ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 99 สัปดาห์ที่ 34 อาคิยามะ เออิชิ (3)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 99 สัปดาห์ที่ 34 อาคิยามะ เออิชิ (3)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
“…ทีนี้ฉันก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะทำคะแนนได้ไม่ดี เดี๋ยวให้พวกเซริติวเพิ่มอีกหน่อยก็เป็นอันใช้ได้”
จบการสาธยายแล้วโอโตเมะก็จัดการเก็บหนังสือใส่ถุงตามเดิม จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าสงสัยเต็มที่
“นายทำอะไรน่ะ?”
โอโตเมะเปิดประโยคคำถามมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาผมที่ยังอมหลอดพลางเคี้ยวไข่มุกไปด้วยถึงกับเอ๋อรับประทาน
“เรื่องอะไร?”
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะตอบเธอกลับไปได้ในสถานการณ์นี้
“ทำไมนายถึงกินชานมของฉันล่ะ? แล้วดูซิ ดูดจนหมดแล้วเนี่ย…”
น้ำเสียงสงสัยเจือความไม่พอใจนิดๆ กับสายตาตัดพ้อที่น่าจะแฝงคำพูดประมาณว่า ‘ทำไมนายทำอย่างนี้…’ อะไรแบบนั้น
ผมมองหน้าเธอสลับกับแก้วชานมที่ตอนนี้ไปอยู่ในมือของโอโตเมะแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจที่เธอพูด จับใจความได้ประมาณว่าผมไปกินชานมของเธอ… กินจนหมด…
[‘กินตอนไหน…?’]
“ฉันไปกินชานมของเธอตอนไหน?”
เอ่ยถามข้อสงสัยไปแล้วก็ได้ความสงสัยใหม่เพิ่มกลับมา โอโตเมะชูแก้วชานมในมือขวาพร้อมกับบอกว่า
“นี่ไง นายกินไปเกือบหมดแล้วเนี่ย”
“นั่นมันของฉันนะ”
“ของนาย?”
[‘ไอ้สีหน้านั่นมันอะไร?… แล้วยัง… ยังไม่หยุดกินอีก’]
“ใช่ นั่นน่ะของฉัน ฉันซื้อมากินตอนรอเธอมา เธอนั่นแหละที่มากินของฉันเกือบหมดน่ะ ถ้าอยากกินเดี๋ยวฉันไปซื้อใหม่ก็ได้ แต่เอาแก้วนี้คืนมาก่อน”
พอบอกความจริงไปแบบนั้นเด็กสาวตรงหน้าก็ชะงักกึกทันควัน ปากที่คาบหลอดอยู่คายออกมาทันที
“เอ๊ะ?! ละ… แล้ววว… ของฉันล่ะ?”
ผมคว้าจังหวะที่โอโตเมะเหมือนจะโดนบัพสโลว์โมชันจนพูดไม่ค่อยจะเป็นคำคว้าแก้วชานมคืนมาพลางเอาหลอดเขี่ยไข่มุกที่อยู่ก้นแก้วขึ้นมากินต่อให้หมด
[‘ก็เธอบอกว่าไม่เอา แล้วมันจะมีของเธอได้ยังไง’]
ปากบอกเธอไปตามที่คิดแบบนั้นพร้อมเคี้ยวไข่มุกชุดสุดท้ายไปด้วย ส่วนปฏิกิริยาของโอโตเมะตอนนี้ไม่ใช่แค่สโลว์โมชัน แต่กลายเป็นอัมพาตไปเรียบร้อย
“กะ… แก้วนี้… ของนาย? ตะ… แต่… ฉันกินไปก่อนแล้วนะ นะ… นายไม่คิดอะไรเลย… หรออ..?”
