ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 21 ให้คนแก่อย่างข้าไปฟังนิทานกับเด็กเนี่ยนะ?
หลี่เนี่ยนฝานดูลักษณะท่าทางของเขาแล้ว ก็ทนเห็นเขาเดินทางผิดไม่ได้ จึงเอ่ยปากว่า “ตะวันขึ้นจันทราลับ เกิดแก่เจ็บตาย นี่เป็นหลักของธรรมชาติ แม้แต่สัจธรรมของโลกเจ้าก็ไม่เข้าใจ แล้วจะแสวงหาวิถีของตนเองได้อย่างไร
สิบปีเห็นสารทวสันต์ผันผ่าน ร้อยปีเห็นเกิดแก่เจ็บตาย พันปีเห็นราชวงศ์รุ่งโรจน์แลล่มสลาย หมื่นปีเห็นจักรวาลหมุนเปลี่ยน สิ่งนี้ไหนเลยจะกระจ่างได้ชั่วข้ามคืน ปุถุชนหากใช้สายตาของวันเดียวเสาะหาโลกนับล้านปี ก็มิได้ต่างอะไรกับการตักดวงจันทร์จากบ่อน้ำ”
บัณฑิตชะงักนิ่งไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บ้างก็ตื่นเต้น บ้างก็สับสน
หลี่เนี่ยนฝานไม่ได้สนใจเขาอีก หากแต่เดินกลับขึ้นเขาไป
เขาช่วยได้เพียงเท่านี้ คิดออกหรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
แม้จะบอกว่าการเป็นอมตะเป็นความใฝ่ฝันของทุกคน แต่หากถึงกับบ้าคลั่งเพราะเรื่องนี้ ก็นับว่าไม่คุ้มค่า คนเราประจักษ์แจ้งในสัจธรรมเป็นดี
กลับมาถึงบ้าน หลี่เนี่ยนฝานก็นำปลาหลี่ตัวใหญ่สองตัวส่งให้เสี่ยวไป๋ บอกกล่าวสิ่งที่เขาจะกินในวันนี้ และเพลิดเพลินกับอาหารกลางวันโดยลำพัง
ในตอนนั้นเอง ไกลออกไปนับหมื่นลี้ ผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งกำลังพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังสำนักเซียนวั่นเจี้ยน
พวกเขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งขี่กระบี่เดินทางมา
ระหว่างทาง ผู้เฒ่าถอนหายใจสั้นบ้างยาวบ้าง แววตาแฝงความสงสารจับใจ
สุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มก็ทนไม่ไหว เอ่ยถามว่า “อาจารย์ สำนักเซียนวั่นเจี้ยนเกรงว่าจะไม่อยู่แล้วกระมัง พวกเรา
ยังไปที่นั่นทำไมอีกหรือขอรับ”
อาจารย์ทอดถอนใจพลางกล่าว “ชงเอ๋อร์ เดิมทีผู้บำเพ็ญเซียนอย่างพวกเราก็เดินทางที่ขัดกับหลักธรรมชาติอยู่แล้ว ดูคล้ายกับอยู่เหนือโลกโลกีย์ แต่แท้จริงแล้วที่ทุกที่ล้วนแต่อันตราย หากวันใดวันหนึ่งความตายมาเผชิญ น่ากลัวว่าแม้แต่คนเก็บศพให้ก็คงไม่มี
ข้ากับไป๋อู๋เฉินต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ดวลวิชากันมานับร้อยปี เหลือเพียงข้าที่สามารถไปช่วยเก็บศพเจ้านั่นได้”
“อาจารย์ ถ้าหากเจอมารกระบี่เข้าจะทำอย่างไรเล่าขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างวิตก
ผู้เฒ่าตอบอย่างจนปัญญา “เจอก็เจอเถิด ข้าเองก็อยู่ได้อีกไม่กี่ปีหรอก เมื่อถึงเวลานั้นเจ้ารีบหนีไป ข้าจะถ่วงเวลาให้เอง”
แววตาของเขาแลดูเศร้าโศกอยู่บ้าง ระคนไปด้วยความรู้สึกชิงชังโลก
ผู้ฝึกกระบี่ห้าปีก่อนรุ่งโรจน์เพียงใด คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงชั่วพริบตาก็ถูกมารกระบี่ล้างผลาญไปกว่าครึ่ง เขาอายุมากแล้ว พละกำลังไม่สู้เมื่อก่อน ไม่อยู่ในสายตาของมารกระบี่แม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นคงจะตายไปนานแล้ว
ด้วยนิสัยหัวรั้นดื้อดึงของเจ้าไป๋อู๋เฉินนั่น ย่อมไม่มีทางถอยหนี เป็นไปได้มากว่าตอนนี้ศพคงเย็นแล้ว
ทั้งสองวาดสายรุ้งยาวสายหนึ่งบนท้องฟ้า ไม่นานก็มาถึงอาณาเขตของสำนักเซียนวั่นเจี้ยน
ในตอนนั้นเอง ผู้เฒ่าก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง จึงมองไปยังท้องฟ้าเวิ้งว้างห่างไกล
สายรุ้งยาวสามสายเคลื่อนเข้ามาไกลลิบๆ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึง
เป็นพวกไป๋อู๋เฉินซึ่งเพิ่งกลับจากการฟังนิทานของหลี่เนี่ยนฝาน
เมื่อเห็นผู้เฒ่า ไป๋อู๋เฉินก็นิ่งงันไปเล็กน้อย “ผู้เฒ่าจ้าว ท่านมาได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าจ้าวก็ชะงักไปครู่หนึ่งเช่นกัน จ้องไป๋อู๋เฉินเขม็ง กล่าวว่า “ไป๋อู๋เฉิน ทำไมเจ้าไม่ตาย ข้าเตรียมมาเก็บศพเจ้าไงเล่า!”
