ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 84 สัปดาห์ที่ 30 โอโตเมะ อามายะ
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 84 สัปดาห์ที่ 30 โอโตเมะ อามายะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
บรรยากาศแห่งการสอบเข้าปกคลุมโรงเรียนฮิบิยะมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มแล้ว บรรดานักเรียนที่หวังอยากจะมีชื่อขึ้นป้ายประกาศต่างก็พยายามกันอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่พวกขาประจำที่มีชื่อขึ้นบอร์ดทุกครั้งอย่างเซริเองที่ปกติดูชิลๆ สบายๆ ก็ยังหยุดงานพิเศษในช่วงสอบด้วย
ส่วนคนที่ไม่คาดหวังอย่างฉันและอีกหลายๆ คนต่างก็ยังถูกบรรยากาศการสอบที่ตึงเครียดเหล่านั้นพาไปจนเผลอตั้งอกตั้งใจอย่างเต็มที่ไปด้วย รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ถูกกลืนหายไปท่ามกลางการแข่งขันที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจเข้าร่วม
ความรู้สึกที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรงในแต่ละวันแต่ก็ยังต้องกลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบวันต่อไปทำเอาฉันรู้สึกว่าร่างกายตัวเองอ่อนปวกเปียกใกล้กลายเป็นสไลม์เข้าไปทุกที
แล้วในที่สุด ช่วงเวลานี้ก็มาถึง สอบวิชาสุดท้ายได้สิ้นสิ้นสุดลง ฉันที่ร่างกายเป็นสไลม์ไปแล้ว 80% ฟื้นคืนชีพขึ้นมาพร้อมกับเสียงเฮของเพื่อนๆ ในห้องอีกหลายคน
เสียงบ่นปนเสียงพูดคุยเรื่องข้อสอบและเสียงหัวเราะเฮฮาดังระงมไปทั่วทั้งห้อง ตัวฉันที่ฟื้นพลังกลับมาแล้วรีบเก็บของก่อนจะไปรวมกับเพื่อนๆ ทันที
แน่นอนว่าวันนี้เรามีมีตติ้งกัน
มีตติ้งที่ว่านี้ความจริงก็คือพวกเราสี่คนนัดกันเมื่อเช้าว่าจะไปเที่ยวกันหลังสอบเสร็จ เป็นการนัดกันแบบฉุกละหุกมาก เนื่องจากเพิ่งนึกได้ว่าเซริหยุดงานพิเศษวันนี้เป็นวันสุดท้าย
ตัวฉันไม่มีงานอะไรเร่งด่วนกับสภานักเรียน พอถามอาโอะจังกับเมกุมิทั้งสองคนก็ว่างพอดี ดังนั้นพวกเราจึงถือวันนี้เป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้ผ่อนคลายกันสักหน่อย
ถึงจะพูดว่าผ่อนคลายแต่จริงๆ แล้วก็แค่การไปเดินเล่นหลังเลิกเรียนกันตามประสาเด็กมัธยมปลายไม่ได้มีเป้าหมายพิเศษ แต่ในใจก็คิดเป้าหมายรองไว้ด้วย
[‘ถือโอกาสสำรวจร้านที่จะเลี้ยงอาคิยามะไปด้วยเลยแล้วกัน’]
พอตกลงกันเรียบร้อยก็เก็บของพากันออกจากห้องเรียน
เพราะเป็นวันที่มีการสอบ ดังนั้นจึงไม่มีการเรียนการสอนตามปกติ จะมีก็แค่บางชมรมที่ยังคงขยันซ้อมกันกับพวกบรรดาสภานักเรียนที่ทำงานกันไม่ต่างจากมดงานเท่าใดนัก บรรดานักเรียนส่วนใหญ่จึงเลือกเส้นทางออกจากโรงเรียนหลังสอบเสร็จเหมือนกับพวกฉันสี่คนในตอนนี้
แต่ชีวิตนี้มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้แต่ในเวลาที่ฉันกำลังเดินอยู่กับเพื่อนๆ ในตอนนี้
จู่ๆ โทรศัพท์เจ้ากรรมที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมา สายเรียกเข้าเป็นคนคุ้นเคยที่ปกติไม่โทรหาