ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 16 การค้นพบครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดถึงอะไร พวกข้าคิดเรื่องนี้ขึ้นเอง”
ลั่วซืออวี่สีหน้าเยือกเย็น แสร้งว่ากำลังสับสน
นางรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง วันนี้ไม่น่าเรียกหลินชิงอวิ๋นมาร่วมโต๊ะด้วยเลย สตรีผู้นี้ฉลาดเฉลียวช่างสังเกต ได้ชื่อว่าหลอกไม่ง่าย
ที่สำคัญก็คือไม่คิดว่าจะมาเจอกับหลี่เนี่ยนฝาน ทั้งยังถูกหลินชิงอวิ๋นมองออกอีก
กระนั้นแล้ว นางตั้งมั่นไว้ว่าจะเปิดเผยเรื่องของท่านปรมาจารย์ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ซืออวี่ พวกเรานับเป็นพี่น้องกัน เจ้าอย่าปิดบังข้าเลย”
หลินชิงอวิ๋นแววตากระตุกวูบ ยิ้มเอ่ย “ถ้าหากเป็นเจ้าที่คิดแผนนี้ขึ้นมา คงไม่มาขอความช่วยเหลือจากหอเซียน
หลิงอวิ๋นหรอก อีกทั้งหลังเจ้าขอความช่วยเหลือ ข้าก็รีบเร่งมาทันที ตอนนี้มีวิธีแก้ปัญหาแล้วก็จะใจจืดใจดำทิ้งข้าหรือ”
นางมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าลั่วซืออวี่มีแผนอะไร เกรงว่าอีกไม่นาน ราชครูกับอัครมหาเสนาบดีก็คงรบรันพันตูกัน บาดเจ็บพ่ายแพ้กันไปทั้งสองฝ่าย!
กลยุทธ์พรรค์นี้ทำให้นางอดประหลาดใจไม่ได้ คนผู้นี้เป็นยอดอัจฉริยะ!
“เงื่อนไขที่เจ้าจะช่วยพวกข้าก็คือไข่มุกเพลิงมังกรของราชวงศ์เซียนเฉียนหลง” ลั่วซืออวี่สีหน้าไม่เปลี่ยน พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลินชิงอวิ๋นเอ่ย “ไข่มุกเพลิงมังกรเป็นสมบัติแผ่นดินของพวกเจ้า ข้าจะเอาไปได้อย่างไร เพียงแต่จะขอยืมแค่ช่วงหนึ่งก็เท่านั้น หอเซียนหลิงอวิ๋นของพวกข้ามีลูกศิษย์หลายคนกำลังจะทะลวงขั้นจินตันแล้ว”
จากขั้นจู้จีถึงขั้นจินตันได้ จำต้องก่อเพลิงแห่งจินตัน ไข่มุกเพลิงมังกรของของราชวงศ์เซียนเฉียนหลงสามารถก่อเปลวเพลิงมังกรของจริงได้ มีส่วนช่วยในการทะลวงขั้นจินตันมหาศาล
ของล้ำค่าเช่นนี้ทำให้เกิดผู้ฝึกเซียนขั้นจินตันเป็นขนานใหญ่ เป็นสิ่งที่ทำให้ราชวงศ์เซียนเฉียนหลงก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้
“ขอโทษด้วย ตอนนี้พวกข้าคิดวิธีกันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หอเซียนชิงอวิ๋นช่วยเหลือแล้ว” ลั่วซืออวี่เอ่ยพลาง
ส่ายหน้า
ถ้าหากไม่มีคำชี้แนะของหลี่เนี่ยนฝาน น่ากลัวว่าลั่วซืออวี่คงจะกัดฟันให้นางยืมไข่มุกเพลิงมังกรไปแล้ว และเมื่อให้ยืมไป จะคืนเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับความยินยอมของหอเซียนหลิงอวิ๋นแล้ว
ตอนนี้นางไม่มีทางทำเรื่องโง่เง่าลงไปอีก
“ไม่ให้ยืมก็ช่างเถอะ ขอเพียงเจ้าบอกข้าว่าปรมาจารย์ที่ออกอุบายให้เจ้าคือคุณชายคนนั้นหรือไม่ เจ้าคงทนเห็นข้ามาเสียเที่ยวไม่ได้หรอกใช่ไหม” หลินชิงอวิ๋นเอ่ยอย่างน่าสงสาร สายตากลับคอยสังเกตสีหน้าของลั่วซืออวี่
“ไม่ใช่!” ลั่วซืออวี่ส่ายหน้า ตอบหลินชิงอวิ๋นไปตามตรง
“ย่อมได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินชิงอวิ๋นพยักหน้า บอกลาลั่วซืออวี่
มุมปากของนางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย สายตามองไปยังภูเขาลูกหนึ่งนอกเมือง นั่นเป็นเส้นทางที่หลี่เนี่ยนฝานเดินจากไป
“ลั่วซืออวี่ เจ้าคิดว่าเจ้าปิดบังได้ดีหนักหนา แต่ยิ่งสีหน้าของเจ้าเยือกเย็นมากเท่าใด ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเจ้ามีปัญหา ปุถุชนคนนั้นน่าสนใจจริงๆ ข้าต้องไปดูสักหน่อยแล้ว!”
