมบูรณ์ออกมา สิ่งเหล่านี้จะเป็นต้นทุนในการ ‘ผ่านสวรรค์’ ของเขา
แต่ว่าสำหรับเจียงวั่งแล้ว เขายังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้ในห้องพักว่างเปล่า หลิงเหอกับตู้เหยี่ยหู่ออกไปทำภารกิจ พวกเขาที่ฝากตัวเป็นศิษย์สำนักสายในแล้ว ย่อมมีความปรารถนาในลูกกลอนเปิดชีพจรมากขึ้น
ส่วนเจียงวั่งจิตใจดำดิ่งเข้ามาในมิติมายาห้วงจักรวาล
วันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด หรือวันท้าประลองในรอบหนึ่งเดือน หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น วันนี้เขาจะเจอการท้าประลองจากนายแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แท่นหยกเขียว เขาจะลดระดับ…โดยไร้ซึ่งอุปสรรค
ยังคงเป็นภาพห้วงดาราอันยิ่งใหญ่ที่คุ้นเคย
เจียงวั่งนั่งขัดสมาธิ จับจ้องภาพมายานาฬิกาแดดอย่างเงียบงัน รอคอยให้ชั่วเวลานั้นของการท้าประลองมาถึง
เขาอยากจะเห็นพลังแท้จริงของผู้แข็งแกร่งของจริงบนโลกนี้ แม้เขาจะ ‘ได้ยิน’ การปะทะกันอย่างดุเดือดที่อารามหวนสัจจะ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ตอนต่งเออลงมือครั้งนั้น คู่ต่อสู้ก็ไร้พลังจะต่อกรอีกเช่นกัน
ขณะที่นั่งขัดสมาธิในผืนฟ้าดาราแห่งนี้ เขารู้สึกว่าใจของตัวเองกว้างใหญ่ขึ้นมา
มนุษย์เงยหน้ามองผืนฟ้าดวงดาวครั้งแรก ประวัติศาสตร์ก็เริ่มต้นขึ้น เทียบกับแม่น้ำดาราอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว ทุกอย่างในโลกมนุษย์เล็กจ้อยเป็นสิ่งลวงตาเสียเหลือเกิน
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร บนภาพมายานาฬิกาแดดมีตัวอักษรหมึกห้าตัวปรากฏขึ้นมา…ผู้ท้าประลองสละสิทธิ์
เจียงวั่งโล่งอก แต่ก็มีความรู้สึกเสียดายอย่างประหลาดนิดๆ
เขารักษาแต้มที่แดนศักดิ์สิทธิ์แดนร้างกระจ่างสัจจะมีให้ในเดือนนี้ไว้ได้ แต่นั่นอาจเป็นเพียงเพราะความแข็งแกร่งน่าเกรงขามของนายแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์คนเก่า ร่างที่ร้อนแรงของผู้มีนามว่าจั่วกวงเลี่ยคนนั้น!
คนที่เข้าไปในมิติมายาห้วงจักรวาลโดยพื้นฐานล้วนปกปิดตัวตนทั้งสิ้น นอกจากตัวพวกเขาเองก็ไม่มีใครอื่นรู้ว่าพวกเขามีชื่อเสียงเกรียงไกรอย่างไรในมิติมายาห้วงจักรวาล ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่านายแห่งแดนร้างกระจ่างสัจจะก็คือจั่วกวงเลี่ย อัจฉริยะฟ้าประทานแห่งต้าฉู่ในโลกความจริง ตอนนี้ยิ่งไม่มีใครรู้เข้าไปใหญ่ แม้ก่อนหน้านี้จะมีคนคาดเดาได้อย่างแม่นยำจากรูปแบบการต่อสู้ แต่ยามนี้ต้องอนุมานใหม่แล้ว
เพราะหากว่ากันตามปกติ เมื่อคนในโลกความจริงตายไป ตัวตนในมิติมายาห้วงจักรวาลก็จะหายไปด้วย แต่จั่วกวงเลี่ยกระตุ้นพลังของร่างแท้จริงจู้หรง แทบจะเผาไหม้ท้องฟ้า ทั้งยังมีจิตยึดติดอันแรงกล้า เหตุผลต่างๆ นานารวมอยู่ด้วยกัน จึงเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น ทำให้มิติมายาห้วงจักรวาลไม่อาจดูดกุญแจมายากลับคืนได้ทัน และถูกเจียงวั่งประทับตราลงไป เขาสืบทอดทุกอย่างของจั่วกวงเลี่ยในมิติมายาห้วงจักรวาลด้วยเหตุนี้เอง
แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยี่สิบสาม แดนร้างกระจ่างสัจจะ! แต้มเดือนนี้คือหนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบคะแนน
……
‘เวทีแสดงเต๋า’ เจียงวั่งคิดในใจ
โต๊ะไผ่เขียวตัวหนึ่งปรากฏออกมาตรงหน้า แต่ว่าไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเลย เป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่พบเห็นได้ทั่วๆ ไป มักจะถูกมองข้ามเสมอ
