ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 30 สัมผัสกฎแห่งฟ้าดิน
ท้องฟ้าเหนือสำนักเซียนวั่นเจี้ยน
ชายชราคนหนึ่งเหยียบย่างขึ้นกระบี่วิเศษชีซิง(เจ็ดดารา) ชายเสื้อโบกสะบัด ขี่ทะยานออกไป
ใบหน้าของเขาแขวนรอยยิ้ม สำราญใจอย่างบอกไม่ถูก
“ไป๋อู๋เฉิน ข้าออกมาจากการกักตนแล้ว”
จ้าวซานเหอหัวเราะลั่น อายปราณของขั้นชูเชี่ยวแผ่ซ่าน เบิกบานเป็นที่สุด
“ผู้เฒ่าจ้าว ท่านทะลวงขั้นชูเชี่ยวเร็วเพียงนี้เชียว?” ปราณกระบี่ฟาดผ่านฉับพลัน นำพาไป๋อู๋เฉินไปอยู่เบื้องหน้าของจ้าวซานเหอ
อายุของผู้บำเพ็ญเซียนนั้นยืนยาว การปิดด่านกักตนอย่างน้อยก็สิบปี อย่างมากก็ร้อยปี หากเป็นการปิดด่านกักตนเพื่อทะลวงขั้น ย่อมต้องใช้เวลายาวนานกว่านั้น
จ้าวซานเหอใช้เวลาปิดด่านเพียงหนึ่งเดือนก็ทะลวงขั้นสำเร็จแล้ว
จ้าวซานเหอลูบเครา กล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าสู้เจ้าไม่ได้ แค่คืนเดียวเจ้าก็สำเร็จแล้ว”
“นี่เป็นเพราะได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์แท้ๆ ” ไป๋อู๋เฉินอุทานออกมา
จ้าวซานเหอพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ใช่แล้ว ระดับของปรมาจารย์ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะจินตนาการได้จริงๆ แนะนำเพียงนิดเดียว ก็ทำให้พวกเราทะลวงจากขั้นหยวนอิงถึงขั้นชูเชี่ยวได้ เหนือกว่าเคล็ดวิธีของเซียนเสียอีก”
สีหน้าของไป๋อู๋เฉินพลันหนักอึ้งขึ้นมา เอ่ยเสียงทุ้มว่า “อัสนีบาตวันนี้ท่านเห็นแล้วกระมัง”
“ข้ามาก็เพราะเรื่องนี้ละ!” จ้าวซานเหอหุบยิ้มทันใด “หากข้าคาดเดาไม่ผิด ตำแหน่งของอัสนีบาตเกิดขึ้นไม่ไกลจากปรมาจารย์นัก”
ไป๋อู๋เฉินพยักหน้า “ไม่ผิด จนถึงตอนนี้ มีขุมกำลังไม่น้อยมุ่งหน้าไป ราชาปีศาจและผู้ฝึกเซียนนับไม่ถ้วนลอบ ไปที่นั่น”
“ข้ากลับไม่สนใจปีศาจกลายร่าง สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือปรมาจารย์ถูกรบกวน” จ้าวซานเหอขมวดคิ้วมุ่น
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” ไป๋อู๋เฉินมองจ้าวซานเหอ พร้อมเสนอแนะ “ไม่สู้พวกเราไปด้วยกันดีกว่าหรือ หากมีผู้ใดกล้าล่วงเกินปรมาจารย์…”
สายตาของไป๋อู๋เฉินฉายแววคมกริบ
จ้าวซานเหอกล่าวว่า “ข้าหมายความว่าอย่างนั้นละ! ปรมาจารย์มีบุญคุณกับข้า ครานี้ข้าออกจากการกักตนมาก็จะต้องไปขอบคุณสักครา!”
ทั้งสองขี่กระบี่ไปพร้อมกัน ชั่วพริบตาเดียวก็หายลับไปที่เส้นขอบฟ้า
หลี่เนี่ยนฝานแบกหญิงสาวกลับมาถึงเรือนสี่ประสาน
“ถึงบ้านแล้ว” หลี่เนี่ยนฝานพูดด้วยรอยยิ้ม
เขาวางหญิงสาวลงบนเตียงเบาๆ แล้วรีบร้อนจับชีพจรของนาง
หว่างคิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ แม้เขาจะมองออกแต่แรกแล้วว่าอาการบาดเจ็บของหญิงสาวนั้นหนักหนาสาหัส แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้
ดูจากภายนอกแล้วคล้ายกับจะไม่มีอะไร แต่พลังชีวิตได้ถูกตัดขาด เรื่องนี้หากเกิดในคนทั่วไปก็คงตายไปนานแล้ว
เคราะห์ดีที่แม่นางคนนี้ยังมีโชคช่วยให้รอดมาได้ ทำให้ตนมีเวลาช่วยชีวิตนาง
เขามองใบหน้าไร้สีเลือดฝาด ในใจบังเกิดโทสะที่บอกไม่ถูก เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พลังแข็งแกร่งแล้วจะมารังแกคนอื่นได้ตามใจหรือไงฮะ สารเลว!”
