ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 7 แม้แต่ขยะก็เป็นของล้ำค่า
หลี่เนี่ยนฝานมองไปยังหลัวฮ่าวซึ่งดูคล้ายกับมีเรื่องค้างคาใจ เอ่ยถามด้วยความสงสัย “แต่ว่าอะไรหรือ”
หลัวฮ่าวรีบคลี่ยิ้ม พูดว่า “ไม่มีอะไรขอรับ ข้าก็ว่าทำไมเข้ามาในนี้แล้วรู้สึกโล่งสบาย ที่แท้ก็เพราะอากาศสดชื่นนี่เอง”
หลี่เนี่ยนฝานยิ้ม “นั่งเถอะ”
ทั้งสามนั่งลงตามที่เขาบอก
“ใบชาที่ปลูกไว้ยังไม่ถึงเวลาเก็บ ทำให้พวกเจ้าลำบากใจแล้ว ดื่มน้ำธรรมดาไปก่อนแล้วกัน” หลี่เนี่ยนฝานพูด
ไป๋ลั่วซวงตอบกลับว่า “คุณชายหลี่เกรงใจแล้ว พวกข้าไม่ลำบากใจเลยสักนิด”
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มพลางหยิบถ้วยสามใบไปรินน้ำมาจากเครื่องกรองน้ำ แล้วส่งให้ทั้งสามคน
“ขอบคุณคุณชายหลี่” ไป๋ลั่วซวงรับน้ำมา ม่านตากลับพลันหดเกร็ง เอ่ยถามอย่างสั่นสะท้านว่า “ขอถามคุณชายหลี่ สิ่งที่ใช้บรรจุน้ำนี้คือสิ่งใดหรือ”
“นี่คือเครื่องกรองน้ำ ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ น่ะ” หลี่เนี่ยนฝานตอบไปอย่างไม่คิดมาก
เป็นของมหัศจรรย์อย่างที่คิดจริงๆ!
ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสามแทบจะชาหนึบไปทั้งตัว น้ำที่อยู่ในถ้วยของพวกเขานี้ไม่ใช่น้ำธรรมดา หากแต่เป็นธาราปราณ!
ลำพังน้ำที่เจือปนพลังปราณก็เทียบได้กับปราณโอสถระดับล่างแล้ว!
เครื่องกรองน้ำนี้ต้องเป็นอาวุธวิญญาณระดับสูงเป็นแน่ ถึงกับทำให้น้ำธรรมดากลายเป็นธาราปราณได้ เหลือเชื่อมาก!
หลี่เนี่ยนฝานเห็นทั้งสามมีท่าทางผิดแปลก ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่เอ่ยเรียบๆ “ข้าไปหลังเรือนประเดี๋ยว พวกเจ้าจะกินน้ำก็รินจากเครื่องกรองน้ำได้เลยนะ”
หลี่เนี่ยนฝานยกลูกปลาและเต่าดาวไปยังหลังเรือน พลางพูดว่า “เสี่ยวไป๋ นายไปจัดการศพเสือดาวที เตรียมตัวทำอาหาร!”
ในห้องโถงเหลือเพียงผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสามนั่งมองหน้ากันอย่างไม่เป็นสุข
แม้ว่าพวกเขาจะอยากได้เครื่องฟอกอากาศและเครื่องกรองน้ำ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้อง
หลัวฮ่าวกลืนน้ำลาย พูดขึ้นด้วยความตกใจ “ศิษย์…ศิษย์น้องหญิง เหมือนว่าพวกเราจะได้พบกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่เข้าแล้วละ”
ไป๋ลั่วซวงพยักหน้า สูดหายใจเข้าลึกด้วยสีหน้าหนักใจ “ปรมาจารย์ท่านนี้เหนือกว่าสิ่งที่พวกเราเคยรู้มาก่อนหน้านี้! ตอนนี้ดูแล้ว ปรมาจารย์ท่านนี้เป็นคนดี ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ห้ามล่วงเกินเขาเด็ดขาด! ถ้าหากได้ผูกมิตรละก็จะเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต!”
