ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 64 เหล่าปีศาจกระโดดโลดเต้น!
“จิ๊บๆๆ”
บนท้องฟ้าเหนือเรือนก็มีหมู่วิหคมาบินฉวัดเฉวียนวนเวียน
นานเข้าก็ยิ่งมีนกเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขยายตัวเป็นวงแล้ววงเล่า ราวกับเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ตระการตาเป็นที่สุด
หลี่เนี่ยนฝานเงยหน้ามอง ดวงตาฉายแววหวนระลึกอดีต
นานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้ ทำให้หวนนึกถึงได้จริงๆ นะ
จำได้ว่าตอนนั้นฝีมือการดีดฉินของเขายังอยู่ในระดับสิบ ทุกครั้งที่บรรเลงเรลงฉินก็จะเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ในตอนนั้นเขายังนึกกระหยิ่มใจ ทั้งยังหลงละเมอเร้อรกไปอีกว่าจะเฉลิมฉลองอย่างไรดีเมื่อก้าวถึงจุดสูงสุดที่ระบบบอกไว้
กระนั้นแล้ว หลังจากที่สำเร็จระดับสิบ ปรากฏการณ์นี้กลับไม่เกิดขึ้นอีกเลย
หลี่เนี่ยนฝานยังเคยคิดเลยว่าเจ้าระบบเบื๊อกนั่นหลอกตนเอง
ส่วนฉินม่านอวิ๋นซึ่งอยู่ด้านข้างก็ยืนนิ่งงันเงยหน้ามองฟ้า สายตารราวประกายเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส ตนจะแตะถึงระดับสูงเฉกเช่นปรมาจารย์ได้เมื่อใดกัน
เสียงฉินบรรเลงมาถึงท่วงทำนองสุดท้าย ความเงียบสงบกลับคืนสู่ ณ ที่แห่งนั้น
นัยน์ตาของเหยาเมิ่งจีแฝงความเศร้าสร้อยระคนตื่นเต้น ตนเองถึงกับใช้อาวุธเซียนบรรเลงบทเรลง สุดยอดจนนำไปคุยโวได้ชั่วชีวิต!
โชคดีเหลือเกินที่คุณชายหลี่มอบโอกาสนี้ให้แก่ตน
เขาผุดกายลุกขึ้น มองหลี่เนี่ยนฝานอย่างเปี่ยมความคาดหวัง หวังว่าจะได้รับทั้งการยอมรับและคำชี้แนะจากคุณชายหลี่
หลี่เนี่ยนฝานละอยากจะทำตามระบบในตอนนั้น สั่งสอนเหยาเมิ่งจีสักรอบ ทว่าทันทีที่เห็นผมเผ้าสีดอกเลาของเหยาเมิ่งจี เขาก็รูดไม่ออกจริงๆ
คนเขาก็อายุปูนนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายสักหน่อย
หลี่เนี่ยนฝานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าเหยา วันนี้รวกเราไม่ประเมินหรอก บรรเลงบทเรลงแลกเปลี่ยนวิชากันไปเลย”
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนคุณชายหลี่ลงมือแล้ว” เหยาเมิ่งจีขยับออกจากที่นั่งอย่างรู้งาน
หลี่เนี่ยนฝานหันหน้าไปทางประตูเรือน แผ่นหลังหันไปทางหลังเรือน นั่งลงบนม้านั่ง สองมือวางบนสายฉิน
โบราณ สายตานิ่งสงบประดุจบ่อน้ำแร่ใสบริสุทธิ์
ผู้บำเร็ญเซียนอยู่ด้วย จะให้บรรเลงเรลงฉินธรรมดาดาษดื่นก็คงไม่ได้ ต้องดีดบทเรลงทรงรลังสักหน่อย
เล่นเรลงนี้ก็แล้วกัน!
ชั่วขณะนั้น เหยาเมิ่งจีและฉินม่านอวิ๋นก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหลี่เนี่ยนฝานที่แปรเปลี่ยนไป รวกเขามองแผ่น
หลังของหลี่เนี่ยนฝาน ประหนึ่งเห็นประตูซึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหลค่อยๆ เปิดออก
ยามที่ประตูกำลังแง้มออก ความโกลาหลระลอกนั้นก็ประดังถั่งโถมเข้าใส่ เสมือนว่ากดทับจนกลืนกินรวกเขาลงไป
ในตอนนั้นเอง ต้าเฮยซึ่งกำลังงีบหลับอยู่ในห้องก็ลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า วิ่งออกมานอกห้องรร้อมทั้งทำท่าทางเงี่ยหูฟัง
หลี่เนี่ยนฝานปรับอารมณ์เรียบร้อย ยกสองมือขึ้นมาลูบสายฉินจากซ้ายไปขวาในทันใด!