คงเพราะติดสถานะอัมพาต คำพูดของโอโตเมะเลยตะกุกตะกักไปหน่อย ผมฟังแล้วก็พอเข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อ แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เธอคิดอยู่ดี
[‘แม่นี่รู้หรือเปล่านะว่าตัวเองต่างหากที่เป็นคนมากินต่อจากคนอื่นเขาน่ะ’]
คิดในใจแต่ไม่ได้ถามโอโตเมะตรงๆ เพราะพอเห็นรอยแดงๆ ที่แก้มของเธอแล้วอารมณ์อยากแกล้งมันลุกฮือขึ้นมาซะก่อน
“ก็เธอเองยังไม่คิดอะไรเลยนิ”
[‘แดงกว่าเดิมแล้วๆ ~~’]
“อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย…”
ยังเขินอยู่หรอ… จูบทางอ้อมเนี่ย
พอก้มลงไปกระซิบแบบนั้นรอยแดงบนหน้าโอโตเมะก็ยิ่งแผ่ลามไปทั่ว ลามไปจนถึงหูถึงคอ
[‘ฮึๆๆ น่ารักชะมัด’]
ในขณะที่ผมกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ฝ่ายโอโตเมะก็อับอายกลายเป็นโกรธา
“ตาบ้า…!! ไอ้คนลามก!! โรคจิต!! ฉวยโอกาส!!…”
เธอว่าผมพร้อมกับเตะขาผมไปด้วย แต่บอกเลยว่าแรงแค่นั้นไม่ได้สะเทือนผมหรอก ห่วงก็แค่ว่าเจ้าตัวจะเจ็บขาเอง
“ยอมๆ นี่ ยอมแล้ว เอ้ยย… เดี๋ยวเจ็บ นี่… องค์หญิงขอรับ ถ้ายังไม่หยุดจะกอดนะครับ”
ได้ผล โอโตเมะชะงักขาทันที จากนั้นจึงล่าถอยไปด้วยท่าสองแขนโอบกอดตัวเอง
“โรคจิต ฉวยโอกาส”
“นี่ถ้าเธอยังไม่หยุดฉันจะโกรธจริงๆ ละนะ”
“อ๊ะ… ขู่ฉันเรอะ?”
ผมเงียบแทนคำตอบ โอโตเมะเองพอเห็นแบบนั้นก็หยุดเล่น ก่อนจะพึมพำเบาๆ จนเหมือนพูดกับตัวเอง
“ทำไมนายไม่ยอมซื้อชานมให้ฉันด้วยล่ะ?”
“ก็ตอนฉันถามเธอบอกว่าไม่เอานิ”
“ฉันบอกว่าเอานะ?”
“ไม่ใช่ละ เธอบอกว่าไม่เอา”
“ฉันพิมพ์ว่าเอา นายอ่านผิดหรือเปล่า?”
“งั้นดู”
แล้วก็เปิดข้อความล่าสุดที่เราสองคนคุยกันให้โอโตเมะดู ข้อความสุดท้ายที่เธอส่งมาคือ ‘ไม่เอา’
แล้วโอโตเมะก็ติดสถานะอัมพาตอีกรอบ แถมรอบนี้อ้าปากค้างทำหน้าเหวอด้วย อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ให้ลูกหลานดูจริงๆ
“ไหงงั้นอ่า?”
“ฉันต้องเป็นฝ่ายถามมากกว่ามั้ย?”
โอโตเมะหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจก่อนจะหันไปมองข้อความในโทรศัพท์อีกรอบ ดูท่าแล้วเธอคงจะไม่ได้ตั้งใจตอบมาแบบนั้นจริงๆ
[‘แกล้งมากไปหรือเปล่านะ?’]
เห็นโอโตเมะในตอนนี้แล้วก็ชักจะรู้สึกสงสาร ผมถามเธอว่าอยากจะกินอีกไหม แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร ไม่เอาแล้ว กินมากไปเดี๋ยวจะกลับไปกินข้าวเย็นไม่ไหว”
“งั้นกลับกันเลยมั้ย”
“อืมม…”
การเดินทางกลับบ้านของโอโตเมะยังคงเป็นปกติเช่นทุกครั้ง โอโตเมะจะยืนพิงประตูฝั่งใน ในขณะที่ผมยืนเป็นกำแพงฝั่งนอกให้เธอ
เราพูดคุยกันเบาๆ ดังเช่นที่เคยทำ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่เจอมาในช่วงสัปดาห์ของแต่ละฝ่าย เผลอแปบเดียวรถไฟก็แล่นไปได้เกินครึ่งแล้ว
“เอ๊ะ?!?! เดี๋ยวนะ นายลงสถานีเมื่อกี้นี้นิ?”
จู่ๆ โอโตเมะที่ยืนพิงกำแพงด้วยท่าทางเหนื่อยๆ ก็เงยหน้ามาถามผม สีหน้าท่าทางตกใจยังกับเธอนั่งรถไฟเลยสถานีซะเอง
“เดี๋ยวฉันไปส่งเธอก่อนเหมือนทุกทีแหละ”
“อ๊ะ ไม่ต้องๆ เดี๋ยววันนี้ฉันกลับเอง นายไม่ต้องไปส่งหรอก”
ท่าทางกระวนกระวายแปลกๆ ของโอโตเมะทำให้ความสงสัยที่ถูกเก็บเงียบไว้หลายสัปดาห์ปะทุขึ้น มันปะทุรุนแรงซะจนผมไม่คิดจะหักห้ามความสงสัยเอาไว้อีก
“ทำไม?”
