ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 93 สัปดาห์ที่ 31 อาคิยามะ เออิชิ (4)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 93 สัปดาห์ที่ 31 อาคิยามะ เออิชิ (4)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
สัมผัสแรกที่รู้สึกตัวคือความอบอุ่นสบายชวนหลับใหลของผ้าห่ม ต่อมาจึงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลของที่นอนยามเมื่อพลิกตัวไปคว้านาฬิกามาดู
“อาาา… สายขนาดนี้แล้ว?”
แปดนาฬิกากับเศษนาทีอีกนิดหน่อย เป็นการตื่นสายอย่างหาได้ยากตามความคิดของตัวผมเอง
“เป็นเพราะยัยอันนะตัวดีเลย ถึงได้กังวลจนนอนไม่หลับแบบนี้”
เพราะเมื่อคืนอยู่ดีๆ โอโตเมะก็โทรมาตอนที่กำลังติวให้อันนะอยู่ ปกติเธอไม่เคยโทรมาในเวลาที่ผมทำงานแบบนี้ทำผมแปลกใจไม่น้อย
เธอโทรมายืนยันเรื่องสถานที่กับเวลานัดหมาย แต่พอถามกำหนดการไปกลับโดนปิดเป็นความลับ ตอนนั้นแหละที่เหมือนอันนะจะเดาได้ว่าผมคุยอยู่กับใครและกำลังจะไปทำอะไร
เธอโพล่งออกมาเสียงดังบอกว่าผมจะไปเดท ถือเป็นข่าวใหญ่ เรื่องแบบนี้ต้องเอาไปบอกเพื่อนๆ ก่อนจะหันมาถามผมว่าขอไปบอกเพื่อนๆ ได้ไหม?
ผมเลยใช้สันมือสับกระหม่อมเธอไปหนึ่งฉับพร้อมกับเทศนาเบาๆ ไปหนึ่งยกแล้วจึงกลับมาคุยกับโอโตเมะต่อ
หลังคุยจบก็หันมาเทศนาอันนะต่อ แต่แม่นี่ดูแล้วไม่สะทกสะท้านแถมยังทำหน้าตาตื่นเต้นราวกับเห็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์
ตอนกินข้าวก็ถามกำหนดการต่างๆ ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวของเพื่อนๆ ผู้หญิงที่ไปเดทกับพวกผู้ชายว่าใครเป็นยังไงแบบไหนบ้าง
– “รุ่นพี่ห้ามทำแบบนี้นะคะ…” –
– “…อย่าลืมล่ะ ต้องชมเธอด้วย…” –
– “ห้ามคิดอะไรแปลกๆ ด้วยนะ โดยเฉพาะเรื่องลามก..” –
– “เพื่อนฉันบอกว่าชอบแบบนี้… อืมม… ฉันก็คิดว่าตัวเองชอบเหมือนกัน เพราะงั้นก็เอาแบบนี้แหละค่ะ…” –
กลายเป็นว่าอาหารมื้อนั้นกลายเป็นการติวสำหรับเตรียมตัวไปเดทของผมเฉยเลย คุณมานามิเองก็ร่วมด้วยช่วยกันกับหลานสาว สนุกสนานเขากันเลยล่ะ
แต่ว่านะ แบบนี้เรียกเดทได้ใช่หรือเปล่า
พอกลับมาถึงบ้านคำถามแบบนี้ก็โผล่ขึ้นมาในหัว ตอนที่อันนะบอกว่าเดทก็เออออตามไปไม่ได้คิดอะไร แต่พอกลับมาอยู่คนเดียวแล้วก็สงสัย
– “เรายังไม่ได้คบกันนี่นา มันเรียกว่าเดทได้หรือยัง? หรือแค่ไปเที่ยวกับเพื่อนธรรมดาหว่า” –
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยมีเดทนะ ชีวิตนี้ก็เคยเดทมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง แต่ทุกครั้งนั่นเกิดหลังจากการสารภาพรักและตกลงคบกันแล้วนี่ซิ ส่วนไอ้การออกไปกับเพื่อนต่างเพศแบบสองต่อสองแบบนี้บอกเลยว่านี่เป็นครั้งแรก
