ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 35 ปราณปีศาจเบื้องหน้า
เครื่องดื่มอันแสนงดงาม
นี่คือน้ำแตงโมหรือ
น้ำแตงโมเป็นเช่นนี้ได้ด้วย
ต๋าจี่ทนไม่ไหว อยากยกขึ้นดื่มเต็มที
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียน น้ำผลไม้เป็นของหายากอย่างหนึ่ง นอกจากน้ำและสุราแล้ว โลกบำเพ็ญเซียนก็ไม่มีเครื่องดื่มอื่นใดอีก
อีกทั้งแก้วใบนี้ยังถึงกับมีหลอดปักไว้ด้วย ของชนิดนี้ต๋าจี่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ทันทีที่เห็นก็เดาได้ว่ามันใช้อย่างไร
อัศจรรย์ยิ่งนัก
ยามที่อยู่กับคุณชายหลี่ ไม่ว่าตรงไหนก็น่าทึ่งไปเสียหมด
หลังจากพินิจพิจารณาอยู่รอบหนึ่ง นางจึงยกแก้วขึ้นมา ใช้ปากงับหลอดค่อยๆ ดูดน้ำเบาๆ
สวบ
น้ำแตงโมเย็นเฉียบไหลตามช่องของหลอดเข้าปากในชั่วพริบตา ปะทะเข้ากับลิ้นเรียวของนาง
“อุ๊ย!”
ชื่นใจเหลือเกิน
น้ำแตงโมนำพารสชาติของแตงโมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทันทีที่เข้าปาก กลิ่นหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของผลแตงโมก็แตกพล่านในปาก ต่อมรับรสในโพรงปากล้วนถูกปลุกเร้าอย่างฉับพลัน
น้ำผลไม้โอบล้อมเรียวลิ้น สัมผัสเย็นเฉียบทำให้ต๋าจี่สั่นสะท้านเบาๆ สติสัมปชัญญะซึ่งเดิมทีอ่อนล้าจากการเดินหมากก็พลันกลับมากระปรี้กระเปร่า
เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นแตงโม แต่เมื่อดื่มน้ำแตงโมเข้าไปแล้วก็รู้สึกสดชื่น ไม่จำเป็นต้องเคี้ยว ดื่มได้เต็มปากเต็มคำในทันที ความรู้สึกเพลิดเพลินเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะจินตนาการได้จากการกินแตงโม
อึก
น้ำแตงโมไหลลงไปในลำคอ
หล่อเลี้ยงเส้นเลือดทุกเส้นในลำคอ ประดุจสายฝนพรำยามกระหายน้ำ จนนางแทบส่งเสียงออกมา
น้ำแตงโมหอมหวานแผ่ซ่านไปทุกซอกทุกมุมในส่วนที่ไหลผ่าน จากนั้นลงไปยังกระเพาะ ราวกับชำระล้างจิตวิญญาณของนางสักคำรบ
ต๋าจี่หลับตาลงอย่างอดไม่ได้ ซึมซับความรู้สึกนี้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ในตอนนั้นเอง นางก็รู้สึกว่าทุกอณูทั้งร่างกายก็สั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น
รสชาติดีเหลือเกิน!
คล่องคอเหลือเกิน!
ตนมีชีวิตมานับพันปี เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ว่าชีวิตมนุษย์นั้นสวยงามเช่นนี้
และนอกจากรสชาติแล้ว ในน้ำแตงโมก็ยังมีพลังปราณที่ไหลรินไปที่กระดูกและรยางค์ กระตุ้นทั่วทั้งสรรพางค์กายของนาง
พลังปราณในร่างกายซึ่งเดิมทีได้แห้งเหือดไปก็เริ่มฟื้นตัวขึ้น
“นี่ต้องไม่ใช่แตงโมธรรมดา หากแต่เป็นผลไม้เซียนจากสวรรค์!”