โดยไม่ต้องเกริ่นนำ ผมถามเธอตรงๆ ถึงเหตุผลที่ไม่ให้ผมไปส่งที่บ้านทั้งที่เมื่อก่อนไปส่งได้ถึงหน้าประตูรั้วแท้ๆ แต่หลังจากเรื่องคราวนั้นเกิดขึ้น ผมกลับไปส่งเธอได้ไกลสุดแค่สวนสาธารณะใกล้ๆ เท่านั้น
“คือออ… มันมีเหตุผลน่ะ นายอย่าเพิ่งโกรธฉันนะ ฉัน…”
“ฉันไม่โกรธหรอก ก็แค่ไม่พอใจแค่นั้น”
“นั่นแหละ คือออ…”
“ทำไม?”
“อื้อออ… นายอย่าทำเสียงแบบนั้นซิ ฉันมีเหตุผลจริงๆ นะ”
“บอกกันยากขนาดนั้นเลยหรอ?”
“เปล่า… ไม่ใช่แบบนั้น โอยยย… นายอ่ะ ฉันลำบากใจนะ”
“อ่อออ… โทษที”
ผมขอโทษโอโตเมะไปแบบส่งๆ แล้วก็เลิกสนใจเธอไป ใช้ช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปพิจารณาอารมณ์ของตัวเอง
บอกไม่ถูกว่าอารมณ์ ณ ตอนนี้เป็นอารมณ์แบบไหน น้อยใจหรอ? โกรธหรือเปล่า? หรือว่าทั้งสองอย่าง? หรือว่ามีมากกว่านั้น
คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้วผมไม่ควรจะมาอารมณ์ไม่ดีใส่โอโตเมะเพียงแค่เพราะเธอไม่ยอมให้ไปส่งที่บ้าน เอาจริงๆ เลยนะ สถานะแค่เพื่อนอย่างผมเนี่ยถือสิทธิ์อะไรไปพาลใส่เธอ
ทั้งที่เมื่อก่อนไปว่านิโนะมิยะไว้ในขนาดนั้น แต่ตอนนี้ผมก็กำลังทำไม่ต่างจากหมอนั่น ไอ้ที่พูดไปเสียดิบดีตอนนี้ก็เข้าตัวหมด เป็นอะไรที่หยะแหยงตัวเองชะมัดเลย
“นี่… ฉันขอโทษ…”
เสื้อตัวนอกถูกดึงแต่ตัวผมไม่ได้ขยับเข้าไปหา เป็นอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้แทน
โอโตเมะที่ก่อนหน้านี้ยืนพิงประตูด้วยท่าทางหมดแรง ตอนนี้ยืนเอาหัวโหม่งหน้าอกผมอยู่
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันผิดเองที่ไปบังคับถามเธอแบบนั้น”
ระยะห่างระหว่างกันเป็นศูนย์…
ใบหน้าของโอโตเมะซุกอยู่กับเสื้อคลุมกันหนาว ศีรษะของเธออยู่ใกล้มากในระยะที่เพียงแค่ผมก้มหน้าลงก็จะสามารถเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมและเส้นผมของเธอได้
ผมไม่สนใจคนอื่นๆ และไม่มีใครอื่นสนใจพวกเรา ราวกับว่าช่วงเวลานี้มีแค่ผมกับเธอ
“ที่บ้านฉันไม่ชอบนาย…”
เด็กสาวเริ่มเอ่ยปาก…
“พวกเขาไม่อยากให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับนายให้มากนัก…”
น้ำเสียงของเธอใสไม่ต่างจากดวงตา…
“พวกเขากลัวว่านายกับเพื่อนจะนำปัญหามาให้ฉัน…”
แต่มันแฝงความกังวลใจและอับจนหนทาง…
“ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนแบบนั้น…”
“ฉันอธิบายกับพวกเขาแล้ว…”
“แต่ทำยังไงพวกเขาก็ไม่ฟังฉันเลย…”
เสียงใสๆ เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเสียงสั่นๆ
“ฉันไม่กล้าบอกนาย… กลัวนายจะโกรธ… โกรธที่ที่บ้านฉันคิดกับนายแบบนี้…”