คำกล่าวที่ว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากความสงสัยเล็กๆ กล่าวไว้โดยรุ่นพี่นาคาจิมะ ดูท่าแล้วจะเป็นความจริง เมื่อคืนนี้ไอ้ความสงสัยเล็กๆ ของผมนั่นทำเอาผมกังวลกับมันทั้งคืน
ทั้งตั้งใจเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปในวันนี้ ดูแบบทรงผมที่จะเซตง่ายๆ และเข้ากับตัวเองจากอินเทอร์เน็ต รวมถึงค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากที่อันนะบอกมา ยังกลับได้ย้อนเวลากลับไปเป็นตอน ม.ต้น ตอนที่เริ่มเตรียมตัวกับเดทแรกในชีวิต
เก้านาฬิกาเศษ หนึ่งชั่วโมงหลังการตื่นนอนที่ไม่กระปรี้กระเปร่าเท่าใดนัก ผมก็พร้อมสำหรับการออกไปเจอโอโตเมะตามที่นัดไว้
ถ้าถามว่าทำไมถึงเตรียมตัวเสร็จไว หึๆ ก็ผมเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะซิ
เช็กเสื้อผ้าหน้าผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากบ้าน ปลายทางคือย่านศูนย์การค้าของเมือง แหล่งขายสินค้าขนาดใหญ่ที่รวบรวมร้านรวงต่างๆ ไว้มากมายไม่แพ้ห้างใหญ่อย่างห้างบันโชว
ผมนั่งรถไฟไปสามสถานีแล้วเดินต่ออีกนิดหน่อยในที่สุดก็มาถึงสถานที่นัดหมายอย่างลานกว้างอันเป็นทางเข้าสู่ย่านศูนย์การค้า
แม้ว่าจะเป็นวันหยุดแต่คนกลับไม่เยอะมากนัก มีที่นั่งว่างๆ ร่มๆ เหลือให้นั่งอยู่หลายที่ ผมที่มองไปจนทั่วแล้วก็เลือกอันที่ดูร่มรื่นมากที่สุดนั่งรอให้โอโตเมะมาถึง
ระหว่างนั่งรอก็เช็กสภาพตัวเองโดยใช้โทรศัพท์ต่างกระจกไปพลางๆ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่ดีอยู่ก็สบายใจ
ทว่านั่งไปนั่งมาก็เริ่มจะง่วง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมื่อคืนนอนนอนน้อย แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะการนั่งเฉยๆ ในสภาพอากาศสบายๆ แบบนี้มันน่านอน สุดท้ายผมก็หลับ
เป็นการนั่งหลับอันเป็นสกิลพิเศษที่ผมฝึกฝนมาตั้งแต่สมัย ม.ต้น และมาบรรลุเอาเมื่อตอนเข้าเรียน ม.ปลายที่อาคิรุไดนี่เอง
นั่งหลับๆ ตื่นๆ เพราะเริ่มสายก็เริ่มมีคนเดินไปเดินมาพลุกพล่านมากขึ้น แถมมีบางคนมานั่งม้านั่งข้างหลังผมด้วย
สะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาดูเวลาเป็นระยะ ตั้งแต่ 10.30 น. 10.40 น. 10.55 น. 11.00 น. จนเลยเวลานัดหมายก็ยังไร้เงาของโอโตเมะ
ถึงตอนนี้ผมเริ่มจะนั่งไม่ติด เริ่มจะหันซ้ายเหลียวขวา มองหาร่างเด็กสาวที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่เจอจึงได้ตัดสินใจล้วงโทรศัพท์ออกมา
ตั้งใจว่าจะส่งข้อความไปถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่โทรศัพท์กลับมีข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาซะก่อน
ป้ายข้อความบอกว่าส่งมาจากเจ้าหมี เนื้อความมีอยู่ว่า
[นายมาหรือยัง?]