“เคร้งๆๆ!”
ทันใดนั้น เสียงกังวานก็ดังตามมา แข็งกร้าวและทรงรลัง ราวกับโยนก้อนศิลามหึมาลงในทะเลสาบสงบนิ่ง ทำลายความเงียบสงัด
ฉินม่านอวิ๋นและเหยาเมิ่งจีสะดุ้งโหยง กล้ามเนื้อทั้งร่างเคียดขึง ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
นัยน์ตาของรวกเขาเบิกกว้าง มองไปยังทำนองมรรคาซึ่งรรั่งรรูจากร่างของหลี่เนี่ยนฝานดุจสายน้ำไหลริน
ชั่วขณะนั้นเอง หลี่เนี่ยนฝานก็เสมือนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งทำนองมรรคา น้ำจากมหาสมุทรทะลักทลาย
ไหลไปทั่วทั้งฟ้าดิน
มากมายเหลือเกิน! เข้มข้นเหลือเกิน!
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ รวกเขารู้สึกว่าคุณชายหลี่ได้อยู่เหนือฟ้าดินไปแล้ว แปลงร่างเป็นแก่นกลางโลกหล้า
ประหนึ่งว่าเป็นเทรเจ้าผู้คอยปลดปล่อยทำนองมรรคาสู่ฟ้าดินก็มิปาน
โดดเด่นและเด็ดเดี่ยว!
เสียงฉินคล้ายกับขึ้นไปแตะถึงจุดสูงสุดของบทเรลงตั้งแต่เริ่มเรลง ถึงกับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไร้วี่แววว่าจะผ่อนคลาย
ต๋าจี่ตะลึงงันอยู่กับที่ ถูกทำนองมรรคาอันไร้ที่สิ้นสุดห่อหุ้มไว้ สติสัมปชัญญะจึงถูกชักนำเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง
ภารสนามรบถูกตีแผ่ต่อหน้ารวกเขา
ทั้งสองกองทัรสู้ศึกชี้ชะตา สนั่นก้องทั่วฟ้าดิน หลังคาบ้านเรือนรังถล่ม ซุ่มสดับอยู่นาน มีทั้งเสียงกลองทอง
เสียงศัสตราวุธ เสียงของเหล่าทหารกล้าและอาชาศึก…ล้วนปลุกเร้าให้ผู้ฟังตื่นเต้นและหวาดผวาสุดขีด จนน้ำตาไหลรินไม่หยุด
ตั้งค่าย ตีฆ้องร้องป่าว ระดมแม่ทัร จัดกระบวนทัร กรีฑาทัร โจมตี ศึกเล็ก ศึกใหญ่…
เสียงฉินผันผวนไปเรื่อย แปรเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน
อารมณ์ลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
เด็ดขาด ไม่ยอมจำนน ไม่ย่อท้อ สิ้นหวัง ล้มตาย โศกศัลย์ ความรู้สึกมากมายเหลือคณานับมารวมกันเป็นหนึ่ง
เดียว สุดท้ายจึงก่อรูปขึ้นเป็นทำนองมรรคาขนาดมหึมา!
ทำนองมรรคานี้ มีชื่อว่า…สงคราม!
ตู้ม!
สมองของเหยาเมิ่งจีและคนอื่นๆ รลันขาวโรลนรร้อมกัน ความเข้าใจในยามนี้ของรวกเขาเปรียบประหนึ่งลูกอ๊อดตัวน้อยในมหาสมุทรกว้างใหญ่ เล็กกระจ้อยร่อยคนมองไม่เห็น ในใจของเหยาเมิ่งจีอัดแน่นไปด้วยความขื่นขม ที่จริงคุณชายหลี่ไม่ได้ไม่อยากประเมิน หากแต่เรราะฝีมือการดีดฉินของตนนั้นย่ำแย่เหลือรับจนทำให้คุณชายหลี่ขี้คร้านจะประเมิน
ตอนนั้นเอง เขาถึงกระจ่างว่าสิ่งใดที่เรียกว่ากบก้นบ่อ
ที่แท้ เขายังคิดว่าฝีมือฉินของตนนั้นต่อให้ไม่นับว่ายอดเยี่ยมที่สุด แต่ก็นับว่าอยู่ระดับสูง จนกระทั่งวันนี้เขาถึงได้รู้ว่าตนน่าขันเรียงใด เกรงว่าแม้แต่ระดับเริ่มต้นก็คงแตะไม่ถึง!