ไป๋อู๋เฉินกลับไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย ยิ้มบางๆ “ฮ่าๆๆ ท่านก็อายุปูนนี้แล้ว ข้าย่อมต้องไปทีหลังอยู่แล้ว รอเก็บศพท่านก่อน”
“หึ” ผู้เฒ่าจ้าวไม่โต้ตอบ เอ่ยถามอย่างสงสัย “มารกระบี่ไม่ได้ท้าประลองเจ้า หรือว่าเจ้าไปหลบมา?”
“มีหรือข้าจะหลบ ผู้เฒ่าจ้าว ท่านดูแคลนข้าแล้ว” ไป๋อู๋เฉินถลึงตาด้วยความเดือดดาล จากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นอย่างมีเลศนัย ค่อยๆ ปลดปล่อยอายปราณออกมาระลอกหนึ่ง
ผู้เฒ่าจ้าวตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้าง พูดด้วยความตกใจ “เจ้า เจ้าสำเร็จขั้นชูเชี่ยวแล้ว?”
ไป๋อู๋เฉินไม่ได้ตอบ เพียงหลับตาลงอย่างได้ใจ
“เจ้าทะลวงขั้นได้อย่างไร นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย! ข้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้า!” ผู้เฒ่าจ้าวถามอย่างอิจฉา อดมองประเมินไป๋อู๋เฉินไม่ได้
“ช่วยไม่ได้ ข้าทะลวงขั้นมาแล้ว” ไป๋อู๋เฉินพูดกระหยิ่มยิ้มย่อง
ผู้เฒ่าจ้าวสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไรนัก ยกมือขึ้นประสานอย่างห่อเหี่ยว “ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสไป๋”
น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความขมขื่น ก่อนหน้านี้ยังวิ่งอยู่บนทางเดียวกัน อยู่ๆ ก็พบว่าเพื่อนได้นำเขาไปไกล ความรู้สึกนี้ช่างยากที่จะยอมรับ
“ผู้เฒ่าจ้าว พวกเรารู้จักกันมาหลายร้อยปีแล้ว เรียกข้าผู้อาวุโสแล้วแปลกเหลือเกิน พวกเราเรียกกันเหมือนแต่ก่อนดีกว่า” ไป๋อู๋เฉินรีบพูด
ผู้เฒ่าจ้าวกลับยืนกรานพูดว่า “โลกเซียนนับถือกันตามระดับพลัง ข้าเรียกเจ้าว่าผู้อาวุโสก็ไม่ได้เสียหาย”
ไป๋อู๋เฉินมองผู้เฒ่าจ้าว ภายในใจกลับกังวล
ด้วยนิสัยของผู้เฒ่าจ้าว อย่าว่าแต่ตนทะลวงขั้นชูเชี่ยวเลย ต่อให้บรรลุเป็นเซียน เขาก็ไม่มีทางสนใจตน
ทว่ายามนี้กลับก้มศีรษะให้แล้ว ย่อมมีเพียงเหตุผลเดียว
พลังชีวิตเขามีไม่มากแล้ว
หวังให้ไป๋อู๋เฉินเห็นแก่หน้าเขา ดูแลลูกศิษย์ต่อจากเขา
ผู้บำเพ็ญเซียนแสวงหาการเป็นอมตะ กระนั้นผู้ที่มีอายุยืนยาวนั้นมีกี่คนกัน
ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีมีพลังชีวิตสองร้อยปี ขั้นจินตันสี่ร้อยปี หยวนอิงแปดร้อยปี ชูเชี่ยวหนึ่งพันหกร้อยปี เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เกรงว่ามีเพียงการผ่านสามหายนะเก้าเคราะห์แล้วกลายเป็นเซียน จึงจะเป็นอมตะ
ยาก ยากพอๆ กับการปีนป่ายขึ้นไปบนฟ้า
พลังชีวิตที่ผู้เฒ่าจ้าวมี คงไม่เกินห้าสิบปี
ไป๋อู๋เฉินมองปราดเดียวก็อ่านความคิดของผู้เฒ่าจ้าวออก เห็นสหายเก่าแก่เป็นเช่นนี้ ก็นึกสะท้อนใจ
เขาเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อยากช่วยเหลือสหายเก่า เอ่ยปากว่า “ต่อให้ข้าทะลวงขั้นชูเชี่ยวแล้ว ท่านคิดว่า
ข้าจะต่อกรกับมารกระบี่ได้หรือ”
ผู้เฒ่าจ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายของไป๋อู๋เฉิน
ไป๋อู๋เฉินกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “อันที่จริงข้าทะลวงขั้นได้ก็เพราะได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์ท่านหนึ่ง และมารกระบี่ก็ถูกปรมาจารย์ท่านนั้นสังหาร!”