ผมหันมองรอบๆ อีกครั้งแต่ก็ไม่เห็นใครที่คล้ายกับโอโตเมะเลย
[มาแล้ว]
ผมรีบพิมพ์ตอบเธอไป
[เธออยู่ไหน?]
ทางนั้นเงียบหายไป แต่จากข้อความก็พอเดาได้ว่าทางนั้นน่าจะมาถึงแล้ว
[‘แล้วไปอยู่ไหน?’]
มองหายังไงก็ไม่เจอจนคิดว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่า ในตอนนั้นเองก็มีสายโทรเข้ามา เพิ่งรู้ว่าตัวเองเปิดเสียงสายเรียกเข้าเอาไว้แถมดังมากด้วย ทำเอาคนที่นั่งอยู่ม้านั่งข้างหลังผมสะดุ้งเลย
แต่กลายเป็นว่าคนที่ตกใจกลายเป็นผมแทน เพราะทันทีที่คนที่นั่งอยู่นั่นหันหน้ามามอง ผมก็รู้ตัวทันทีว่าทำไมผมถึงหาโอโตเมะไม่เจอ
[‘ให้ตายเถอะ สวยขึ้นขนาดนี้ใครจะไปจำได้’]
โอโตเมะที่ยืนเหวออ้าปากเล็กน้อยตรงหน้าผมมาในชุดเดรสถักแขนยาวกระโปรงสั้นคอวีเข้ารูป ท่อนบนเหนืออกเป็นสีขาว ท่อนล่างเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีหมวกสีขาวสวมทับอยู่บนเส้นผมที่ถูกเซตเป็นลอนดูนุ่มเด้ง สวมรองเท้าหนังหุ้มข้อสีน้ำตาลโทนเดียวกับส่วนที่เป็นกระโปรง ต้นคอมีสร้อยคอเส้นเล็กประดับอยู่
– “รุ่นพี่ต้องชมชุดของเธอด้วยนะ” –
เสียงของอันนะดังขึ้นมาในหัวทันทีที่เห็นชุดของโอโตเมะ
[‘แต่งตัวดูดีจริงๆ’]
ผมดึงสติตัวเองกลับมาพร้อมกับกดตัดสายเรียกเข้าที่โอโตเมะโทรมาทิ้งเนื่องจากเสียงเรียกเข้ามันดัง
พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าโอโตเมะในร่างเทพธิดายังยืนเหวอไม่หาย ผมเลยยื่นมือไปโบกๆ ตรงหน้าเธอ
ได้ผล… โอโตเมะผงะไปข้างหลังทันที มีการทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยพลางถามผมว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้น้ำเสียงจะติดไม่พอใจนิดๆ แต่กลับหาความน่ากลัวไม่ได้เลย
ผมหาวพร้อมกับตอบเธอไปด้วย พยายามให้ทำให้เสียงมันออกมาเป็นคำพูดที่ฟังได้ แต่บอกตรงๆ พูดตอนหาวเนี่ยควบคุมลำบากแท้
ผมกับโอโตเมะยืนพูดคุยกันถึงเหตุและผลที่เราหากันไม่เจออยู่พักนึงแล้วจึงชวนกันไปที่ร้านที่โอโตเมะจองไว้ แน่นอนว่าก่อนไปผมก็ไม่ลืมทำตามที่อันนะบอก ‘ชมชุดของโอโตเมะ’
แต่เหมือนจะชมกันตรงเกินไปหน่อย โอโตเมะเลยเกิดอาการสตั้นไปชั่วขณะ ก่อนจะแก้เขินด้วยการฟาดแขนผมเบาๆ ไปสองที
หลังจากนั้นโอโตเมะก็พาผมเดินไปตามทางผ่านลานกว้างที่ตอนนี้คนเริ่มเยอะเข้าสู่ย่านการค้า
ภายในนี้มีร้านค้ามากมายหลายร้านขายสินค้าหลากหลายประเภท บางร้านก็เป็นร้านเก่าแก่ ในขณะที่บางร้านก็เพิ่งเปิดใหม่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นของกิน ซึ่งถ้าว่ากันตามจำนวนแล้ว ของกินที่นี่หลากหลายมากกว่าในห้างบันโชวซะอีก
