ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 27 ที่จริงแล้วข้าชอบกินผักที่สุด
ไป๋อู๋เฉินรู้สึกว่าปากแห้งผาก สมองชาหนึบ
ตนค้นพบเรื่องที่ยิ่งใหญ่แล้ว!
เขาคีบผักกาดขาวหนึ่งใบขึ้นมา ต้มเสร็จแล้วจึงใส่เข้าปาก
ค่อยๆ เคี้ยวเบาๆ น้ำแกงในผักกาดขาวก็พุ่งออกมา กลิ่นหอมหวนกระจายเต็มช่องปาก
หลังจากนั้นทำนองมรรคาก็ถาโถมเข้าในห้วงสำนึกเช่นกัน ทำให้เขาสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย!
ไม่ผิดแน่ ผักนี้ถึงกับแฝงไปด้วยทำนองมรรคา!
ไป๋อู๋เฉินขนลุกซู่ไปทั้งตัวด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายจับจ้องไปยังผักเหล่านั้น
ถูกต้องแล้ว นี่ต้องเป็นการทดสอบที่ปรมาจารย์จัดขึ้นมาแน่!
ปรมาจารย์จงใจเตรียมเนื้อและผัก ถึงแม้จะเป็นเนื้อปีศาจ ทว่าสิ่งที่ล้ำค่ากว่าก็คือผัก
เป็นไปได้ว่าความสนใจของทุกคนล้วนไปรวมอยู่ที่เนื้อปีศาจ จึงเมินผักไปเสียสนิท พลาดโอกาสครั้งสำคัญ
ไปเสียอย่างนั้น
‘ข้านั้นแสนโง่เขลา รู้ทั้งรู้ว่าทุกๆ ที่ในโลกของปรมาจารย์เต็มไปด้วยการทดสอบ แต่เพิ่งจะมาตระหนักรู้เอาตอนนี้’ ไป๋อู๋เฉินรำพันในใจ จากนั้นก็คีบเห็ดหอมชิ้นหนึ่งลงต้มในหม้อ
จ้าวซานเหอและคนอื่นกำลังกินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยเพลิดเพลิน ไม่นานก็พบพิรุธของไป๋อู๋เฉิน
เจ้าคนนี้มันเป็นบ้าอะไร เริ่มมาก็กินผักเชียว
“ไป๋อู๋เฉิน เจ้าเป็นอะไร ไม่กินเนื้อรึ” ในที่สุดจ้าวซานเหอก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามออกไป
เนื้อปีศาจไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ย่อมมีพลังปราณเจือปนอยู่ไม่มากก็น้อย
ไป๋อู๋เฉินหัวเราะลั่น “ข้าชอบกินผัก เนื้อเอาไว้ให้พวกท่านกิน ไม่ต้องเกรงใจข้า”
พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาคีบผักกอบใหญ่ให้ตนเอง
“ซวงเอ๋อร์ ซูหย่า พวกเจ้าอย่ากินแต่เนื้อสัตว์ กินผักด้วย กินเนื้อสัตว์กับผักช่างเข้ากันดี” ไป๋อู๋เฉินเอ่ยเตือน
จ้าวซานเหอมองไป๋อู๋เฉินอย่างเคลือบแคลงใจ
มีลับลมคมใน!
มีลับลมคมในแน่นอน
เขาแค่นหัวเราะ ทุกคนกินข้าวอยู่บนโต๊ะเดียวกัน จะไปปิดบังความลับอะไรได้
จากนั้นเขาก็ต้มผักกาดขาวให้ตนเอง
‘หรือว่าผักจะอร่อยกว่าเนื้อ ข้าต้องลองดูสักหน่อย’
จ้าวซานเหอครุ่นคิดอยู่ในใจ พลางคีบผักกาดขาวเข้าปาก
“อู้ แค่กๆๆ”
ผักแกมพริกทำให้เขาไอออกมา
“ถ้าเป็นผักละก็ ใส่ลงไปต้มในน้ำแกงกระดูกจะอร่อยที่สุด ต้มในฝั่งเผ็ดกลับไม่อร่อย” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มพร้อมเอ่ย
เตือน
ความต้องการอาหารของผู้บำเพ็ญเซียนควรจะต่ำมากไม่ใช่หรอกเหรอ ทำไมมาที่นี่แล้วเร่งรีบกันขนาดนี้
“ทำให้คุณชายหลี่ขบขันแล้ว” จ้าวซานเหอกล่าวอย่างประดักประเดิด ทว่าในดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความตะลึงลาน
ทำนองมรรคา เมื่อครู่ต้องเป็นทำนองมรรคาแน่นอน!