ฉินจู๋พูด “ศิษย์น้องหญิงวางใจเถอะ พวกข้ารู้แล้ว”
ในตอนนั้นเอง หลัวฮ่าวก็เหลือบไปเห็นถังขยะด้านข้างเท้า และอดชะงักงันไม่ได้
ในนั้นมีม้วนกระดาษแผ่นหนึ่ง คล้ายกับเป็นภาพวาด
“หลัวฮ่าว เจ้าทำอะไรน่ะ ห้ามจับของของท่านปรมาจารย์ส่งเดชเด็ดขาด!” ไป๋ลั่วซวงหัวใจบีบเค้น รีบเอ่ยปากเตือน
“ดูเหมือนขยะเลย”
หลัวฮ่าวพูดพลางหยิบม้วนภาพวาดออกมา ใช้มือคลี่ออกอย่างระมัดระวัง
เขารู้สึกสงสัยว่าสิ่งที่ถูกปรมาจารย์โยนทิ้งคืออะไร
บนภาพวาด ร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ร่างที่อยู่ในภาพวาดนี้คือด้านหลังของคนสวมหมวกสานและเสื้อกันฝนซึ่งทำจากฟาง ยืนอยู่เพียงลำพังบนเรือลำเล็ก ในมือของเขาถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง
ลายเส้นนั้นเรียบง่าย คล้ายกับว่าขีดเขียนเล่นๆ
กระนั้นแล้ว วินาทีที่เห็นภาพนี้ หลัวฮ่าวก็ส่งเสียงร้องแหลม ทั้งตัวสะดุ้งโหยง พูดอย่างตกใจว่า “จิตกระบี่! ในภาพนี้มีจิตกระบี่!”
สายตาของไป๋ลั่วซวงกับฉินจู๋เคลื่อนไปหยุดบนภาพวาดพร้อมกัน
มองเพียงปราดเดียว ก็เหมือนว่าพวกเขาได้หลอมรวมเข้าไปในภาพ ความรู้สึกเช่นความโดดเดี๋ยว หยิ่งผยอง องอาจไม่เกรงกลัว และเด็ดเดี่ยวถาโถมเข้ามา ประหนึ่งจะท่วมทับจนพวกเขาจมลงไป
ในตอนนั้น ราวกับว่าพวกเขาเข้าไปอยู่ในโลกเดียวกับมือกระบี่สวมเสื้อฟางกันฝนท่านนี้ จิตกระบี่รุนแรงไร้ขีดจำกัดออกจากร่างของนักกระบี่แล้วพุ่งขึ้นฟ้า กดทับเสียจนพวกเขาหายใจไม่ออก
ถ้าหากเป็นคนทั่วไป เมื่อเห็นภาพวาดนี้ก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่ทั้งสามเป็นลูกศิษย์สำนักเซียน เดิมทีต้องฝึกฝนกระบี่อยู่แล้ว ความรู้สึกไวต่อปราณกระบี่มาก
พวกเขาพอจะเข้าใจความหมายของภาพวาดนี้ มือกระบี่สวมเสื้อกันฝนกำลังจะประมือกับใครสักคน เขากำลังเดินทางไป และผู้ที่เขาจะเผด็จศึกนั้นอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
“ฟู่!”
หลัวฮ่าวรีบเก็บม้วนภาพวาดใส่ตะกร้า ทั้งสามถึงไดัสติ ในชั่วพริบตาเดียวเม็ดเหงื่อก็พลันผุดท่วมใบหน้า
“สรุปแล้วคนในภาพเป็นใคร แค่ด้านหลังก็มีจิตกระบี่เข้มข้นแล้ว ถึงขั้นเหนือกว่าเจ้าสำนักด้วยซ้ำไป น่ากลัวเหลือเกิน” ฉินจู๋รู้สึกครั่นคร้ามในใจ
ไป๋ลั่วซวงไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกในใจของตนอย่างไรแล้ว พูดเสียงสั่นว่า “นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือมีคนที่วาดภาพนี้ออกมา แล้วก็…โยนทิ้งลงไปในถังขยะอย่างไม่ใยดี!”
หลัวฮ่าว “สำหรับผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรา ภาพวาดนี้มีประเมินค่าไม่ได้เชียวนะ!”
ในตอนนั้น หลี่เนี่ยนฝานก็กลับมาแล้ว ส่วนเสี่ยวไป๋ก็แบกศพเสือดาวเข้าไปในห้องครัว รีบลงมือทำอาหาร
หลี่เนี่ยนฝานเห็นว่าทั้งสามคล้ายกับมีอะไรจะพูด จึงอดถามไม่ได้ “มีอะไรหรือ”
ไป๋ลั่วซวงกำลังถือภาพวาดอยู่ ก็เอ่ยปากขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วน “ขออภัย พวกข้าแตะต้องของของท่านโดยพลการ”
“ไม่เป็นไร นั่นเป็นแค่ภาพที่ข้าร่างเล่นเฉยๆ น่ะ เดิมทีก็ทิ้งไปแล้วด้วย” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
เพียงแค่ประโยคนี้ ฐานะของหลี่เนี่ยนฝานในใจของพวกเขาทั้งสามก็ถูกยกขึ้นสูงอย่างไร้ขีดจำกัด
ขนาดภาพที่วาดร่างยังมีจิตกระบี่แฝงอยู่ นี่มันโลกอะไรกัน เขาเป็นเทพเซียนจากในตำนานหรืออย่างไร
ฉินจู๋มองหลี่เนี่ยนฝานอย่างคาดหวัง เอ่ยปากด้วยความวิตก “คุณชายหลี่ ไม่ทราบว่าท่านจะว่าอย่างไร ยกภาพวาดนี้ให้พวกข้าได้หรือไม่”
เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสาม หลี่เนี่ยนฝานก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนจะมีคนที่ชอบภาพวาดด้วย
เขาโบกมือเอ่ย “ก็แค่ภาพร่างไม่ใช่หรือ เอาไปเถอะ”
“ขอบคุณคุณชายหลี่!”
