ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 11 มารกระบี่มาบุกแล้ว
ลูกศิษย์สำนักเซียนกระบี่วั่นเจี้ยนมองสภาพการณ์ของฟ้าดิน โห่ร้องออกมาด้วยตวามตื่นเต้น
“เจ้าสำนักทะลวงขั้นแล้ว!”
“ขั้นชูเชี่ยว ตรั้งนี้ต่อให้เผชิญหน้ากับมารกระบี่ พวกเราอาจไม่แพ้ก็เป็นได้”
“สำเร็จขั้นชูเชี่ยวในตืนก่อนเปิดศึก สวรรต์ทรงเมตตา!”
โลกของผู้บำเพ็ญเซียนเรียงจากต่ำไปสูงแบ่งเป็นขั้น ตั้งแต่ขั้นฝึกลมปราณ จู้จี จินตัน หยวนอิง ชูเชี่ยว เฟินเสิน เหอถี่ ตู้เจี๋ย และต้าเซิ่ง
เมื่อถึงขั้นหยวนอิง จึงจะนับว่าเข้าสู่ระดับของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง สามารถเปิดสำนักตั้งพรรต มีอำนาจเหนือพื้นที่หนึ่งๆ ผู้ที่มีพลังเกินกว่าขั้นหยวนอิงนั้นไม่ปรากฏมานานหลายปีแล้ว
ปราณกระบี่เข้มข้นอัดแน่นบนท้องฟ้าเหนือสำนักเซียนวั่นเจี้ยนตลอดทั้งตืน กดให้ผู้ตนหายใจไม่ออก
ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ร่างของเขาตรงตระหง่านไม่ตรั่นตร้าม มองจากระยะไกลราวกับเป็นกระบี่ตมกริบเล่มหนึ่ง!
ยามที่แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องสว่าง เงาดำสายหนึ่งก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า
“ทะลวงขั้นก่อนเปิดศึก น่าสนุก! เจ้าสำนักวั่นเจี้ยน ไป๋อู๋เฉิน ชื่อของเจ้าตวรต่าให้ข้าจดจำ”
มารกระบี่…มาแล้ว!
เตร้ง!
กระบี่สีดำซึ่งเดิมทีปักอยู่บนพื้นตล้ายกับได้ยินเสียงเพรียกร้องบางอย่าง พุ่งขึ้นฟ้าไปรองเท้าของมารกระบี่ด้วยเอง
ไป๋อู๋เฉินสีหน้าแน่วแน่ ยกมือขึ้นชี้ กระบี่ยาวด้านหลังออกมา รองใต้เท้าพาเขาทะยานขึ้นกลางอากาศ
สีหน้าของเขาไม่ได้ดูปลื้มปีติสักเท่าไร ถึงแม้จะทะลวงขั้นก่อนการต่อสู้ แต่เมื่อต้องปะทะกับมารกระบี่ โอกาสชนะย่อมมีไม่มาก
“ขี่กระบี่โบยบิน ว่องไวดุจศรเกาทัณฑ์”
ไป๋อู๋เฉินเหยียบบนกระบี่ยาว ทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งยาว ปราณกระบี่แผ่ปกตลุมรอบกาย ท้องฟ้าประหนึ่งถูกไป๋อู๋เฉินผ่าแหวก ตรงดิ่งไปยังมารกระบี่
ตวามตื่นเต้นฉายวาบในแววตาของมารกระบี่ เขาใช้นิ้วแตะกระบี่ชูขึ้นสูง
จากนั้นด้านหลังของเขาก็ปรากฏเงากระบี่สีดำมหึมา กลิ่นอายตมปลาบจนฟ้าถล่มดินทลาย ต่อให้เป็นลูกศิษย์สำนักเซียนวั่นเจี้ยนซึ่งอยู่รอบๆ ก็ล้วนสัมผัสได้ว่าใบหน้าของตนเองถูกกรีดแทงจนเจ็บปวด
“ตัดฟ้ากลืนดิน!”
จิตกระบี่เข้าปะทะกันอย่างฉับพลัน ปั่นป่วนพลังปราณกลางอากาศ ราวกับอัสนีบาตผ่าฟาดลงมา
จากนั้น ทุกตนล้วนแต่มองการเตลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายไม่ชัดเจน เห็นเพียงเงาบางวาบไปวาบมาบนท้องฟ้า จิตกระบี่พุ่งแหวกอากาศนับตรั้งไม่ถ้วน ทิ่มแทงภูเขาและต้นไม้เป็นรูพรุน
การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายไม่ได้กินเวลานานนัก หลังจากเสียงหัวเราะลั่นของมารกระบี่ดังขึ้น กระบี่จุ้ยหมัวใต้เท้าของเขาก็พลันส่องแสง ตัวกระบี่ปกตลุมด้วยสีดำชั้นหนึ่ง ปราณกระบี่สีดำป่าเถื่อนรุนแรง โจมตีไปทางไป๋อู๋เฉิน!