วันต่อมา
ตอนเช้าตรู่ หลินชิงอวิ๋นเก็บข้าวของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปยังภูเขาลูกนั้นซึ่งอยู่ในทิศเดียวกับที่หลี่เนี่ยนฝานจากไป
ถึงแม้หลี่เนี่ยนฝานจะดูเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ทว่าหลินชิงอวิ๋นเห็นลั่วซืออวี่ระแวดระวังปานนั้น ในใจก็ไม่กล้าประมาท นางจึงแต่งองค์ทรงเครื่องเสียงามสะคราญ
สามารถเปลี่ยนคนตายให้มีชีวิตขึ้นมาทั้งที่อยู่ในร่างของปุถุชน พูดแผนการไปส่งเดชก็พลิกสถานการณ์ของราชวงศ์เซียนเฉียนหลงได้ สรุปแล้วเขาเป็นปรมาจารย์แบบใดกันแน่ เป็นปุถุชนจริงๆ หรือ?
หลินชิงอวิ๋นมิได้โง่เขลา ทว่านางฉลาดเฉลียวมากต่างหาก
นางมีลางสังหรณ์ว่าการค้นพบในครั้งนี้ คงจะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต!
มาถึงด้านล่างของเชิงเขา มองดูเมฆหมอกเคลียคลอเบื้องบน หลินชิงอวิ๋นก็เกิดรู้สึกประหม่าอย่างแปลกประหลาด คล้ายกับว่าผู้ที่นางจะไปเยี่ยมเยือนในครั้งนี้ไม่ใช่ปุถุชน หากแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเร้นกายจากโลก
ขณะที่นางกำลังจะขึ้นเขานั้นเอง ก็มีเงาร่างสามสายขี่กระบี่ผ่านไปบนท้องฟ้า ลงหยุดอย่างมั่นคงที่เชิงเขา
ทั้งสามคนก็คือไป๋ลั่วซวงและพ่อแม่ของนาง พวกเขามาหยุดอยู่ที่ด้านล่างของเชิงเขา เตรียมเดินเท้าขึ้นเขา เพื่อ
แสดงความซาบซึ้งต่อปรมาจารย์เช่นกัน
หลินชิงอวิ๋นเห็นไป๋ลั่วซวง ก็ชะงักงันไปเล็กน้อย “ศิษย์น้องหญิงลั่วซวง?”
“ศิษย์พี่หญิงหลิน? ท่านมาได้อย่างไร” ไป๋ลั่วซวงก็ชะงักไปเช่นกัน มองหลินชิงอวิ๋นอย่างแปลกใจ
หลินชิงอวิ๋นมองไป๋ลั่วซวง ในใจสั่นสะท้านเล็กน้อยพลางเอ่ย “ข้ามาเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่ง พวกเจ้าก็เหมือนกันหรือ”
“อื้ม ข้ากับท่านพ่อท่านแม่มาเยี่ยมเยือนปรมาจารย์ท่านหนึ่ง” ไป๋ลั่วซวงพยักหน้า
“พ่อแม่เจ้ามาด้วยตัวเองเลยหรือ”
หลินชิงอวิ๋นตื่นตะลึง มองไปยังบุรุษสตรีวัยกลางคนด้านข้าง พูดด้วยน้ำเสียงเคารพ “ผู้น้อยหลินชิงอวิ๋น คำนับเจ้าสำนักไป๋ และผู้อาวุโสซู”
ในใจของนางนั้นกระวนกระวาย ถึงแม้สำนักเซียนวั่นเจี้ยนไม่อาจเทียบเท่าหอเซียนหลิงอวิ๋น แต่อย่างไรเสียก็เป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักเซียนวั่นเจี้ยนเชียวนะ ผู้เก่งกาจระดับหยวนอิงถึงกับมาด้วยตัวเอง
สรุปแล้วบนเขามีอะไรที่ควรค่าให้พวกเขาเห็นความสำคัญถึงเพียงนั้น
ในขณะเดียวกันนางก็คลางแคลงใจอยู่บ้าง ได้ยินว่าสำนักเซียนวั่นเจี้ยนได้รับคำท้าจากมารกระบี่ อาจารย์ของนางชี้ชัดว่าไป๋อู๋เฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมารกระบี่ ไฉนตอนนี้ยังสบายดีอยู่เล่า
ความสงสัยมีมากเหลือเกิน ไม่สู้นางเอ่ยปากถามจะดีกว่า
ไป๋อู๋เฉินโบกมือยิ้ม “เจ้าคือลูกศิษย์ก้นกุฏิของผู้เฒ่าอวิ๋นกระมัง? อายุยังน้อยก็สำเร็จถึงช่วงท้ายของขั้นจู้จีแล้ว อนาคตไร้ขีดจำกัด”
“เจ้าสำนักไป๋ ท่าน ท่าน…” หลินชิงอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง มองไปยังไป๋อู๋เฉินอย่างเหลือเชื่อ
เมื่อก่อน ไป๋อู๋เฉินเรียกอาจารย์ของนางเพียงว่าผู้อาวุโสอวิ๋น ทว่าตอนนี้ถึงกับเรียกว่าผู้เฒ่าอวิ๋น เช่นนั้นก็หมายความว่าระดับของพวกเขาเท่ากันแล้ว!