เขานึกถึงยามที่ตนเองตกใจกลัวจนเข้าไปหลบในถ้ำตัวสั่นเทิ้ม สีหน้ายิ่งย่ำแย่เข้าไปอีก
นี่ก็เพราะฉันสู้แกไม่ได้หรอกนะ ไม่งั้นจะไปซัดถึงที่เลย!
หญิงสาวเห็นหลี่เนี่ยนฝานเดือดดาลเพราะตนเอง ดวงตาคู่สวยก็ฉายแววตื่นเต้น เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่เป็นไร”
“เจ้าบาดเจ็บซะขนาดนี้ ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก?” หลี่เนี่ยนฝานสงสารนางเหลือแสน “จริงสิ ข้าชื่อหลี่เนี่ยนฝาน แม่นางมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรหรือ”
“ข้า ข้าชื่อ…”
หว่างคิ้วของหญิงสาวขมวดน้อยๆ ความสับสนฉายวาบในดวงตา นางเพิ่งแปลงกาย ลืมตั้งชื่อให้ตัวเองไปเสียสนิท
หัวใจพลันร้อนรน มุมปากมีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง
“ไม่ต้องรีบร้อน ต้องเป็นเพราะบาดเจ็บสาหัสจนสูญเสียความทรงจำอย่างแน่นอน ยังไม่ต้องนึกก็ได้” หลี่เนี่ยนฝานพูดพลอบประโลม
เขาแอบดีใจอยู่ลึกๆ
ในเมื่อสูญเสียความทรงจำ งั้นนางก็ต้องรั้งอยู่ที่นี่ อาศัยอยู่กับเขาก็สมเหตุสมผล
เมื่อใคร่ครวญว่าหากไม่มีชื่อย่อมไม่สะดวกนัก หลี่เนี่ยนฝานจึงเสนอว่า “ไม่สู้ข้าเรียกเจ้าว่าต๋าจี่ก่อนก็แล้วกัน”
ดวงตาของต๋าจี่เป็นประกายน้อยๆ นางดีใจกับชื่อนี้เหลือเกิน ใบหน้าพลันแดงระเรื่อ “ขอบคุณที่คุณชายมอบชื่อให้”
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มบาง “พักผ่อนเถอะ ข้าจะไปต้มยาให้เจ้า”
หลี่เนี่ยนฝานเดินออกจากห้องไปเรียกเสี่ยวไป๋ ให้เสี่ยวไป๋ไปหยิบยาที่หลังเรือน จากนั้นก็เริ่มต้มยารักษาอาการบาดเจ็บของต๋าจี่
ขณะเดียวกันนั้นเอง
ที่เชิงเขา พวกลั่วซืออวี่ หลินชิงอวิ๋น และไป๋อู๋เฉินก็พบกันโดยมิได้นัดหมาย
“หลินชิงอวิ๋น เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ลั่วซืออวี่มองหลินชิงอวิ๋นด้วยความประหลาดใจ
หลินชิงอวิ๋นยิ้มน้อยๆ ตอบอย่างลำพองใจ “แน่นอนว่าข้ามาเยี่ยมเยือนท่านปรมาจารย์”
ลั่วซืออวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ช่วงนี้ราชวงศ์เซียนเฉียนหลงสาละวนอยู่กับเรื่องของราชครูและอัครมหาเสนาบดี นางไม่ได้หาเวลาว่างมาเยี่ยมเยียนหลี่เนี่ยนฝานเลย
นึกไม่ถึงว่าหนึ่งเดือนมานี้ หลินชิงอวิ๋นถึงกับไม่ได้กลับไป ทั้งยังมาผูกมิตรกับปรมาจารย์แล้วด้วย
จักรพรรดิเองก็ตื่นอกตกใจที่เห็นไป๋อู๋เฉินและจ้าวซานเหอ
“เจ้าสำนักไป๋ เจ้าสำนักจ้าว พวกท่านทะลวงขั้นแล้วหรือ”
ไป๋อู๋เฉินและจ้าวซานเหอส่งยิ้มให้กัน “ถวายบังคมจักรพรรดิลั่ว”
เฮือก
จักรพรรดิหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อไป๋อู๋เฉินกับจ้าวซานเหอพบตน จะต้องเรียกตนว่าผู้อาวุโส นอกจากนั้นแล้วสำนักของพวกเขาอยู่ในดินแดนใต้อาณัติของตน ถึงกับทะลวงขั้นโดยไร้สุ้มไร้เสียงเช่นนี้เลยหรือ
ทะลวงขั้นชูเชี่ยวง่ายดายเช่นนี้เสียเมื่อไหร่กัน
“โชคดีที่ได้ปรมาจารย์ชี้แนะ” ไป๋อู๋เฉินเอ่ย
จักรพรรดิดวงตาเบิกกว้าง ถึงแม้เขาจะรู้แต่แรกแล้วว่าพลังของปรมาจารย์นั้นสูงส่ง แต่ยามนี้ถึงได้ค้นพบว่าตนเองประเมินพลังของปรมาจารย์ต่ำไปมากเหลือเกิน
กลุ่มคนทั้งหมดขึ้นเขาไปพร้อมกัน
เดินไปพูดคุยกันไป
เมื่อรู้ว่าปรมาจารย์เล่าเรื่องบันทึกท่องประจิมในภัตตาคาร จักรพรรดิและลั่วซืออวี่ก็ลอบทอดถอนใจพร้อมกัน
ปรมาจารย์มาสอนสั่งถึงตรงหน้า ตนเองกลับพลาดไป ไม่มีสิ่งใดในโลกมนุษย์ที่เจ็บปวดไปกว่าการพลาดโอกาสสำคัญเช่นนี้แล้ว
ถึงแม้ตนจะแก้วิกฤตในราชวงศ์เซียนเฉียนหลงได้สำเร็จ แต่เมื่อเทียบกับเรื่องนี้ ก็เหมือนกับการเก็บเมล็ดงาแต่ทิ้งผลแตงโมอย่างไม่ต้องสงสัย
นัยน์ตางดงามของลั่วซืออวี่ถลึงใส่หลินชิงอวิ๋น พูดเสียงเย็นชา “ต้องเป็นเพราะเจ้าลอบปิดบังข่าวคราวเป็นแน่”
ด้วยชื่อเสียงดังกระหึ่มของบันทึกท่องประจิมแล้ว ไม่มีทางที่นางจะไม่ได้ข่าวคราวเลยสักนิดเดียว
“ปรมาจารย์ปลีกวิเวกในร่างของปุถุชน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบโอ้อวด ข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้คนไปรบกวนเขา” หลินชิงอวิ๋นยิ้มบางพลางเอ่ย
ลั่วซืออวี่กัดฟันกรอดอย่างจนปัญญา
ตอนนี้นานนานกลับมาเป็นปกติแล้ว เรื่องบันทึกท่องประจิมของหลี่เนี่ยนฝานก็เล่าจบแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ฟังแล้ว
ไป๋อู๋เฉินกล่าวปลอบ “แม่นางลั่วไม่ต้องเศร้าใจไป ข้างกายคุณชายหลี่มีบัณฑิตคนหนึ่ง ได้จดบันทึกเรื่องบันทึกท่องประจิมไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ในหนังสือเล่มนี้มีหลักคำสอนอันยิ่งใหญ่ ข้าเองก็อยากไปยืมมาอ่านบ้าง”
“บัณฑิตที่มีคุณสมบัติที่จะติดตามคุณชายหลี่ เกรงว่าจะไม่ธรรมดาเช่นกัน” จักรพรรดิเอ่ย
ไป๋อู๋เฉินพยักหน้า กล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าเคยสังเกตบัณฑิตคนนี้ เขาเรียกตนเองว่าเป็นเด็กรับใช้ของคุณชายหลี่ ดูภายนอกเป็นเพียงปุถุชน ทว่าบางครั้งก็จ้องมองใบไม้ร่วงหล่น มองแผ่นฟ้า ทั้งยังมักจะเข้าไปปะปนอยู่ในโลกโลกีย์ ไม่ว่าจะมีเด็กทารกเกิดหรือว่าคนเฒ่าคนแก่ล้มตาย เขาก็จะรีบเข้าไปอยู่ตรงนั้นเงียบๆ”
“ข้าก็เคยถามถึงเหตุผลด้วยความสงสัย เขาบอกว่ากำลังสัมผัสกฎแห่งฟ้าดิน”