ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 17 ก็แค่ข้าวต้มเปล่าชามเดียวไม่ใช่หรือ
ทั้งสี่คนเดินขึ้นไปด้วยกัน ไม่นานก็มาถึงบริเวณสันเขา
เห็นเพียงเงาเลือนรางของเรือนหลังหนึ่งบนสันเขา ห้อมล้อมดวงแมกไม้ เมฆปุยขาวลอยล่อง หากไม่ตั้งใจมองหา ก็ไม่อาจพบเห็นได้ง่ายดาย นับว่าเป็นสถานที่สำหรับเร้นกายแห่งหนึ่ง
เมื่อเดินเข้าไปดู เรือนสี่ประสานก็ปรากฏแก่สายตาของพวกเขา กำจายสุนทรีย์ประณีตเหนือความจริงท่ามกลางม่านหมอก
นี่ละ คือสถานที่พำนักอันเหมาะสมของเซียน!
มีเพียงที่นี่ ถึงจะคู่ควรกับความสง่าเหนือโลกโลกีย์ของเซียน!
หัวใจของทั้งสี่เต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่ ย่างเท้าเข้าไปในเรือนสี่ประสานด้วยความศรัทธาอย่างหาสิ่งใดเปรียบ
“ศิษย์พี่หญิงหลิน คุณชายหลี่มีนามว่าหลี่เนี่ยนฝาน จิตใจใฝ่หาชีวิตบนโลกมนุษย์ ยามที่พบเขา อย่าได้มีพิรุธ
คุณชายหลี่อยากใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชน ไม่เช่นนั้นคุณชายหลี่อาจไม่เกรงใจ!” ไป๋ลั่วซวงกำชับ
หลินชิงอวิ๋นพยักหน้าเพื่อบอกว่าตนเข้าใจแล้ว
ปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวกล้วนมีสิ่งที่ตนเองชอบ
ตอนนั้นไป๋ลั่วซวงจึงตะโกนไปทางประตูใหญ่ “คุณชายหลี่ อยู่หรือไม่”
หลี่เนี่ยนฝานกำลังกินอาหารเช้าอยู่ที่เรือนใน ท่วงท่าซึ่งกำลังจะกินข้าวต้มก็ชะงักไป เขามองไปทางประตูอย่างแปลกใจ
เสียงที่ได้ยินออกจะคุ้นหูอยู่บ้าง
คนที่มาเป็นแขกของเขาที่นี่มีน้อยจนนับนิ้วได้ เขานึกเพียงครู่เดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
ไป๋ลั่วซวงและคนอื่นๆ กำลังยืนรออยู่ด้านนอกด้วยสีหน้ากระสับกระส่าย
ยามนั้นไป๋อู๋เฉินแลดูไม่เหมือนกับผู้อาวุโสขั้นชูเชี่ยว หากแต่เหมือนกับนักเรียนที่เห็นอาจารย์เสียมากกว่า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
แกร็ก
ประตูเปิดแล้ว
ความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของหลี่เนี่ยนฝาน
มาทีเดียวตั้งสี่คน อีกทั้งยังยืนรออยู่ด้านนอกอย่างเคารพนบนอบ เมื่อเห็นตนใบหน้าก็ฉายรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา
ผู้บำเพ็ญเซียนถึงกับแวะมาเยี่ยมเยียนปุถุชน อีกทั้งท่าทางยังจริงจังมากซะด้วย
เขามองไป๋ลั่วซวง เอ่ยว่า “เจ้าเองหรือ เชิญๆ”
“คุณชายหลี่ นี่คือพ่อแม่ของข้า ที่มาในครั้งนี้ก็เพื่อขอบคุณสำหรับภาพวาดที่ท่านมอบให้ครั้งก่อน” ไป๋ลั่วซวงพูดอย่างพินอบพิเทา
ไป๋อู๋เฉินและซูหย่าผงกศีรษะให้หลี่เนี่ยนฝานอย่างมีไมตรีจิต
