ที่แท้....ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 502 พาตัวไป
บทที่ 502 พาตัวไป
เวลานี้คนที่อยู่ด้านล่างเวที ทุกคนต่างได้ยืนขึ้นมาแล้ว
และหวูน่ายยีเตานั้น หลังจากทำพิธีซามูไร ก็พุ่งเข้าไปทางเฉินเกอโดยตรง
บู้ม!
กระโดดเตะกลางอากาศ อยากที่จะยกเท้าถีบบนอกของเฉินเกอ
ออกท่าได้เร็วมาก
เขาเร็ว แต่เฉินเกอเร็วยิ่งกว่าเขา
ได้ออกขาทันที ถีบไปยังขาที่เขายกขึ้น
หลังจากสิ้นเสียงถีบ หวูน่ายยีเตาก็ได้คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว
ใบหน้าเต็มไปด้วยเจ็บปวด
“อะไรเนี่ย?”
ผู้คนที่ด้านล่างเวทีต่างตะลึง
เมื่อกี้ที่ฉินหลานเห็นเฉินเกอขึ้นเวที ก็เป็นห่วงอย่างมาก เพราะว่านักรบของประเทศญี่ปุ่นเก่งกาจมาก เสี่ยวเกอนั้นแขนบางขาบาง จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรกัน
พี่ล๋านจิตใจมีเมตตา ปกติแค่เห็นกระต่ายน้อยบาดเจ็บเธอยังทนไม่ได้เลย
ยิ่งตอนนี้ เป็นสามีของตัวเอง?
คิดถึงสภาพที่อนาถของคุณชายเหลยเมื่อกี้นั้น ฉินหลานใจหายใจคว่ำ
แต่คิดไม่ถึง เสี่ยวเกอจะเก่งกาจเพียงนี้
“ว้าว อาจารย์เก่งมากเลยค่ะ!”
ยู่จินเซียงปกมืออย่างตื่นเต้น
มีแต่ยู่จินเฟยเท่านั้น ที่ตอนนี้ในใจสับสนขึ้นมา
หวูน่ายยีเตาโกรธแล้ว เขารู้แล้วว่าคนที่อยู่ด้านหน้าคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว
ขณะนั้น ขยับข้อมือทีเดียว ก็เห็นหน้าอกของเขาจู่ๆก็มีแสงสีขาวกะพริบขึ้น
เฉินเกอหมุนตัวจนหลบพ้น
แลขาะหวูน่ายยีเตาของเขาได้ลอยมาถึงด้านหน้าของเฉินเกอแล้ว
โวง
จากนั้น ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีเห็นเฉินเกอใช้พลังฝ่ามือเพียงนิดเดียวหวูน่ายยีเตาก็ลอยอยู่บนอากาศ ตกลงมากระแทกเก้าอี้ที่ด้านล่างเวที
ด้านล่างเวที ดวงตาคู่สวยของหวูน่ายเหมยจื่อมองไป
คนที่อยู่ด้านหน้า แข็งแกร่งมาก!
ยีเตา ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
แต่หวูน่ายยีเตาไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน เขายังคาใจ
ขณะนั้นก็ไม่มีข้อห้ามอีก แสงสีขาวได้กะพริบขึ้นอีกแล้ว ดาบซามูไรญี่ปุ่น ได้ถูกกำไว้ในมือของเขาแล้ว
“เชียง!”
เขาคำรามอย่างโกรธ พุ่งเข้ามาฟันเฉินเกอโดยตรง
และเฉินเกอใช้สองมือมาบัง ด้านล่างขา พอดีมีขาเก้าอี้ที่หักอยู่
ขณะนั้น แตะปลายเท้าเพียงนิดเดียว ออกแรงนิดหน่อย
เฉิบ!
ดังขึ้นหนึ่งที ขาเก้าอี้ถูกฉีกขาดอยู่บนอากาศ ได้ลอยไปบาดหน้าของหวูน่ายยีเตาโดยตรง
ไม่เพียงเท่านี้ ยังได้ลอยไปฝังลึกลงไปในเสาหินที่อยู่ด้านข้าง รอบๆเสาหินนั้น แผ่กระจายเหมือนใยแมงมุม
สองมือของหวูน่ายยีเตาได้ชูดาบไว้กลางอากาศ
สายตามองลงไปแผลที่ใต้ตาซ้าย
เขาไม่ขยับแล้ว
และด้านล่างเวที ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ
หวูน่ายเหมยจื่อนั้นหนังตากระตุกแรงมาก เหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างได้ รีบร้องห้ามหวูน่ายยีเตาที่อยู่บนเวที:
“ยีเตาพวกเราแพ้แล้ว รีบถอยลงมาเถอะ!”
หวูน่ายยีเตาจึงได้ออกจากภวังค์ รีบวางดาบลง โค้งคำนับเฉินเกออย่างสุภาพ
“ผมแพ้แล้ว!”