“อะไรนะ!”
เสียงของผู้เฒ่าจ้าวแหลมสูงขึ้นมาทันใด สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
เด็กหนุ่มด้านหลังของเขาใบหน้าอึ้งงัน ราวกับได้ยินเรื่องเหลือเชื่อที่สุดในโลกหล้า
ทำให้ขั้นหยวนอิงทะลวงเป็นขั้นชูเชี่ยว ปรมาจารย์ท่านนี้ต้องเก่งกาจเพียงไหนกัน
ผู้เฒ่าจ้าวกล่าวอย่างร้อนรน “เจ้าไม่ได้หลอกข้าเล่นใช่ไหม นี่เป็นกลวิธีของเซียนสินะ”
“ที่จริงข้ารู้สึกว่าอีกฝ่ายเหนือกว่าจะเป็นเซียนธรรมดามาก” น้ำเสียงของไป๋อู๋เฉินเปี่ยมไปด้วยความเคารพและศรัทธา จากนั้นก็เล่าสิ่งที่ตนเองประสบเจอมา
สีหน้าของผู้เฒ่าจ้าวก็ยังแปรเปลี่ยนไม่หยุด ตั้งแต่ตื่นตระหนก จนถึงเลื่อมใส และกลายเป็นนิ่งงัน
เครื่องฟอกอากาศที่ผลิตพลังปราณ เครื่องกรองน้ำที่ผลิตธาราปราณ
ภาพเขียนที่เจือปนจิตกระบี่ ที่สำคัญยังเป็นเพียงภาพร่าง
ป้ายหยกที่มีสัญลักษณ์หงส์ฟ้า ปัดเป่ากระบี่มารให้มลายหายไปอย่างง่ายดาย
ข้าวต้มเปล่าซึ่งแฝงด้วยจิตแห่งเต๋า
ไฉนเรื่องราวเหล่านี้ฟังดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
กระทั่งไป๋อู๋เฉินเริ่มพรรณนาเรื่องราวที่หลี่เนี่ยนฝานเล่า สีหน้าของผู้เฒ่าจ้าวก็พลันมืดครึ้มลง
“ไป๋อู๋เฉิน ข้ายอมรับว่าเจ้ามีพลังเหนือกว่าข้า แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลให้เจ้ามาล้อเล่นกับข้า!” ผู้เฒ่าจ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เจ้ากำลังเล่านิทานให้ข้าฟังอยู่ใช่ไหม แกล้งข้ารึ!”
ไป๋อู๋เฉินยิ้มขื่น “ผู้เฒ่าจ้าว ข้าไม่ได้หลอกท่านจริงๆ รอพรุ่งนี้ท่านไปฟังนิทานกับข้าก็จะรู้เอง”
อย่าว่าแต่ผู้เฒ่าจ้าวเลย ที่จริงตัวเขาเองยามที่เล่าไปก็รู้สึกว่าเพ้อฝันอยู่บ้าง เรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อย
หากไม่ได้เห็นกับตา ก็ไม่มีใครเชื่อหรอก
“ไปฟังนิทานกับเจ้า? เจ้าเห็นว่าข้าเป็นเด็กสามขวบรึ” ผู้เฒ่าจ้าวโทสะพลุ่งพล่าน ใบหน้าแดงก่ำ
คนแก่ใกล้จะลงโลงอย่างข้า จะให้ไปนั่งฟังนิทานกับเด็กโขยงหนึ่ง จะไม่หยามหน้ากันไปหน่อยหรือ