ต๋าจี่ลอบเหลือบมองหลี่เนี่ยนฝาน ดวงตาคู่สวยเปี่ยมไปด้วยความประทับใจ ‘คุณชายหลี่ดีกับข้าจริงๆ แม้แต่ของแบบนี้ยังยินดีนำออกมาแบ่งปันให้ข้า’
น้ำแตงโมล้ำค่าเช่นนี้ เดิมทีนางคิดจะค่อยๆ ละเลียด ทว่าน่าเสียดายที่น้ำแตงโมนั้นอร่อยล้ำเกินไป นางจึงหยุดไม่ได้
“อึกๆๆๆ”
ปากของนางดูดน้ำแตงโมลงลำคอเข้าไปในร่างกายของนาง
ความรู้สึกนี้ช่างดีจริงๆ พลอยทำให้นางหยุดไม่ได้
กว่านางจะได้สติกลับมา น้ำแตงโมก็เหลือเพียงก้นแก้วแล้ว
ต๋าจี่หน้าแดงระเรื่อ พูดอย่างขวยเขินว่า “ขออภัย น้ำแตงโมนี้อร่อยเหลือเกิน ข้าห้ามตนเองไม่อยู่…”
หลี่เนี่ยนฝานได้ยินก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
วันต่อมา ท้องฟ้าส่องแสงรำไร
หลี่เนี่ยนฝานก็ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อไปต้มยาให้ต๋าจี่
ยามที่เขาเปิดประตูใหญ่เรือนสี่ประสานออก กลับตะลึงค้างไปเล็กน้อย พลางมองไปยังบัณฑิตซึ่งนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่หน้าประตูด้วยความประหลาดใจ
วันนี้เขาไม่เหมือนครั้งก่อน แม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวมใส่ เท้าเปรอะเปื้อนเศษดินเศษหญ้า ดูแล้วคงจะเดินเท้าเปล่ามา
เมิ่งจวินเหลียงจิตใจล่องลอยไป ดวงตาทั้งคู่เหม่อลอยไร้จิตวิญญาณ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อเห็นหลี่เนี่ยนฝาน เขาถึงได้สติกลับมา พร้อมพูดอย่างนอบน้อม “คำนับคุณชายหลี่”
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ” หลี่เนี่ยนฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
หมอนี่สติสตังไม่ค่อยจะดี เช้าตรู่แบบนี้มาโผล่ที่หน้าบ้านตนเอง ทำเอาหลี่เนี่ยนฝานตกใจอยู่เหมือนกัน
“ข้าถูกโคลงคู่ที่หน้าประตูของท่านดึงดูด ไม่นึกเลยว่าจะรบกวนคุณชายหลี่ ล่วงเกินแล้ว” เมิ่งจวินเหลียงค้อมคำนับหลี่เนี่ยนฝานด้วยความเคารพนบนอบ
ก็ได้ ตนไม่เห็นจะต้องโกรธเจ้าเด็กเนิร์ดนี่เลย
หลี่เนี่ยนฝานจนปัญญา “เอาเถอะ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เมิ่งจวินเหลียงพูด “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะฟังคำสั่งสอนของคุณชายหลี่ สังเกตความเป็นไปของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นมดแมลงบนพื้น หรือว่าชีวิตมนุษย์ รวมไปถึงการผันแปรของจักรวาลก็ล้วนแต่มีคุณค่า ค้นพบการเปลี่ยนแปลงอันมหัศจรรย์ระหว่างฟ้าดิน เพียงแต่ยังมีบางคำถามที่ขบคิดไม่ออก ฉะนั้นจึงตั้งใจมาขอคำแนะนำจากคุณชายหลี่”
หมอนี่ถึงกับท่าทางจริงจัง คงไม่กลายเป็นนักปรัชญาหรอกใช่ไหม
“ปัญหาอะไร” หลี่เนี่ยนฝานอยากรีบส่งเขากลับ
เมิ่งจวินเหลียงมองดูโคลงคู่ เคร่งขรึมประหนึ่งผู้จาริกแสวงบุญ “คุณชายหลี่ได้บอกคำตอบแก่ข้าแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าเข้าใจอีกแล้ว?” หลี่เนี่ยนฝานกลอกตา วิธีคิดของหมอนี่ไม่เหมือนกับคนปกติ
เมิ่งจวินเหลียงเอ่ยถ่อมตัว “บางครั้งข้าก็โชคดี ได้เข้าใจเพียงเศษเสี้ยวของคุณชายหลี่”
“แล้วแต่เจ้าเถอะ” หลี่เนี่ยนฝานปิดประตู ดวงตามองไม่เห็น ใจย่อมไม่เป็นทุกข์