เจ้าไป๋อู๋เฉินนี่ใจแคบเสียจริง เรื่องพวกนี้ยังต้องปิดบังกัน ตัวเองกลับแอบกินผักตั้งเยอะแยะ
จ้าวซานเหอเดือดดาลในทันใด เริ่มคีบผักขึ้นมาเคี้ยวอย่างรวดเร็ว
ไป๋อู๋เฉินก็ไม่ยอมตกเป็นรอง ทั้งสองช่วงชิงผักกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ฟาดฟันกันจนหน้าแดงคอแข็งเกร็ง
ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลี่เนี่ยนฝานอยู่ตรงนี้ เกรงว่าพวกเขาคงจะลุกขึ้นมาสู้กันแล้ว
ไม่นานสถานการณ์เช่นนี้ก็ถูกหลินชิงอวิ๋นสังเกตเห็น จึงเริ่มกินผักบ้างด้วยความสงสัย
นี่มัน…
หลินชิงอวิ๋นนิ่งงันไป
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้รสอร่อยล้ำทำให้นางตะลึง เช่นนั้นนี่ก็ทำให้มุมมองต่อโลกของนางกลับตาลปัตรไปทีเดียว
ในผักถึงกับมีทำนองมรรคาซ่อนเร้นอยู่ เป็นไปได้อย่างไรกัน
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียน ทำนองมรรคาเป็นสิ่งที่พบได้แต่ไม่อาจเอื้อม พร่าเลือนราวภาพมายา มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ คล้ายกับการตื่นรู้
ถ้าหากอยากสัมผัสทำนองมรรคา ทำได้เพียงรอชะตาพามาพานพบ
ทว่าในตอนนี้ แค่กินก็ได้รับทำนองมรรคาแล้ว
น่ากลัว เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
พูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
‘ใช่แล้วละ เนื้อปีศาจเหล่านี้เป็นพวกข้าล่ามาได้ อันที่จริงก็เป็นเพียงเนื้อปีศาจธรรมดา แต่ผักเหล่านี้เป็นถึงสิ่งที่คุณชายหลี่เก็บมาเอง! หรือพูดได้ว่า ผักนี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่เซียนควรกิน! ก่อนหน้านี้ตนมัวแต่จดจ่ออยู่กับการกินเนื้อ ทำให้มองข้ามสิ่งที่เซียนนำมา โง่เง่าเสียจริง!’
หลินชิงอวิ๋นมองไปยังผักบนโต๊ะซึ่งถูกไป๋อู๋เฉินและจ้าวซานเหอสวาปามไปกว่าครึ่ง พลันปวดใจจนหน้าบูดบึ้ง
นั่นต้องเป็นทำนองมรรคาที่มากเพียงใดกัน!
นางสงวนท่าทีมาตลอด ทว่ายามนี้กลับยากที่จะนิ่งสงบ นางเป็นถึงเทพธิดา ย่อมต้องเข้ารวมศึกชิงอาหารด้วยแล้ว
ทิศทางลมแปรเปลี่ยนฉับพลัน ทำให้หลี่เนี่ยนฝานประหลาดใจเล็กน้อย “พวกท่านไม่กินเนื้อแล้วหรือ”
“คุณชายหลี่ พวกข้ากินผักก็พอแล้ว” ไป๋อู๋เฉินรีบพูด
จ้าวซานเหอกินไปพลางเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายหลี่ ข้าพบว่าผักนับว่าเป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดแล้ว ท่านไม่ต้องสนใจข้า
หรอก”
“คุณชายหลี่ ที่จริงแล้วข้าชอบกินผักที่สุด” ซูหย่ากล่าว
หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้า ขี้เกียจจะใส่ใจพวกเขา
ดูท่าแล้วผู้บำเพ็ญเซียนในโลกบำเพ็ญเซียนนี้จะไม่ใช่แค่เป็นมิตร แต่ยังแปลกมากด้วย
หลังกินอาหารมื้อนี้ พวกไป๋อู๋เฉินก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของตนอุ่นขึ้น เป็นความสบายที่ไม่อาจบรรยายได้
ประสิทธิภาพเหนือกว่าปราณโอสถใดๆ เสียอีก
ไป๋อู๋เฉินลุกขึ้นยืน คำนับหลี่เนี่ยนฝานอย่างจริงใจพร้อมเอ่ย “คุณชายหลี่ อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ข้าเกิดมา โปรดรับการคำนับจากข้าด้วย!”