มองจากท่าทีของพวกเขาแล้ว มิน่าเล่าถึงได้อบรมสั่งสอนไป๋ลั่วซวงให้เติบโตมาเป็นเด็กที่มีมารยาทรู้กาลเทศะ
“ภาพวาดครั้งก่อนเป็นเพียงภาพที่มีตำหนิน่ะ มีสิ่งใดให้ขอบคุณกัน เชิญเข้ามาข้างในก่อน” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย
ที่แท้ก็ชอบภาพวาดของฉัน คิดแล้วพ่อแม่ของไป๋ลั่วซวงคงเป็นผู้ที่ชื่นชอบภาพเขียน ถึงได้มาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง
เขารู้สึกปกติมาก ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็ต้องมีงานอดิเรกเหมือนกัน และฝีมือการวาดภาพของตนเองก็ได้รับการรับรองจากระบบแล้ว ฉายานามว่าจิตรกรเทพไม่ใช่ว่าได้มาฟรีๆ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนถูกอกถูกใจได้นั้นไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย
“รบกวนแล้ว” ไป๋อู๋เฉินกล่าวด้วยความเคารพ
“คุณชายหลี่ ข้าชื่อว่าหลินชิงอวิ๋น เป็นเพื่อนของไป๋ลั่วซวง ติดตามพวกเขามาเยี่ยมเยือนท่าน” หลินชิงอวิ๋นประหม่าจนพูดจาสะเปะสะปะ
หลี่เนี่ยนฝานพูดด้วยรอยยิ้ม “เชิญเข้าไปข้างในก่อนเถิด”
เขาลอบคิดในใจว่าสาวงามมาอีกคนหนึ่งแล้ว ทะลุมิติมาห้าปีไม่เคยเจอแม้แต่คนเดียว ช่วงนี้สาวงามเริ่มทยอยกันมาแล้ว
“ยินดีต้อนรับแขกทุกท่าน” เสี่ยวไป๋ต้อนรับทุกคนในฐานะพ่อบ้าน
ไป๋อู๋เฉินและซูหย่าได้ฟังเรื่องของเสี่ยวไป๋มาจากไป๋ลั่วซวงแล้ว แม้ว่าจะตกใจก็ยังวางมาดสุขุม
หลินชิงอวิ๋นกลับต่างออกไป ร่างบางของนางสั่นเทิ้ม ดวงตาคู่สวยจ้องมองเสี่ยวไป๋ก่อนจะร้องด้วยความตกใจ “อาวุธวิญญาณ!”
หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกเหนื่อยใจอยู่บ้าง ขี้เกียจอธิบายแล้ว ปล่อยนางไปก็แล้วกัน
คงจะมาคอยอธิบายให้ทุกคนที่เจอฟังว่านี่คือเคล็ดวิชาระดับสูงไม่ได้หรอก ก็เหนื่อยตายแย่น่ะสิ
ไป๋ลั่วซวงแอบดึงหลินชิงอวิ๋นมากระซิบบอก “ศิษย์พี่หญิงหลิน ใจเย็นหน่อย ที่เรือนของปรมาจารย์แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดไม่น่าอัศจรรย์ แต่ต้องคิดเสียว่าที่นี่คือโลกมนุษย์ อย่าเอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญเซียน!”
หลินชิงอวิ๋นถึงจะสังเกตได้ว่าสีหน้าของหลี่เนี่ยนฝานผิดปกติ จึงอดกล่าวโทษตัวเองไม่ได้ ไม่น่าตื่นตูมเช่นนี้เลย
หลี่เนี่ยนฝานกลับไปนั่งที่โต๊ะอีกครั้ง เขายังกินอาหารเช้าซึ่งเป็นข้าวต้มอีกครึ่งชามไม่หมด ทว่าเมื่อเห็นทั้งสี่คนยืนอยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนครามครัน
จึงเอ่ยเชื้อเชิญ “หรือว่า…พวกท่านก็มากินด้วยกันสิ?”