ไม่นานนักเราก็มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านใหญ่ที่มองจากภายนอกก็รู้ว่าแพง ยิ่งอ่านป้ายชื่อร้านยิ่งแพงเข้าไปใหญ่
ข้างประตูร้านฝั่งซ้ายและขวาคือชื่อร้าน ฝั่งซ้ายเป็นตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น ส่วนฝั่งขวาคือตัวอักษรที่ผมเห็นแล้วถึงได้บอกว่าแพง
ตัวอักษรภาษาไทย แน่นอนว่าร้านนี้ก็ย่อมเป็นร้านอาหารไทย
ร้านอาหารหรูต่างชาติไม่กี่แห่งที่มีอยู่ในย่านนี้ การันตีได้เลยถึงเรื่องรสชาติและราคา
ผมคัดค้านโอโตเมะว่าร้านนี้ราคามันแพง ถ้าเธออยากกินเดี๋ยวผมทำให้กินก็ได้ แต่เธอกลับไม่ยอมฟังแถมยังยกเอาเรื่องสัญญาที่เคยคุยกันมาอ้าง ทำยังไงเธอก็ไม่ยอมยกเลิกแผนการนี้ ถึงขั้นดันหลังผมให้เขามาในร้าน
“ยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่าลูกค้าจองไว้หรือเปล่าคะ?”
[‘เฮ้ยๆ ต้องจองเลยหรอ?’]
กำลังตกใจว่าร้านนี้ขายดีถึงขนาดต้องจองหรือยังไง โอโตเมะก็ตอบพนักงานไปแล้ว
“จองไว้ค่ะ ชื่อโอโตเมะ”
“เช่นนั้นเชิญทางนี้ค่ะ”
แล้วพนักงานก็เดินนำเราสองคนเข้าไปด้านใน
ทันทีที่นั่งลง เมนูก็วางอยู่ตรงหน้า ผมลองเปิดดูคร่าวๆ แล้วก็เห็นว่ามีเมนูหลากหลายให้เลือกทั้งของคาวและของหวาน มีหลายอย่างที่ผมชอบแล้วหาวัตถุดิบมาทำกินเองลำบาก ถ้าสั่งกินที่นี่ได้ก็คงดี
รับรู้ได้ถึงสายตาจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะที่ชำเลืองมา ผมเงยหน้าจากเมนูไปสบตาตอบ ดูจากท่าทางแล้วคงจะสั่งไม่ถูกแน่ๆ
“เธออยากกินอะไร?”
“นายอยากกินอะไรก็สั่งเลย ฉันกินอะไรก็ได้”
“เธอกินเผ็ดได้หรือเปล่า?”
โอโตเมะตอบกลับมาว่ากินได้ ผมเลยเลือกสั่งเมนูที่เป็นเมนูแนะนำของร้านไป จากนั้นจึงถือโอกาสมองสำรวจร้าน
เป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่ถ้าในแง่ที่คิดว่าเป็นร้านอาหารต่างชาติ บรรยากาศดูเหมือนจะตั้งใจจัดให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปทางวัฒนธรรมของประเทศไทยไปเลย เข้ามาแล้วให้ความรู้สึกคล้ายตอนไปร้านอาหารที่ประเทศไทยจริงๆ ในสมัยยังเป็นเด็ก
“เมื่อกี้นายพูดอะไรน่ะ?”
[‘หืมม…’]
โอโตเมะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังทำหน้าตาที่ให้อารมณ์ประมาณว่าอยากรู้อยากเห็นแบบเด็กๆ น้ำเสียงที่ใช้ก็เบากว่าปกติจนดูคล้ายการกระซิบกระซาบความลับระหว่างกัน
“สั่งอาหารน่ะ”
ผมตอบข้อสงสัยเธอไปตามตรง
“นั่นภาษาอะไร? ภาษาไทยหรอ?”
“ใช่ เธอฟังออกหรอ?”