เจ้าเด็กเนิร์ดนั่นใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ตนจะต้องอยู่ให้ห่างเข้าไว้
เมิ่งจวินเหลียงยังคงนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ต่อไป สายตาเหม่อลอยจับจ้องโคลงคู่นั่น ร่างกายแลดูลอยล่องดุจปุยเมฆ
หนึ่งเดือนมานี้ เขาพบเห็นการเกิดแก่เจ็บตายมามากนัก ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือมนุษย์ เขาล้วนสังเกตอย่างละเอียดลออ สัมผัสอย่างลึกซึ้ง ทว่าคำถามก็เพิ่มขึ้นมาเช่นกัน ถึงขนาดที่เริ่มแคลงใจในทฤษฎีของตนเอง
ปุถุชนจะเป็นอมตะได้จริงหรือ
ที่มาในคราวนี้ เดิมทีสิ่งที่เขาอยากถามก็ยังคงเป็นเรื่องวิถีอายุวัฒนะ
แต่ว่า ยามที่เขาเห็นโคลงคู่ที่หน้าประตูเรือนของหลี่เนี่ยนฝาน ทั้งร่างหยุดชะงักราวกับถูกฟ้าผ่า
‘ข้ามาจากโลกปุถุชน มาที่นี่เพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ’
ประโยคนี้ไม่ได้หมายถึงข้าหรอกหรือ
ปรมาจารย์ถึงอย่างไรก็เป็นปรมาจารย์ คาดการณ์ได้แต่แรกแล้วว่าข้าจะถามเช่นนี้ ฉะนั้นจึงนำคำตอบมาแขวนไว้ที่หน้าประตูล่วงหน้า รอคอยการมาถึงของตน
คำง่ายๆ เพียงสิบกว่าคำ ในนั้นกลับแฝงความหมายของความเป็นอมตะ ประดุจการบรรลุธรรม ทำให้เมิ่งจวินเหลียงตื่นรู้
เขานั่งไปเรื่อยๆ ตั้งแต่รุ่งสางไปจนเที่ยงวัน
ดวงตะวันร้อนแรงขึ้นสูงกลางท้องนภา เขายังคงไม่ขยับ สายตาจดจ่ออยู่ที่โคลงคู่ บางครั้งเขาก็ตื่นรู้ บางครั้งเขาก็ง่วงซึม
เสื้อคลุมยาวห้อยลงมาทั้งสองข้าง บางครั้งบางคราวก็มีสายลมแผ่วเบา พาให้เส้นผมของเขาปลิวไหวไปด้วย
ช่วงบ่าย จักรพรรดิลั่วพาลั่วซืออวี่ขี่กระบี่มา อารามรีบร้อนมุ่งหน้าขึ้นเขาไป
พวกเขาอดนอนทั้งคืน ในที่สุดก็รวบรวมโอสถวิเศษของราชวงศ์เซียนมาได้อย่างเร็วที่สุด และรีบนำมามอบให้ปรมาจารย์
ในตอนนั้นเอง สีหน้าของจักรพรรดิลั่วเปลี่ยนไปฉับพลัน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “แย่แล้ว ด้านหน้ามีปราณปีศาจ!”
จักรพรรดิลั่วสีหน้าหนักอึ้ง พูดอย่างกระวนกระวายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แย่แล้ว ถ้าปล่อยให้พวกมันรบกวนปรมาจารย์ ต่อให้ตายร้อยครั้งข้าก็ไม่อาจลบล้างความผิดได้! รีบไปขวางพวกมันเร็ว!”
จักรพรรดิลั่วและลั่วซืออวี่ต่างเร่งฝีเท้า มุ่งหน้าขึ้นเขาไป
ราชาปีศาจนั้นเทียบเท่ากับมนุษย์ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขั้นหยวนอิง
ส่วนจักรพรรดิลั่วมาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ว่า หากพวกมันส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรของปรมาจารย์ ปรมาจารย์โมโหโกรธพาลหนีไป จักรพรรดิลั่วต้องกระอักเลือดเป็นแน่
ตนเองหละหลวมเกินไป ไม่ได้ให้คนมาอารักขาที่นี่ไว้ ปรมาจารย์ย่อมต้องกล่าวโทษเขา
จักรพรรดิลั่วรู้สึกหดหู่ใจเหลือคณา คิดกระทั่งว่าจะสับร่างของราชาปีศาจสองตนนั่นให้เละ
ขณะเดียวกัน ปีศาจสองตนก็มาถึงสันเขาแล้ว ตนหนึ่งมีศีรษะเป็นวัว อีกตนหนึ่งเป็นศีรษะสุนัขป่า สายตาทอดมองไปยังเรือนสี่ประสานซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
……………………………………………