“ไม่เป็นไร” ไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ รีบส่ายหน้า
ถึงแม้กลิ่นจะหอมยวนใจมาก แต่พวกเขาไม่ใจกล้าหน้าหนาถึงขั้นนั้น ใครจะรู้เล่าว่าจะไปล่วงเกินปรมาจารย์หรือเปล่า
“คือว่า ข้าอยากลองชิมดู”
อยู่ๆ ไป๋ลั่วซวงก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
นางกัดริมฝีปาก ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่นางกัดฟันพูดออกมา
เครื่องกรองน้ำและเครื่องฟอกอากาศในครั้งก่อนตราตรึงใจนางเหลือเกิน นางมีความรู้สึกว่าสิ่งที่ปรมาจารย์กินต้องไม่ธรรมดา ไม่ว่าอย่างไรก็อยากลองชิมสักหน่อย
“ลั่วซวง เจ้ากินข้าวเช้าที่บ้านมาแล้วไม่ใช่หรือ?” ซูหย่ารีบดึงบุตรสาวของตนไว้
เหตุใดเด็กคนนี้ถึงทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ ก็แค่ข้าวต้มชามหนึ่งไม่ใช่หรือ อดทนอีกหน่อย กลับบ้านไปค่อยกินก็ยังได้ แค่คำพูดตามมารยาทของปรมาจารย์ ไฉนคิดเป็นจริงเป็นจังไปได้
“ลั่วซวง อย่าก่อเรื่อง!” ไป๋อู๋เฉินรีบเอ่ยตักเตือน
ไป๋ลั่วซวงย่นปากอย่างน้อยใจ พ่อแม่ของนางต้องลืมไปแล้วเป็นแน่ ว่าน้ำที่คุณชายหลี่ดื่มเป็นถึงธาราปราณ อาหารที่กินมีหรือจะด้อยกว่า? พวกเขาไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของตนในตอนนี้หรอก
“ฮ่าๆๆ ก็แค่ข้าวต้มชามเดียว เกรงใจอะไรกัน”
หลี่เนี่ยนฝานคิดเพียงว่าลั่วไป๋ซวงน่ารักดี เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “เสี่ยวไป๋ ตักข้าวต้มให้แม่นางไป๋หนึ่งชาม!”
ไป๋ลั่วซวงแลบลิ้น นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหลี่เนี่ยนฝาน
เมื่อรับข้าวต้มจากมือของเสี่ยวไป๋ ไป๋ลั่วซวงก็มองประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ก็พบว่าข้าวเม็ดอวบอิ่มทุกเม็ดซึ่งแช่อยู่ในน้ำข้าวสีขาวดุจน้ำนม ส่องประกายแสงของอัญมณี ราวกับเป็นดวงดาวก็มิปาน
ถึงแม้จะเป็นเพียงข้าวต้มเปล่าเพียงชามเดียว แต่ไป๋ลั่วซวงก็เชื่อว่ารสชาติอันโอชะจะต้องไม่ทำให้ตนผิดหวัง
นางยกชามขึ้นมา ค่อยๆ ซดเข้าปาก
น้ำข้าวเหนียวข้นเคลือบบนริมฝีปากของตน ไหลรินลงไปในช่องปากอย่างนุ่มลื่น ความรู้สึกอ่อนโยนพลันแผ่ซ่านไปทั้งสรรพางค์กาย
อร่อย!
รสสัมผัสเลิศล้ำเข้ากับกลิ่นหอมเฉพาะตัวของข้าวต้มเปล่า ทำให้ปรางแก้มของไป๋ลั่วซวงแดงระเรื่อขึ้นมา
ขณะเดียวกัน นางก็พบว่าน้ำที่ใช้ทำข้าวต้มนั้นก็คือธาราปราณที่ดื่มไปเมื่อคราวก่อน!
