ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 33 ใช้ดีกว่าไฟแช็กเสียอีก
“คุณชายหลี่ น้ำใจเล็กน้อย ได้โปรดรับไว้เถิด” จักรพรรดิกล่าวด้วยความจริงใจ
หลี่เนี่ยนฝานจึงรับกล่องมา ค่อยๆ เปิดออก
แสงไฟสายหนึ่งพุ่งจากกล่องขึ้นฟ้า ตามมาด้วยเสียงคำรามลั่นอย่างอหังการเยี่ยงมังกร
เปลวเพลิงคงค้างกลางอากาศเป็นรูปร่างมังกรอัคคี ความน่าเกรงขามหยิ่งผยองพลุ่งพล่านออกมา
แต่ว่า มังกรอัคคีตัวนี้โอ้อวดได้ไม่นาน ร่างก็สั่นสะท้านทันใด คล้ายกับสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวสุดขีด จึงมุดกลับเข้าไปในกล่อง กลายเป็นไข่มุกกลมดิกสีแดงเพลิงเม็ดหนึ่ง
ภาพฉากนี้ทำให้จักรพรรดิลั่วถึงกับตะลึงงัน
ไข่มุกเพลิงมังกรว่าง่ายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ผู้ที่คุ้นเคยกับไข่มุกเพลิงมังกรล้วนรู้ดีว่าไข่มุกเพลิงมังกรเป็นแก่นวิญญาณของมังกรอัคคีสมัยบรรพกาล ในนั้นแฝงความเกรี้ยวกราดและเย่อหยิ่งของมังกรอัคคี แม้ว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์เซียนเฉียนหลง แต่กระทั่งจักรพรรดิก็ยังต้องปฏิบัติต่อมันอย่างนอบน้อม
ยามปกติ เมื่อไข่มุกเพลิงมังกรถูกปลดปล่อยออกมา ย่อมต้องวางก้ามสักคำรบหนึ่ง ครั้งนี้กลับตื่นกลัวเสียได้
คงเป็นเพราะหวาดกลัวปรมาจารย์กระมัง
จักรพรรดิร่ำไห้อยู่ในใจ ตนต้องยอมสยบต่อหน้าไข่มุกเพลิงมังกรมามาก บัดนี้ได้เห็นวันที่มันยอมเชื่อฟังแล้ว
ด้านหลินชิงอวิ๋นและจ้าวซานเหอก็มองจักรพรรดิลั่วอย่างตะลึงลานยิ่งกว่าใคร
คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิลั่วจะยอมมอบไข่มุกเพลิงมังกรให้เช่นนี้ อาจหาญเด็ดเดี่ยวไม่ใช่ย่อยจริงๆ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าเปลวเพลิงของไข่มุกเพลิงมังกรนั้นสามารถช่วยควบแน่นไฟแห่งจินตัน ก่อกำเนิดผู้ฝึกตนขั้นจินตันจำนวนมาก
ความสามารถจำพวกนี้ทำให้ขุมกำลังใดๆ ก็ตามตาลุกวาว ไม่เช่นนั้นหลินชิงอวิ๋นคงไม่ทำทุกวิถีทางเพื่อยืมไข่มุกเพลิงมังกรไปหรอก
สายตาของไป๋อู๋เฉินฉายแววว่าเรื่องนี้มิได้อยู่เหนือความคาดหมาย
เขาเข้าใจความคิดของจักรพรรดิลั่วเป็นอย่างดี เพราะเขาก็ได้มอบหยกเซียนมลทินกระบี่ของสำนักเซียนวั่นเจี้ยนให้กับหลี่เนี่ยนฝานเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นไข่มุกเพลิงมังกรหรือหยกเซียนมลทินกระบี่ ก็ล้วนแต่ไม่อาจเทียบเทียมกับขนเส้นหนึ่งของหลี่เนี่ยนฝาน
ตราบได้ที่สามารถเอาใจผู้อาวุโสหลี่ได้ เมื่อถึงเวลาจะได้ขอความช่วยเหลือ น่าจะมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเสียอีก!
“เอ๊ะ? ไข่มุกเม็ดนี้พ่นไฟได้ด้วย” หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง มองจักรพรรดิด้วยรอยยิ้ม “ของล้ำข้าเช่นนี้ข้าไม่ต้องการหรอก”
ปรมาจารย์กล่าวเป็นนัยอีกแล้ว
“ไม่ได้ล้ำค่าเลยสักนิด” จักรพรรดิลั่วเอ่ยปาก “นี่คือไข่มุกเพลิงมังกร ทำได้เพียงให้กำเนิดไฟ”
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า แล้วบอกกับไข่มุกเพลิงมังกรว่า “ไหนลองพ่นไฟให้ข้าดูหน่อย”
ฟู่!