ทั้งสามดีใจกันยกใหญ่ ลุกพรวดขึ้นพร้อมกันด้วยความตื่นเต้น
ต้องนำภาพวาดแผ่นนี้ไปส่งที่สำนักอย่างเร็วที่สุด!
พวกเขารู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ ไม่อาจรอช้า
ไป๋ลั่วซวงค้อมคำนับหลี่เนี่ยนฝาน พูดอย่างเคารพว่า “คุณชายหลี่ ขอบคุณที่ท่านมอบภาพวาดให้ เพียงแต่พวกข้าสามคนต้องรีบกลับสำนักตอนนี้ ขออภัยด้วย”
“รีบร้อนขนาดนั้นเชียว? ไม่กินข้าวแล้วหรือ”
“คุณชายหลี่ พวกข้าสามคนมีเรื่องด่วน ครั้งหน้าพวกข้าจะจัดงานเลี้ยงเชิญคุณชายเป็นการชดเชย!” ไป๋ลั่วซวงบอก
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ เจอกันครั้งหน้า”
“คุณชายหลี่ ข้าขอลา!”
ทั้งสามเก็บภาพเขียนราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า แล้วรุดรีบลงเขาไป
หลี่เนี่ยฝานมองเงาด้านหลังของพวกเขา ส่ายหน้าน้อยๆ เตรียมอาหารที่ทำจากเนื้อเสือดาวไว้แล้วแท้ๆ สามคนนี้ไม่มีลาภปากเลย
ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่เชิงเขา
ร่างอรชรสองคนกำลังเดินขึ้นเขา
สตรีสองคนเดินอยู่กลางป่าบนเขา ราวกับเป็นภูติแห่งหุบเขาอย่างไรอย่างนั้น
หนึ่งในนั้นก็คือลั่วซืออวี่ ผู้หญิงที่ติดตามนางมาอีกคนหนึ่งสวมกระโปรงยาวสีม่วง เอวบางอ้อนแอ้น หนึ่งแขนโอบรอบได้ก็ว่า เส้นผมดำขลับเกล้าขึ้นเป็นมวยอย่างวิจิตร กลางผมปักปิ่นประดับอัญมณีทั้งเจ็ด ขับใบหน้างามดุจดอกฝูหรง หว่างคิ้วสำแดงความสง่างามน่าเกรงขาม ราวกับเป็นเทพธิดาผู้สูงส่ง
เมื่อเทียบกับลั่วซืออวี่แล้ว สตรีในชุดสีม่วงก็เปรียบประหนึ่งลูกท้อหวานจนสามารถคั้นน้ำออกมาได้
สตรีในชุดสีม่วงฟังลั่วซืออวี่พูดมาตลอดทาง ในที่สุดก็เอ่ยปากว่า “ซืออวี่ เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ฝันไป”
อาวุธวิญญาณอัศจรรย์ แตงโมแฝงทำนองมรรคา แล้วก็ปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวก ไม่ว่าฟังอย่างไรก็เหมือนกับนิทานหลอกเด็กเสียมากกว่า
ลั่วซืออวี่ดึงรั้งสตรีชุดสีม่วงไว้ “เสด็จแม่ ข้ามั่นใจว่าไม่ใช่ความฝัน! อีกอย่างท่านก็เห็นว่าข้าสำเร็จถึงขั้นจู้จีแล้ว เรื่องนี้หลอกกันไม่ได้หรอกเพคะ”
สตรีชุดสีม่วงยังคงเคลือบแคลงใจ เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง คนผู้นี้ก็นับว่าเป็นปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวก”
“เสด็จแม่ ท่านรีบตามข้าขึ้นเขาเร็ว ข้ารับรองว่าเมื่อถึงแล้วท่านจะต้องประหลาดใจแน่นอน!” ลั่วซืออวี่รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
สตรีชุดสีม่วงทอดถอนใจเบาๆ นางย่อมรู้ดีว่าบุตรสาวกำลังคิดอะไรอยู่
ในใจของนางอยากล้มเลิกงานแต่งงานของตนเอง บัดนี้ได้เห็นแสงแห่งความหวัง ย่อมต้องคว้าเอาไว้
ในฐานะที่เป็นมารดาของลั่วซืออวี่ นางไหนเลยจะอยากผลักลูกเข้ากองไฟ เพียงแต่ตัวนางอยู่ในราชวงศ์ ทำอะไรไม่ได้ จึงหวังว่าปรมาจารย์ท่านนี้จะมีวิธีช่วยลั่วซืออวี่
……………………………………………