บนโต๊ะไม่มีของอย่างอื่นอีก มีเพียงตำราหยกเล่มหนึ่งเปิดกางอยู่ ตอนนี้ว่างโล่งไม่มีอะไร
เจียงวั่งมีประสบการณ์ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เขาแค่ต้องนึกย้อนเคล็ดวิชาที่ตนอยากอนุมาน แล้วค่อยใส่แต้มที่สอดคล้องกันลงไป สุดท้ายเคล็ดวิชาที่อนุมานออกมาก็จะปรากฏบนตำราหยก แผนผังรากฐานและแผนผังจักรวาลดาราก่อนหน้านี้ก็ได้มาจากการอนุมานแผนผังวิญญาณหวนกำเนิดนี่เอง
ตอนนี้แผนผังรากฐานยังไม่สำเร็จ กระแสวนเต๋ายังไม่ปรากฏ ใช้รากพลังเต๋าเม็ดหนึ่งก็น้อยลงไปเม็ดหนึ่ง การอนุมานวิชาเต๋าย่อมไม่สำเร็จ เจียงวั่งเองก็แค่จำลองในใจ ยังไม่เคยฝึกฝนวิชาเต๋าจริงๆ ถึงอย่างไรในช่วงแรกของการฝึก รากพลังเต๋าก็ล้ำค่ายิ่งนัก
แต่ว่าก็จะปล่อยแต้มเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้เช่นกัน ต้องรู้ไว้ว่าเส้นทางการฝึกบำเพ็ญหากไม่เคลื่อนไปข้างหน้าก็จะถอยหลัง วันพรุ่งนี้กับเรื่องไม่คาดฝันไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อน ดังนั้นทุกขั้นตอนล้วนต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งอย่างสุดกำลัง นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่ควรทำ
เจียงวั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลือกวิชากระบี่ที่มีรูปแบบเฉียบขาดดุดันวิชาหนึ่งจากในบรรดาวิชากระบี่ทั้งหลายที่ตนเชี่ยวชาญมาอนุมาน
แต้มที่ต้องเสียคือ หนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบคะแนน!
แนวความคิดของรัฐจวงล้วนให้ความสำคัญกับวิชาเต๋าไม่ให้ค่าวิชายุทธ์ แต่ในขั้นนี้เจียงวั่งไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อรากฐานยังไม่สำเร็จ ต่อให้เป็นวิชาเต๋าที่แข็งแกร่งเพียงใดเขาก็ไม่กล้าใช้
และในเมื่อเลือกที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของวิชากระบี่ เช่นนั้นก็ต้องพยายามสุดความสามารถ ทุ่มเทสุดกำลัง
ตำราหยกบนโต๊ะไผ่เขียวมีอักษรมากมายผุดขึ้นมาทันที นั่นคือวิชากระบี่ธรรมดาที่เจียงวั่งฝึกฝนจากสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินสายนอก นอกจากเฉียบขาดดุดันแล้วก็ไม่มีข้อดีอะไร แต่ตอนนี้ตัวเลขแต้มบนภาพมายานาฬิกาแดดกำลังลดลงไม่หยุด ตัวอักษรในตำราหยกบนโต๊ะก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างบ้าคลั่ง
เจียงวั่งเพ่งสมาธิมอง อักษรพวกนั้นเหมือนแปรเปลี่ยนเป็นเงาคนหลายร่าง กำลังถือกระบี่ร่ายรำ ยิ่งร่ายรำยิ่งรวดเร็ว สุดท้ายก็ราวกับรวมกันเป็นกลุ่มหนึ่ง
เจียงวั่งอดหรี่ตาลงไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีแสงเจิดจ้าแยงตา!
ยามที่เขากะพริบตามองไปอีกครั้ง ตัวอักษรบนตำราหยกก็สงบลงแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นเคล็ดกระบี่อัศจรรย์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน กระทั่งว่าไม่เคยจินตนาการถึง!
ตอนอยู่ในสำนักสายนอก เจียงวั่งได้รับการยอมรับว่ามีวิชากระบี่เป็นที่หนึ่ง ทว่าเมื่อเปิดอ่านวิชากระบี่นี้ เขาพลันรู้สึกว่าวิชาที่ตนฝึกมาในอดีตเป็นกระบวนท่าบ้านๆ เหมาะสำหรับทำไร่ทำนาเท่านั้น!
ถึงแม้ตัวเลขแต้มบนภาพมายานาฬิกาแดดกลายเป็นศูนย์ เจียงวั่งกลับถอนหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ
ทุกอย่างล้วนคุ้มค่า!
………………………………………………………