นี่เป็นข้าวต้มเปล่าซะที่ไหนกันล่ะ นี่มันยอดสุราธาราหยกที่เหล่าเซียนกินกันชัดๆ!
รสอร่อยเช่นนี้ นางจึงพยายามโน้มน้าวพ่อแม่ของตน “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านก็กินสักหน่อยเถิด ข้าวต้มนี้อร่อยเหลือเกิน อร่อยมากๆ!”
นางไม่กล้าเอ่ยเรื่องธาราปราณ เพียงแต่บอกใบ้อย่างอ้อมๆ
“เจ้ากินไปเถอะ ไม่ต้องพูด!” ไป๋อู๋เฉินโกรธจนหน้าแดงก่ำ
ทำให้ขายหน้าปรมาจารย์แล้วไม่ใช่รึ ถ้าหากปรมาจารย์เกิดภาพจำที่ไม่ดีกับพวกเขาจะทำอย่างไร
ไป๋ลั่วซวงจนปัญญา ทำได้เพียงกินข้าวต้มต่อไป
“อาหารเช้าของข้าอาจจืดชืดไปหน่อย คีบผักดองไปกินกับข้าวต้มก็แล้วกันนะ” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มเอ่ย
เขาปลูกผักหลากหลายชนิดไว้หลังเรือน ผักดองนี้เขาก็ดองเอง โลกเซียนไม่มีให้กิน
“ผักดอง? คืออะไรหรือ” ไป๋ลั่วซวงมองไปยังผักดองจานเล็กซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ นางเลียนแบบหลี่เนี่ยนฝาน คีบผัก
ดองมาเล็กน้อยแล้วกินกับข้าวต้มเปล่า
ข้าวต้มเปล่าอันไร้รสชาติเข้ากับรสชาติของผักดองอย่างลงตัว รสชาติที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปากของไป๋ลั่วซวง
“อร่อย อร่อยเหลือเกิน!”
ดวงตาของนางเป็นประกาย ภายในชั่วพริบตาเดียวก็ได้เปิดประตูสู่โลกใหม่
ข้าวต้มเปล่ากับผักดอง เป็นการจับคู่ที่สุดแสนจะเรียบง่าย ทว่ารสชาติกลับเอาชนะอาหารชั้นเลิศใดๆ ห่างไกลกันหลายขุม!
มือของนางเร่งความเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คีบผักดองเข้าปากพร้อมกับข้าวต้มเปล่าอย่างคล่องแคล่ว ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา เพลิดเพลินไม่รู้เหนื่อย
ในตอนนั้น สมองของนางมีเหลืออยู่เพียงความคิดเดียว นั่นก็คือ ‘กินซะ! กินซะ!’
ใบหน้าของไป๋อู๋เฉินและซูหย่าคล้ำลงจนเขียวแล้ว
เจ้าคนท้องยุ้งพุงกระสอบนี่คือลูกสาวของตนจริงหรือ
ไม่ใช่หรอกกระมัง
เอาเถอะ พวกเขาเองก็ยอมรับว่าอยากกินเหมือนกัน
แรกเริ่มเดิมทีกลิ่นหอมของข้าวต้มขาวไม่นับว่ายั่วยวนรัญจวนใจ กระนั้นผ่านไปเรื่อยๆ กลิ่นหอมก็แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณของพวกเขาทีละน้อย ทำให้พวกเขาน้ำลายสออย่างควบคุมตนเองไม่อยู่ ในใจบังเกิดความปรารถนา
รวมกับสีหน้าท่าทางของไป๋ลั่วซวง หัวใจของพวกเขาก็ยิ่งเหมือนถูกแมวข่วน ให้รีบเข้าไปกินข้าวต้มสักคำสองคำอย่างห้ามไม่อยู่
แม้แต่หลินชิงอวิ๋นซึ่งเห็นข้าวต้มขาววาววับ ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้เช่นกัน
…………………………………………