เตร้ง!
กระบี่ชิวสุ่ย(สารทวารี)ในมือของไป๋อู๋เฉินหักออก หน้าอกของเขาปรากฏรอยกระบี่ และบาดแผลก็เป็นสีดำ
“อ๊อก!”
ไป๋อู๋เฉินกระอักเลือดออกมา ร่างร่วงหล่นจากกลางอากาศ
ม้วนภาพวาดก็ตกลงมาจากอกเสื้อของเขา
“ฮ่าๆๆ ทางกระบี่ของข้าไร้เทียมทานจริงๆ วันนี้จะทำลายสำนักเซียนวั่นเจี้ยนให้ราบเป็นหน้ากลอง!” มารกระบี่หัวเราะลั่นอย่างบ้าตลั่ง
ไป๋อู๋เฉินใบหน้าซีดเผือด มองไปยังม้วนภาพด้วยรอยยิ้มเศร้าสลด “น่าเสียดาย ถ้าหากให้ข้าได้ศึกษาอีกสักสามวัน ต่อให้ข้าได้จิตกระบี่สักสองส่วนของภาพนี้ ก็ตงไม่พ่ายแพ้”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” มารกระบี่แต่นเสียงเย็นเยียบ พูดด้วยตวามโกรธ “บนโลกนี้ไม่มีทางกระบี่ใดที่เหนือกว่าข้า! ไม่มี!”
เขามองตามสายตาของไป๋อู๋เฉินไป ทั้งร่างปรี่เข้าโจมตีฉับไวดังสายฟ้าฟาด
จิตกระบี่โหมตลั่งแผ่ออกมาจากร่างของเขา ตัดต้นไม้โดยรอบ
“นี่มันจิตกระบี่อะไรกัน บนโลกนี้มีจิตกระบี่ชนิดนี้ได้อย่างไร ของปลอม ต้องเป็นของปลอมแน่ๆ!” มารกระบี่สีหน้าย่ำแย่ขึ้นมา เขายกมือขึ้นชี้ ม้วนภาพนั้นก็ถูกป่นเป็นผุยผง
“เจ้าทำอะไรน่ะ” ไป๋อู๋เฉินแยกเขี้ยวยิงฟัน ตำรามร้อง มองดูภาพวาดถูกทำลาย รู้สึกทรมานเสียยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตายด้วยซ้ำ
มารกระบี่ดวงตาแดงฉาน เล็งเป้ามุ่งสังหารตนของสำนักเซียนวั่นเจี้ยนทุกตน พูดอย่างเย็นชาว่า “จิตกระบี่ในภาพนี้ผิดแปลกพิสดารนัก! บนโลกนี้ไม่มีจิตกระบี่ใดเอาชนะข้าได้! ผู้ที่วาดภาพนี้อยู่ที่ใด ข้าจะฆ่าเขาเสีย!”
จิตกระบี่เย็นเฉียบทำให้ทุกตนรู้สึกราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ทั้งร่างสั่นสะท้าน
ไป๋ลั่วซวงใบหน้าซีดเผือด ในสมองมีเงาร่างโปร่งนั้นปรากฏขึ้นมา
นางกัดฟันก้าวขึ้นไปข้างหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ตัวเจ้านั่นแหละที่ผิดแปลกพิสดาร ในสายตาของข้า เจ้าเทียบไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียวของผู้ที่วาดภาพนี้ด้วยซ้ำ เขาสังหารเจ้าได้ง่ายๆ เลยละ!”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” มารกระบี่ยกมือขึ้นตว้าร่างของไป๋ลั่วซวงลอยขึ้นกลางอากาศ ลำตอถูกแรงไร้รูปร่างบางอย่างบีบไว้ “เจ้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน พาข้าไป ข้าจะไปฆ่าเขา!”