จึงได้เดินลงมาจากเวที
“เฉิงซาง เมื่อกี้ขอบคุณที่ย้ำมือโสมพันปีนี้ เป็นของบริษัทเทียนหลงกรุ๊ปทั้งหมดแล้ว!”
หวูน่ายเหมยจื่อ ขณะที่พูดสายตาเธอที่มองเฉินเกอนั้นแฝงด้วยความหมายอื่น
“ออมมือไปแล้ว”
เฉินเกอที่อยู่บนเวทีหัวเราะพูด
“เฉินเกอ……..เฉินเกอนาย…….? แท้จริงแล้วคือนายใหญ่ของบริษัทเทียนหลงกรุ๊ป ฉันว่าละ ฉันดูนายก็ไม่เหมือนคนธรรมดา ไม่แปลกเลยที่จะเป็นเขยที่ดีของตระกูลยู่ของเรา!”
ซูหงกลืนน้ำลาย เดินขึ้นไปบนเวทีพูดกับเฉินเกอ
“คุณนายซู เงินทุกบาททุกสตางค์จะถูกโอนเข้าไปบัญชีของตระกูลยู่ โสมพันปีนี้ บริษัทเทียนหลงกรุ๊ปเอาไปแล้ว!”
และเฉินเกอนั้น ไม่แม้กระทั่งที่จะมองเธอ
หลังจากที่รับโสมพันปี ก็เดินลงมาจากเวที
เวลานี้ ผู้คนที่มองบริษัทเทียนหลงกรุ๊ปนั้น สายตาได้เปลี่ยนไปแล้ว
“พี่ครับ ผมมันไม่เอาไหน ผมอยู่ต่อหน้าเขา ทนรับการโจมตีของเขาไม่ได้เลยแม้แต่ท่าเดียว!”
ใบหน้าหวูน่ายยีเตาเต็มไปด้วยความละอายใจ
ไม่ยีเตา ระยะห่างของนายกับเขา ไม่ใช่เทคนิคของกระบวนท่า แต่เพราะเขาไม่ใช่นักต่อสู้ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
หวูน่ายเหมยจื่อกล่าวด้วยเสียงเบา
“ไม่ใช่นักต่อสู้ธรรมดา?”
ยีเตาประหลาดใจ
“อืม นายยังจำที่คุณปู่เคยบอกกับพวกเรามั้ย ความแข็งแกร่งของร่างกายคนนั้น หลังจากที่ถึงระดับหนึ่งด้วยคุณสมบัติเลือดแล้ว เขาก็จะไม่ใช่นักสู้ธรรมดาอีกต่อไป เพราะภายในร่างกายได้กำเนิดพลังภายใน!”
หวูน่ายเหมยจื่อจ้องมองเฉินเกอและพวกที่กำลังเดินลงจากเขา กล่าวด้วยสายตาที่อิจฉา
“งั้นก็แสดงว่า เขาก็คือนักสู้กำลังภายใน ถึงว่าล่ะ ผมจะเป็นคู่ต่อสู้ของนักสู้กำลังภายในได้อย่างไร แต่มันก็ไม่ถูกนะพี่ ผมจำได้ว่าคุณปู่เคยบอก ยอดฝีมือบางคน ต่อให้ฝึกทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถมีกำลังภายในได้ แต่เขาดูแล้ว อายุก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเรา แล้วจะเป็นไปได้ยังไง?”
“นี่ก็เป็นเพียงข้อสนิษฐานของพี่ เขาอายุยังน้อยขนาดนี้ กลับมีพละกำลังที่คนทั่วไปไม่มี และยังมีกำลังภายในที่หนาและแข็งแกร่ง เทียบกันแล้ว ตอนนี้พี่มีความสนใจในตัวอาจารย์ของมากกว่า แล้วอาจารย์ของเขา จะอยู่ในระดับไหนกัน?”
หวูน่ายเหมยจื่อกล่าว
“ยังไงก็กลับไปถามคุณปู่กันเถอะ เขตเทียนเฉิงตรงนี้ ถึงได้ซ่อนยอดฝีมืออย่างนี้ไว้!”
หวูน่ายยีเตาพูดอย่างแปลกใจ
และหลังจากที่จบงานครั้งนี้แล้ว เฉินเกอก็ไม่ได้สนใจคนของตระกูลยู่อีกเลย
ก็ได้กลับวิลล่าโดยตรง
“เสี่ยวเกอ คิดไม่ถึงจริงๆ ไม่เจอกันเพียงครึ่งปี นายก็เก่งกาจเพียงนี้ ดูแล้วเหมือนจะเก่งกว่าพวกตระกูลโม่เสียอีก!”
บนรถ ฉินหลานที่นั่งอยู่ข้างกายเฉินเกอ กล่าวขึ้น
โชคดี ที่มีอาจารย์ที่ดีท่านหนึ่ง
“ใช่แล้วเสี่ยวเกอ ครั้งนี้ กลับไปกับพวกเราเถอะ นายไม่รู้ ทุกวันนี้คุณพ่อเป็นห่วงนายมากเลย!”