“ฉันไม่อยากให้นายโกรธพวกเขา แล้วก็กลัวพวกเขารู้ว่าฉันแอบมาเจอนายบ่อยๆ ฉันเลยไม่กล้าให้นายไปส่งที่บ้าน”
“แล้วก็วันนี้… วันนี้พ่อจะกลับบ้านเร็ว แม่ส่งข้อความมาบอกให้ฉันรีบกลับไปกินข้าวพร้อมกัน ฉันกลัวว่าถ้านายตามฉันไปแล้วเจอกับพ่อ ฉันกลัวว่า…”
“ไม่ต้องกลัว…”
ความสงสัยที่สั่งสมมาได้รับการเฉลย สมมติฐานที่คิดไว้ถูกต้อง โอโตเมะไม่ได้แอบซุกใครไว้หรือแอบไปหาใครอื่น
เหมือนก้อนหนักๆ ในอกหลุดหายไป…
ผมวางมือซ้ายไว้บนหัวโอโตเมะจากนั้นจึงวางคางทับมือของตัวเองอีกที
“ฉันขอโทษที่บีบบังคับเธอแบบนั้น แต่คราวหน้าถ้ามีอะไรฉันอยากให้เธอบอกฉันตรงๆ เพราะไม่ใช่แค่เธอที่กังวล ฉันเองก็กังวลด้วย ดังนั้น… ถ้ามีครั้งหน้า… รับปากนะว่าจะบอกฉัน…”
“อืออ…”
มีเสียงอ่อยๆ ดังตอบมาจากบริเวณหน้าอก เป็นเสียงใสๆ ที่ยอมรับข้อเสนอของผมง่ายๆ โดยไม่โต้แย้ง ทำเอาผมที่ได้ยินถึงกับเห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกประตูรถไฟกำลังยิ้มกว้าง
เราสองคนอยู่ในสภาพนั้นกันครู่หนึ่งก่อนที่โอโตเมะจะเขยิบออกจากตัวผม
ใบหน้าเนียนเงยสูงขึ้นมา ทั้งดวงตา หน้าผาก จมูก ดูแดงกว่าปกติ
ไม่ใช่ความแดงเพราะเขินอายหรืออารมณ์อ่อนไหวอื่นๆ แต่น่าจะแดงเพราะถูกับเสื้อคลุมของผม
“สมมตินะ ครั้งหน้า สมมติว่าฉันบอกนายตรงๆ นายห้ามโกรธฉันนะ”
ทำหน้าซะจริงจัง คิดว่าจะพูดเรื่องอะไร ที่แท้ก็ดักทางผมไว้ก่อนนี่เอง
“ฉันเคยโกรธเธอจริงๆ จังๆ ด้วยหรือไง?”
“เคย”
“ตอนไหน?”
“ก็ช่วงแรกๆ ที่เรารู้จักกัน”
“ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเธอไม่ชอบหน้าฉันหรอกหรอ?”
“ป่าวว…”
“หืมม…?”
“ก็นิดนึง”
“ก็ถือว่าหายกันแล้วไง”
“อือออ…”
“มีอะไรอีก?”
“ฉัน… ฉันไม่อยากให้นายไม่ชอบพ่อแม่ของฉัน”
“แล้วทำไมฉันถึงจะไม่ชอบพ่อแม่เธอด้วยล่ะ?”
“ก็พ่อกับแม่ฉันอคติกับนายนิ”
“แค่นั้นอ่ะนะ?”
“เมื่อก่อนนายก็เกลียดฉันนิ”
[“ก็จริงแฮะ”]
“แค่ไม่ค่อยชอบสายตาที่เธอใช้มองแค่นั้นเหอะ ไม่ได้ถึงขั้นเกลียดกันซะหน่อย”
เปลี่ยนคำพูดนิดหน่อย ความหนักเบาของสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว เก่งมากเออิชิ
โอโตเมะบ่นผมอีกนิดหน่อยด้วยข้อหาในสมัยเก่าก่อน แน่นอนว่าผมไม่ได้เถียงอะไรเธอเพราะมันคือเรื่องจริงที่เถียงไม่ออกบวกกับกำลังคิดถึงบางสิ่งอยู่ในหัว
เราพากันเดินออกจากรถไฟที่มาถึงปลายทาง หลังจากนี้ถ้าจะไปบ้านโอโตเมะ เราจะต้องเดินไป
“ส่งถึงแค่ตรงนี้ก่อนนะ ขอฉันกลับไปคุยกับที่บ้านก่อน”
[‘ไอ้ที่ว่าที่บ้านเนี่ย รวมคุณพี่สาวด้วยหรือเปล่านะ?’]