“คุณชายหลี่ บุญคุณครั้งใหญ่ไม่อาจทดแทนเพียงการขอบคุณ ข้าจ้าวซานเหอแม้ว่าจะไม่เก่งกาจ แต่หากท่านต้องการเรียกใช้บอกข้าได้เสมอ!” จ้าวซานเหอเองก็เอ่ยปากบอก คนอื่นๆ ต่างก็กล่าวขอบคุณกันเซ็งแซ่ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคารพและจริงใจ
แม้พวกเขาจะพร่ำเตือนสติตนเองว่าให้มองคุณชายหลี่เป็นปุถุชน ปฏิบัติต่อเขาตามปกติ ทว่าในยามนี้ พวกเขาก็ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นได้
เมื่อปุถุชนพบเทพเซียน จะทำตัวสุขุมได้อย่างไรหนอ
หลี่เนี่ยนฝานขมวดคิ้วน้อยๆ “ก็แค่หม้อไฟมื้อเดียว ไม่ต้องพิธีรีตองขนาดนั้น ตอบทงตอบแทนบุญคุณอะไร เลยเถิดไปใหญ่แล้ว”
คนกลุ่มนี้ก็ดูปกติดีนี่ ทำไมสมองมีปัญหาไปได้
“คุณชายหลี่ อาหารมื้อนี้อร่อยเหลือเกิน พวกข้าจึงหยุดปากไม่ได้ เสียมารยาท เสียมารยาทแล้ว” ไป๋อู๋เฉินรีบพูดขึ้นมา
“ตื่นตูมไปแล้ว” หลี่เนี่ยนฝานส่งเสียงฮึดฮัด ผู้บำเพ็ญเซียนประหลาดกว่าปุถุชนซะอีก
ไป๋อู๋เฉินไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง รีบขอโทษขอโพย
เฮ้อ ต้องโทษตัวเองที่ตื่นเต้นเกินไปหน่อย ทำให้ปรมาจารย์ไม่พอใจ
ปรมาจารย์ปรารถนาที่จะบำเพ็ญตบะในร่างของปุถุชน ต่อไปตนเองจะไม่ทำเรื่องต้องห้ามอีก
แม้จะเป็นเพียงอาหารมื้อเดียว แต่กลับทำให้พวกเขามีทำนองมรรคาเปี่ยมล้นโคจรอยู่ทั่วทั้งร่างกาย
ด้วยต้องกลับไปปิดด่านกักตนย่อยพลัง พวกเขาจึงกล่าวลาหลี่เนี่ยนฝานแล้วรีบร้อนออกมา
หลังออกมาจากเรือนสี่ประสาน จ้าวซานเหอก็มองไป๋อู๋เฉินอย่างซึ้งใจ “ไป๋อู๋เฉิน เจ้าแนะนำให้ข้ารู้จักคุณชายหลี่ในครานี้ติดหนี้น้ำใจแล้ว! ขอบคุณ!”
บุญคุณครั้งนี้เท่ากับวาสนาอันยิ่งใหญ่ ในความจริงแล้วไม่อาจทดแทนได้
“เป็นอย่างไร ดูจากอายปราณของท่าน คงใกล้ทะลวงขั้นแล้ว?” ไป๋อู๋เฉินกล่าวกลั้วหัวเราะ
ได้รับความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ระดับนี้ ต่อให้เป็นเพียงหมูตัวหนึ่งก็สำเร็จเป็นเซียนได้
ไป๋อู๋เฉินหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ เช่นนั้นข้าจะรอข่าวดีของท่าน”
พวกเขาแยกย้ายกันที่เชิงเขา หันหลังกลับไปเหลือบมองเขาลูกนี้ ในใจของพวกเขาได้ยกให้ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว!
ทว่า บนภูเขาซึ่งห่างจากเขาลูกนี้ออกไปไม่ไกล
สุนัขจิ้งจอกสีขาวปลอดดุจหิมะสองตัวกระโจนลงมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง ขนนุ่มปลิวโบกตามสายสม กำลังเหม่อมองไปทางเส้นขอบฟ้าแสนไกล
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือ พวกมันตัวหนึ่งมีเก้าหาง ส่วนอีกตัวหนึ่งมีหกหาง ชี้ตั้งขึ้นฟ้า กวัดแกว่งเนิบช้าซ้ายขวา ขณะเดียวกันนั้น ก็มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์โคจรไปมา