ฉินหลานจับมือของเฉินเกอแล้วกล่าว
“พี่ล๋านตอนนี้ผมยังกลับไปไม่ได้ อีกอย่างสิ่งที่พวกคุณเห็น อย่าเพิ่งไปบอกคนอื่น สิ่งสำคัญผมได้บอกไปแล้ว ผมไม่อยากให้ความตั้งใจครึ่งปีนี้ ต้องมาเสียเปล่า!”
เฉินเกอกล่าวอย่างยิ้มๆ
“ก็ได้ ฉันไม่พูดก็แล้วกัน เสี่ยวเกอ ก้าวต่อไปนายคิดจะทำยังไง? จะอยู่เทียนเฉิงต่อ? ฉันได้ยินคุณพ่อพูดว่า คนของตระกูลโม่ได้ย้ายถิ่นฐานไปที่มณฑลซีหนานแล้ว อยู่ใกล้กับนายมากเลยนะ!”
ฉินหลานก็พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“คุณผู้ชาย เป็นไอ้สี่คนนั้นอีกแล้ว!
ขับรถกลับมา เฉินว่านชานมองไปที่ชายในชุดดำสี่คนที่ยืนอยู่ที่ประตู ขณะนั้นพูดอย่างเอือมระอา
“คุณผู้ชาย ชายประหลาดสี่คนนี้รู้จักกับคุณได้ยังไงเหรอ เหมือนคนใบ้เลย ทำได้เพียงแค่พยักหน้าและส่ายหัว อีกอย่างกลางวันแสกๆก็แต่งตัวแบบนี้!”
เฉินว่านชานถามอย่างสงสัย
สองสามวันก่อน เฉินเกอให้จัดให้พวกเขาอยู่ในวิลล่าของตัวเอง
เฉินว่านชานก็ต้องเคยสนทนากับพวกเขาอยู่แล้ว
“อันที่จริงพูดอย่างจรังจัง ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนอะไร!
เฉินเกอหัวเราะเจื่อนๆ
“งั้นคุณผู้ชายยังจะเก็บพวกเขาไว้ที่วิลล่าทำไม?”
“ไม่มีทางอื่น มีคนคนหนึ่งต้องการพบฉัน หลังจากที่จัดการเรื่องนี้เสร็จ พวกเขารอให้ฉันไปตามนัดน่ะ!”
“งั้นแบบนี้ มันอันตรายไปหรือเปล่า คุณผู้ชาย ไม่งั้นก็พาพี่น้องเราไปด้วยเถอะ?”
เฉินว่านชานกล่าวอย่างห่วงใย
“ไม่ต้อง หากพวกเขาคิดจะทำร้ายฉัน สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ แกและจางหลง จางหู่สองพี่น้อง ก็อยู่ที่เทียนเฉิงแหละ บริหารงานให้ดีก็พอแล้ว ฉันไปกับพวกเขาก็พอแล้ว!”
เฉินเกอสูดลมหายใจเข้าแล้วกล่าว
“เสี่ยวเกอ พวกเขาจะพานายไหน?”
ฉินหลานถามขึ้นอีก
เฉินเกอก็ยังคงส่ายหัว
เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปพบใคร
และขณะที่เฉินเกอและฉินหลานจะเดินเข้าไปข้างในวิลล่านั้น
ชายสี่คนนั้นจู่ๆก็ยื่นมือออกมาขวางเฉินเกอไว้
“โสมพันปีนายก็ได้มันมาแล้ว ควรจะไปได้แล้ว!”
พวกเขาทั้งสี่พูดกับเฉินเกออย่างเฉยชา
“ไปไหน? ยังไงก็แล้วแต่ ก็ควรที่จะให้ฉันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนมั้ง?”
เฉินเกอมองพวกเขา หัวเราะเจื่อนๆ
“ไม่ต้อง พวกเราไปกัน!”
ชายนี่คนก็ได้กล่าวอย่างเย็นชา
จับไหล่ของเฉินเกอไว้
“บังอาจ!”
เฉินว่านชานโมโห ก็ได้ตบคนหนึ่งในนั้นด้วยฝ่ามือโดยตรง
เพี้ย!
และชายคนนั้นแค่ยกมือขึ้นมาเบาๆ เฉินว่านชานก็กระเด็นออกไป
ว่านชานอย่าลงมือ
เฉินเกอรีบห้ามปราม
“ท่านทั้งสี่ แล้วจะไปยังไง? คงไม่ใช่ว่าจะเดินไปมั้ง?”
ชายทั้งสี่ก็ไม่ได้ตอบ คนที่อยู่หัวแถว ได้หยิบอุปกรณ์ออกมาชิ้นหนึ่ง กดลงไปที่ปุ่มสีแดง
“โวงโวงโวง!”
ไม่นานนัก บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ เฮลิคอปเตอร์สีดำลำใหญ่กำลังบินมา………