ความสงสัยเล็กๆ ผุดขึ้นมากะทันหันในจังหวะที่โอโตเมะขอผมอีกครั้งว่าไม่ต้องไปส่งเธอถึงบ้าน แน่นอนว่าผมไม่ขัดอะไรอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่ใหญ่กว่าเมื่อกี้ที่เดินคิดมาตั้งแต่ลงจากรถไฟ
“พ่อกับแม่เธอไม่ชอบฉันเพราะอะไร? เพราะตัวฉันไม่ดีหรือเพราะฉันเรียนที่อาคิรุได?”
เห็นโอโตเมะอึ้งไปผมก็พอจะเดาคำตอบได้ล่วงหน้า เป็นอีกครั้งที่ต้องยอมรับเสียว่าชื่อเสียของโรงเรียนผมเนี่ยสุดยอดจริงๆ
อีกอย่างถ้าพิจารณาจากการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ที่ว่ากลัวผมกับเพื่อนจะนำปัญหามาให้ แสดงว่าทางฝ่ายพ่อแม่ของโอโตเมะจะต้องรู้ข้อมูลของผมพอสมควร บางทีโอโตเมะอาจจะเล่าอะไรหลายๆ อย่างให้ทั้งสองฟัง
หากมองในมุมของผมที่มีเพื่อนสนิทในโรงเรียนนั้นแค่สามคน รุ่นพี่ที่จะจบการศึกษาอีกหนึ่งคน คิดแล้วก็ไม่น่าจะนำปัญหามาให้โอโตเมะได้ ยิ่งตอนนี้โรงเรียนสงบเงียบเรียบร้อยแล้วด้วยยิ่งไม่น่าห่วง แต่ถ้ารุ่นพี่นาคาจิมะจบออกไปก็อีกเรื่อง ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว…
“คำถามฉันมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยหรอก? ทำตาโตเชียว”
ผมผ่อนคลายสถานการณ์ให้โอโตเมะสบายใจด้วยการพูดล้อเล่นเกินจริงเพื่อให้เธอหันมาบ่นผมแล้วจะได้ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น
แน่นอนว่ามันได้ผล โอโตเมะตีปับเบาๆ ไม่เจ็บไม่คัน ผมหยอกล้อเธออีกเล็กน้อยก่อนที่จะร่ำลากัน
“โอโตเมะ…”
ผมเรียกเธอก่อนที่เธอจะหันหลังเดินออกจากสถานี
“ถ้าฉันไม่ได้เรียนที่โรงเรียนนี้แล้ว ที่บ้านเธอจะมองฉันดีขึ้นมั้ย?”
ไม่ได้ตั้งใจจะเอาคำตอบเพราะรู้ว่าเธอคงตอบผมไม่ได้ เลยเป็นได้แค่คำถามลอยๆ ที่แค่พูดออกมาแบบไม่ทันได้คิด
โอโตเมะหันกลับมาเต็มตัว เธอจ้องมองผมเหมือนกำลังค้นหาอะไรสักอย่าง ในแววตามีความสับสนปนงงงวยเคลือบแฝง
“นายจะย้ายโรงเรียนหรอ? งั้นนายจะไปเรียนที่ไหน?”
“เปล่าหรอก ฉันก็แค่สงสัยน่ะ เธอก็ทำเป็นจริงเป็นจังไปได้ ย้ายโรงเรียนมันง่ายซะที่ไหน มีเรื่องวุ่นวายให้ทำเยอะเลยนะ”
สายตาคาดคั้นของโอโตเมะจ้องเขม็งมาที่ผมราวกับว่าคำตอบของผมมันไม่ถูกใจเธอ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ
เราสองคนร่ำลากันอีกรอบ ครั้งนี้ผมไม่ได้รั้งเธอไว้อีก ยืนมองส่งเธอจนกระทั่งเธอเดินหายลับออกไปจากสถานี
“ขอให้ไม่ชอบกันแค่เพราะโรงเรียนเถอะ ถ้าเป็นแบบนั้นแค่ย้ายโรงเรียนก็จบปัญหาแล้ว”
พึมพำไปกับการหาวิธีแก้ภาพลักษณ์ของตัวเองที่มองยังไงก็ดูแต่จะมีเรื่องน่าปวดหัวรออยู่…