เปลวไฟสายหนึ่งพุ่งขึ้นจากไข่มุกเพลิงมังกร แสงไฟนวล ช่างว่านอนสอนง่ายเหลือเกิน
“อื้ม ใช้ดีจริงๆ ต่อไปข้าจุดไฟก็สะดวกขึ้นเยอะ” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ ใช้ดีกว่าไฟแช็กซะอีก “เช่นนั้นข้ารับไว้ก็แล้วกัน ขอบคุณท่านมาก”
ทุกคนได้แต่ยิ้มแหยไปตามกัน
กระบี่จุ้ยหมัวใช้ตัดฟืน หยกเซียนมลทินกระบี่ใช้ส่องสว่าง ไข่มุกเพลิงมังกรใช้จุดไฟ
หากคนอื่นล่วงรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าจะต้องบริภาษยกใหญ่แน่
กระนั้นแล้ว เมื่อนึกถึงกลวิธีต่างๆ ของปรมาจารย์ พวกเขาก็พลันโล่งอก ของเหล่านี้เป็นสิ่งเลอค่าสำหรับคนนอก แต่ในสายตาของปรมาจารย์ไม่นับว่าสำคัญอะไร
มีตบะสูงล้ำสะเทือนพิภพแท้ๆ แต่ในใจกลับปรารถนาที่จะเป็นมนุษย์ สมบัติของมวลมนุษย์ก็เป็นเพียงของธรรมดาสำหรับเขา ความสามารถในระดับนี้ ผู้ฝึกตนอย่างพวกข้าคงทำได้เพียงเฝ้ามอง
“คุณชายหลี่ ประเดี๋ยวพวกข้าจะกลับไปเตรียมโอสถวิเศษ ขอตัวก่อน” ทุกคนกล่าวอำลา
หลี่เนี่ยนฝานคำนับตอบ “ลำบากพวกท่านแล้ว”
……
เมื่อเดินออกมาจากประตู จักรพรรดิลั่วและคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้วแน่นทันใด
เงยหน้ามองฟ้า
ลำแสงสายแล้วสายเล่าลาดตระเวนอยู่โดยรอบด้วยความเร็วสูง มุ่งหนาไปยังเรือนสี่ประสาน
ไม่ต้องพูดให้มากความ ทุกคนมีความคิดเหมือนกันอย่างน่าประหลาด บินโฉบมาพร้อมกันกลางอากาศ
ไป๋อู๋เฉินยืนขวางหน้านักพรตรูปร่างเตี้ยและเจ้าเนื้อคนหนึ่ง ยิ้มเอ่ย “นักพรตหลิงก็มาแสวงโชคที่นี่เหมือนกันหรือ”
นักพรตหลิงแรกเริ่มเดิมทีก็มีสีหน้านิ่งสงบพอสมควร ทว่าหลังจากนั้นก็เผยสีหน้าตื่นตกใจ รีบค้อมกายพร้อมเอ่ยว่า “คำนับผู้อาวุโสไป๋”
ในใจของเขาไม่สงบนิ่งเอาเสียเลย ไป๋อู๋เฉินถึงกับสำเร็จถึงขั้นชูเชี่ยวแล้ว
ร้อยปีก่อน เขายังอยู่ขั้นหยวนอิงกับตนอยู่เลยนี่
ผู้คนโดยรอบต่างก็สังเกตเห็นไป๋อู๋เฉินแล้วเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวต่างก็กล่าวทักทายอย่างเคารพนบนอบ
ไป๋อู๋เฉินตอบรับอย่างสุขุม คำเรียกว่าผู้อาวุโสนี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจเป็นที่สุด ตนยังพอนับว่าเป็นหัวหน้าของโลกบำเพ็ญเซียนคนหนึ่งได้
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่คุณชายหลี่มอบให้ตน ตนก็ควรช่วยเขาแก้ปัญหาเช่นกัน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “คิดดูแล้วพวกเจ้าก็คงมาหาปีศาจแปลงกายประมัง ข้าตามหาแล้ว แถวนี้ไม่มี พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลา”
“ขอบคุณผู้อาวุโส”
ผู้คนไม่ได้นึกคลางแคลงใจ ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไป
อีกด้านหนึ่ง จ้าวซานเหอและจักรพรรดิก็ตามน้ำไปเช่นกัน และส่งผู้บำเพ็ญเซียนกลับไปได้อีกมาก