“ไม่ออกสักคำ”
“อ้าว”
อุตส่าห์ดีใจคิดว่ามีคนที่ฟังภาษาไทยออก ที่ไหนได้… เฮ้อออ…
“นายพูดภาษาอื่นได้ด้วยหรอเนี่ย?”
“ฉันไม่เคยบอกเธอหรอว่าแม่ฉันเป็นคนไทย?”
“ไม่เคยอ่ะ”
โอโตเมะที่มีสีหน้าประหลายใจปนสงสัยใคร่รู้นั่งจ้องผมตาแป๋ว ผมเลยถือโอกาสระหว่างรอโม้ความสามารถด้านภาษาของตัวเองให้เธอฟังไปพลาง
“…สุดยอด พูดให้ฉันมั่งซิ”
[‘เอาจริงดิ?’]
“…พูดให้ฟังหน่อย”
[‘ยัยนี่… ไปเรียนรู้วิธีพูดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย?’]
“แล้วจะให้ฉันพูดอะไร?”
“ไม่รู้ นายคิดซิ”
ผมบ่นเธอไปเบาๆ แต่โอโตเมะก็แค่นั่งส่งยิ้มกลับมา เห็นแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าจะแกล้งยัยนี่สักหน่อย แต่จะแกล้งอะไรดีที่ไม่ทำให้ยัยนี่โกรธจริงๆ จังๆ
นั่งนึกอยู่พักหนึ่งไอเดียบรรเจิดก็บังเกิดในสมอง
[‘หลอกชมต่อหน้าให้ยัยนี่อายม้วนไปเลยดีกว่า’]
ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ผมหันมาหาโอโตเมะที่นั่งรอเหมือนเด็กๆ รอฟังนิทาน แววตาใสซื่อนั่นทำเอาผมรู้สึกผิดที่คิดจะแกล้งเธอไปวูบหนึ่ง
[‘จะทำการใหญ่ ใจต้องนิ่งเว้ยไอ้เสือ’]
“Today, your dress is very beautiful, and… you are so lovely… lovely very much.”
ไร้ปฏิกิริยาจากโอโตเมะ เด็กน้อยตรงหน้ายังคงทำตาแป๋วกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว
[‘ไม่ไหวไอ้เสือ มาพูดตรงๆ ต่อหน้าแบบนี้มันน่าอายกว่าที่คิดอีกแฮะ’]
เป็นอีกครั้งที่กะว่าจะแกล้งเขาแต่ใจเราสั่นเองเฉย ผมทำได้แค่เอามือปิดหน้าหวังว่าตัวเองจะควบคุมสีหน้าอาการได้ดีพอ แต่เจ้ากรรมตรงหน้าไม่ให้โอกาสผมนัก
“แปลด้วย! เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรแปลให้ฉันเข้าใจด้วย เดี๋ยวนี้เลย”
ไม่ใช่ประโยคออดอ้อนเหมือนตอนขอให้พูด หนนี้ฟังแล้วเหมือนประโยคคำสั่งยังไงชอบกล
[‘เธอแปลคำพูดฉันไปในทางไหนล่ะเนี่ย?’]
คิดว่าโอโตเมะคงจะฟังแล้วแปลผิดไปเลยบอกให้ผมแปลให้ฟังอีกรอบ
ไอ้แปลน่ะมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เมื่อกี้ได้ลองพูดไปแล้วรู้สึกว่ามันน่าอายกว่าที่คิดไว้อีก จะให้มาพูดกันซึ่งหน้าต่อหน้าสาธารณชนหมู่มากในร้านอาหารแบบนี้ก็ออกจะเขินๆ อยู่ไม่น้อย
พอจะเลี่ยงด้วยการบอกว่าบอกไปแล้วตอนที่เจอกัน แม่คุณก็ดันไม่เชื่อซะงั้น แถมยังเข้าใจว่าผมหลอกด่าเป็นภาษาอังกฤษอีก โว๊ะ… ช่างจินตนาการเนาะ
“อยากฟังอีกรอบจริงดิ?”