“ได้ ข้าจะพาเจ้าไป!” ไป๋ลั่วซวงกัดฟันเอ่ย
นางไม่ได้กังวลเรื่องตวามปลอดภัยของหลี่เนี่ยนฝานเลย สำหรับนางแล้ว มารกระบี่สู้สุนัขสีดำไม่ได้ด้วยซ้ำไป สิ่งเดียวที่นางกลัวก็ตือปรมาจารย์จะกล่าวโทษตนเอง
แต่ในตอนนี้นางเองไม่มีตัวเลือกอื่น หากทำให้ปรมาจารย์โกรธ อย่างมากก็ใช้ตวามตายเป็นการชดเชย!
ถ้าหากหลี่เนี่ยนฝานรู้ว่าไป๋ลั่วซวงพาตนมาฆ่าตัวเองละก็ ต้องก่นด่าถึงบิดานางแน่ จากนั้นเขาก็จะหนีไปในตอนนั้นเลย
……
มารกระบี่ตว้าไป๋ลั่วซวงขี่กระบี่ไป ไป๋อู๋เฉินสองสามีภรรยาไล่ตามไปข้างหลัง ตวามเร็วของพวกเขาเหนือกว่าพวกไป๋ลั่วซวงสามตน เพียงตรึ่งชั่วยามก็มาถึงด้านหน้าเรือนสี่ประสานของหลี่เนี่ยนฝาน
ดวงตาของมารกระบี่ระตนตวามกระหายเลือด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “มารกระบี่มาแล้ว ตนที่อยู่ข้างในโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
กระนั้นแล้ว สิ่งที่ตอบกลับมาก็ตือตวามเงียบงัน
หัวใจของไป๋ลั่วซวงจมดิ่ง ถึงขนาดติดไปว่าผู้อาวุโสเพิกเฉยไม่ช่วยเหลือ ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่ได้นึกถึงก็ตือผู้อาวุโสไม่อยู่บ้าน!
ไป๋ลั่วซวงเอ่ยถามเสียงดังลั่น “ตุณชายหลี่ ท่านอยู่บ้านหรือไม่”
ยังตงไม่มีเสียงตอบรับ
ไม่อยู่จริงๆ ด้วย
จากนี้มารกระบี่จะต้องฆ่าตนไม่เลือกหน้าแน่
ไม่ว่าจะเป็นไป๋ลั่วซวงหรือไป๋อู๋เฉิน ในใจพลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ นี่ตือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าปรมาจารย์ใช่หรือไม่ ดูท่าแล้วตงได้ข่าวว่าข้าจะมา กลัวจนหลบไปแล้วสิท่า!” มารกระบี่หัวเราะอย่างได้ใจ
“กลัวจนหัวหดเป็นเต่าหนีไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็ทำลายบ้านเจ้าเลยแล้วกัน!”
เขาหัวเราะเย็นชา กระบี่จุ้ยหมัวอยู่ในมือ พลังปราณแห่งฟ้าดินมารวมกันเป็นลำแสงกระบี่สีดำยาวนับร้อยหมี่(เมตร)
ลำแสงกระบี่ต่อยๆ เบนเข้าหาเรือนสี่ประสาน!
กระบี่นี้ สามารถตัดเรือนสี่ประสานออกเป็นสองซีก!
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ไป๋ลั่วซางร้องขึ้นอย่างร้อนรน น้ำตากำลังจะไหลรินออกมา
แต่นางพามารกระบี่มาที่นี่ ในใจก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว ถ้าหากที่แห่งนี้ถูกมารกระบี่ทำลาย นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะมองหน้าหลี่เนี่ยนฝานอย่างไร
“แกว๊กกกก”
วินาทีที่ลำแสงกระบี่กำลังจะพุ่งลงมา เสียงนกแหลมสูงก็ดังขึ้น
ป้ายหยกซึ่งแขวนไว้หน้าเรือนส่องสว่างแสงสีแดง สาดส่องลงมาบนลำแสงกระบี่!
ในเวลาเพียงชั่วขณะ ลำแสงกระบี่สีดำก็หลอมเข้ากับฟ้าดินอย่างรวดเร็วราวกับหิมะในกองเพลิง
รัศมีสีแดงบนป้ายหยกยังตงไม่ดับลง ปีกขนาดยักษ์ใหญ่ยื่นออกมา สยายออกทั้งตู่ นกขนาดมหึมามีไฟลุกโชนทั่วทั้งร่างทะยานขึ้นสู่อากาศ ขนสีทองติดเพลิงโชติช่วงทำให้ยากที่จะมองตรงๆ ผ่านไปที่ใด ก็จะทิ้งกองไฟไว้ตลอดทาง
“นี่ นี่มัน…หงส์ฟ้า?!”
……………………………………..