เรื่องนี้มีเพียงคำอธิบายเดียว
“มิผิด ข้าทะลวงถึงขั้นชูเชี่ยวแล้ว” ไป๋อู๋เฉินยิ้มบาง
นี่มัน…
เมื่อได้รับคำยืนยัน หลินชิงอวิ๋นก็ยิ่งตะลึง
ขั้นหยวนอิงและขั้นชูเชี่ยวเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันมาก สิ่งที่ตามมาจากการทะลวงขั้นของไป๋อู๋เฉิน ฐานะของสำนักเซียนวั่นเจี้ยนก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ไม่ได้เป็นเพียงพรรคเล็กสำนักน้อยอีกต่อไป!
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทะลวงขั้นหยวนอิงไปถึงขั้นชูเชี่ยวนั้นง่ายเสียที่ไหน
“เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านปรมาจารย์ เคราะห์ดีก็เท่านั้น” ไป๋อู๋เฉินเอ่ยปาก ดวงตาของเขาแฝงความรู้สึกหวนระลึกถึงและเสียใจ
น่าเสียดาย หากยามนี้ภาพวาดแผ่นนั้นไม่ถูกมารกระบี่ทำลายไป เขาก็มั่นใจว่าจะก้าวไปได้อีกขั้น!
คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็รู้สึกชอกช้ำ
“ความช่วยเหลือจากท่านปรมาจารย์ คงไม่ใช่…” หลินชิงอวิ๋นนึกถึงความเป็นไปได้เรื่องหนึ่ง แต่กลับไม่กล้าคิดต่อแล้ว
เมื่อครู่ไป๋ลั่วซวงบอกว่ามาเยี่ยมเยือนปรมาจารย์ท่านหนึ่ง กอปรกับท่าทีของไป๋อู๋เฉิน นางก็สัมผัสได้ว่าสมองของตนแทบระเบิด
สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นหยวนอิงทะลวงถึงขั้นชูเชี่ยวได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นกลวิธีของเซียนใช่ไหมเล่า
ไป๋อู๋เฉินกลับยิ้มพลางเอ่ยปากว่า “ที่นี่ไร้ผู้คน แม่นางหลินมาเยี่ยมเยียนเพื่อน หรือว่าจะเป็นคนเดียวกับพวกข้า?”
เขาถามอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก ถ้าหากหลินชิงอวิ๋นเป็นเพื่อนกับปรมาจารย์จริง ต่อให้เขาอยู่ขั้นชูเชี่ยว ย่อมไม่กล้าวางท่าต่อหน้าหลินชิงอวิ๋น
“ที่จริงข้าเพียงสงสัยจึงมาดู…”
หลินชิงอวิ๋นทะนงตน เยือกเย็น และฉลาดเฉลียว ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกผิด ไม่กล้าปิดบัง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังรอบหนึ่ง
“ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตด้วยมือของปุถุชน สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์!” ไป๋อู๋เฉินตื่นเต้นยกใหญ่ “ปรมาจารย์คงอยากพิสูจน์ว่าต่อให้อยู่ในร่างของปุถุชน ก็ยังเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้! ระดับของเขาไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะประเมินได้”
ส่วนไป๋ลั่วซวงใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา สิ่งที่นางสนใจนั้นต่างจากไป๋อู๋เฉิน “ปรมาจารย์ไม่เพียงระดับพลังสูงส่ง ยังให้เกียรติอิสตรี จิตใจสูงส่งจริงๆ”
หลินชิงอวิ๋นได้รับการยืนยันจากคำพูดของไป๋อู๋เฉินแล้วว่าปรมาจารย์ผู้นั้นก็คือคุณชายปุถุชนที่พบเมื่อวานนี้ จึงรู้สึกได้เพียงแต่ว่าเลือดในร่างกายจับตัวแข็ง สมองเริ่มชา
ไม่คิดเลยว่าความสงสัยใคร่รู้เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวของนางจะทำให้ค้นพบเรื่องที่สุดยอดอย่างนี้ ลั่วซืออวี่คิดปิดบังนางหรือ ไม่มีทาง!
นี่เป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้!
ต้องระวังให้มาก พยายามแสดงภาพลักษณ์ที่ดีให้ปรมาจารย์เห็น!
……………………………………….