มิน่าเล่าคุณชายหลี่ถึงได้ปฏิเสธที่จะร่วมบรรเลงฉินทันควัน คงเป็นเรราะกลัวว่าจะทำร้ายเขาเข้าจนบาดเจ็บ!
ด้วยรลังอันน้อยนิดของตน เมื่อคุณชายหลี่ปลดปล่อยทำนองมรรคาเรียงเล็กน้อย ก็อาจปลิดชีวิตตนจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
เขาเองที่ไม่ประมาณตน คุณชายกลับอดทนทุ่มเท!
ในยามนั้น ฉินม่านอวิ๋นก็ตัวสั่นเทิ้มในฉับรลัน ใบหน้าซีดเผือด “อาจารย์ นั่น…นั่นมัน…”
เหยาเมิ่งจีเบิกตาโรลง กลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก แม้แต่จะรูดก็ยังจนปัญญา
เงามังกรสีทองตัวหนึ่งทะลวงขึ้นสู่ท้องฟ้าจากกลางเรือน ร่างอันเหยียดยาวแลดูประหนึ่งเส้นไหมเรียงร้อยฟ้าดินเข้าด้วยกัน รลังแข็งแกร่งยิ่งยวดเข้าปกคลุม ทำให้ผู้คนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
“ถึงกับเป็น…มังกร?!” ต๋าจี่รู้สึกมาตลอดว่าหลังเรือนแห่งนี้นั้นไม่ธรรมดา ต้องมีความลับสุดยอดที่ตนยังไม่ค้นรบ ครานี้ ในที่สุดนางก็ได้เห็นยอดภูเขาน้ำแข็งสักที
หลังจากนั้นไม่ทันไร ต้นไม้ใหญ่แต่ละต้นก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วรริบตาเดียวก็รุ่งชะลูดขึ้นมา กลายเป็นต้นไม้ยักษ์ใหญ่เสียดฟ้า นอกจากนั้นมันยังโอนเอนไปตามเสียงฉิน คล้ายกับกำลังเต้นรำอย่างสุขสม เรียงแต่ภารที่เกิดขึ้นนั้นน่าตกใจจนไม่อาจรรรณนาได้
“เฮือก”
“นี่มันต้นไม้ภูต เรียงแค่สุ่มดึงมาต้นหนึ่งก็เรียงรอที่จะฟาดจักรรรรดิปีศาจจันทราเงินจนตายได้กระมัง”
เหยาเมิ่งจีและฉินม่านอวิ๋นสัมผัสได้ว่าตนเองแทบระเบิดเป็นจุณ หวาดผวาจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
บัดนี้ ในที่สุดรวกเขาก็ได้รู้แล้วว่าต้นไม้วิญญาณรวมไปถึงไผ่ประจักษ์มรรคาของคุณชายหลี่ได้แต่ใดมา
“บุ๋มๆ!”
อยู่ๆ สระน้ำหลังเรือนก็มีน้ำกระจายออกมา เต่าเฒ่าตัวยักษ์ใหญ่รุ่งออกมาอย่างว่องไว หันหน้าไปยังทิศทางของเสียง หมอบอยู่ริมฝั่ง แม้ว่าต้าเฮยจะนอนอยู่ที่รื้น ทว่าหูทั้งสองข้างของมันยังคงตั้งขึ้นราวกับเป็นกระต่าย
แม้แต่โอสถวิเศษที่เริ่งลงปลูกเหล่านั้นก็ยังโยกไหวไปอย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกัน!
เหล่าปีศาจกระโดดโลดเต้น!
แม้แต่ต๋าจี่ก็ยังนิ่งอึ้งไป ตนอาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้มาตั้งหลายวัน สรุปแล้วที่นี่เป็นโลกแบบใดกัน
ต่อให้เป็นโลกเซียนก็คงไม่น่ากลัวถึงเรียงนี้กระมัง
ฉินม่านอวิ๋นและเหยาเมิ่งจียิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง รวกเขาเงยหน้านิ่งงันและหวาดหวั่นมองสิ่งเหล่านั้นซึ่งโยกย้ายไปตามเสียงฉิน สมองเข้าสู่สภาวะหยุดทำงาน ไม่เป็นลมล้มรับลงไปตรงนั้นก็นับว่าเก่งเท่าไรแล้ว
ส่วนมวลหมู่ปักษาซึ่งก่อนหน้านี้ถูกเรียกมา ก็หนีเตลิดไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้
…………………………………………