จากนั้น พวกเขาก็รีบร้อนกลับฐานที่มั่นของตน ในใจตั้งมั่นว่าจะต้องนำโอสถวิเศษมามอบต่อหน้าคุณชายหลี่ให้ได้
นี่เป็นโอกาสที่จะได้ความสามารถต่อหน้าปรมาจารย์ ห้ามทำพลาดเป็นอันขาด
หลินชิงอวิ๋นรีบออกเดินทาง กัดฟันกรอดในใจลอบก่นด่า
พลังบำเพ็ญเพียรของนางต่ำที่สุด เคลื่อนที่ช้าที่สุด รั้งท้ายอยู่เพียงลำพัง
ในเมื่อทุกคนล้วนต้องการแสดงความสามารถต่อหน้าปรมาจารย์ เช่นนั้นนำของไปมอบให้เป็นคนแรกย่อมดีที่สุด
ฉะนั้นระหว่างพวกเขาจึงเป็นความสัมพันธ์แบบคู่แข่ง
ในใจของนางแน่วแน่ ตลอดทางใช้ปราณโอสถเพื่อเพิ่มความเร็วให้ตนเองไม่หยุดหย่อน
สุดท้ายก็มาถึงที่พำนักในเมืองลั่วเซียนของหอเซียนหลิงอวิ๋น “ไม่ทราบว่าเทพธิดาเรียกพวกข้ามามีเรื่องอะไรหรือ”
หลินชิงอวิ๋นหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งโยนให้พ่อบ้าน
“ผู้เฒ่ากวน ท่านรีบนำป้ายหยกของข้าไปยังหอเซียนหลิงอวิ๋น นำโอสถวิเศษทั้งหมดในเรือนในมา!”
“อะไรนะ” ผู้เฒ่ากวนอึ้งงัน “เทพธิดา โอสถวิเศษที่หอเซียนมีมากถึงเพียงนั้น หากจะส่งมาเกรงว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน”
หลินชิงอวิ๋นขมวดคิ้วมุ่น
เป็นตนที่ไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง
ถ้าหากเป็นโอสถวิเศษธรรมดาสามัญ คงไม่อยู่ในสายตาของปรมาจารย์ ต้องเป็นของล้ำค่าเท่านั้นถึงจะเข้าท่า
ปรมาจารย์จะใช้รักษาบาดแผลจากอัสนีบาตสวรรค์
หลินชิงอวิ๋นพูดต่อ “โอสถวิเศษธรรมดาๆ ไม่ต้อง นำโอสถวิเศษชั้นดีและสมุนไพรเซียนมาให้หมด!”
ถึงแม้ผู้เฒ่ากวนจะมีความรู้มีประสบการณ์ ก็ยังตกใจจนหน้าซีดเผือด วิงเวียนแทบลมจับ
เขาพูดเสียงเบาอย่างกระวนกระวาย “เทพธิดา เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก รอให้ประมุขออกจากการปิดด่านกักตนก่อน ปรึกษาแล้วค่อยตัดสินใจไม่ดีกว่าหรือ”
โอสถวิเศษชั้นดีและสมุนไพรเซียนเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียน อีกทั้งยังเป็นมรดกตกทอดของหอเซียนหลิงอวิ๋น จะถึงกับนำออกมาทั้งหมดเลยหรือ
หากเขาไม่ได้ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาก็คงจะสงสัยว่าเทพธิดาคนนี้เป็นตัวปลอม
“เรื่องเร่งด่วน อย่าเพิ่งถาม รอประมุขออกมาแล้วข้าจะอธิบายกับเขาเอง! ไปเร็ว!” หลินชิงอวิ๋นเอ่ยเร่งเร้า
ผู้เฒ่ากวนจนปัญญา ทำได้เพียงแปลงกายเป็นลำแสงสายหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังหอเซียนหลิงอวิ๋น
ขณะเดียวกัน จักรพรรดิลั่วก็พาลั่วซืออวี่กลับมายังราชวงศ์เซียนเฉียนหลง
พวกเขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงรี่ไปยังท้องพระคลัง รวบโอสถวิเศษทุกชนิดห่อออกไป
ไป๋อู๋เฉินและจ้าวซานเหอก็ทำเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ โอสถวิเศษที่มีไม่อาจเปรียบได้กับราชวงศ์เซียนเฉียนหลงและหอเซียนหลิงอวิ๋น จึงวุ่นวายใจจนหัวหมุน
………………………………………..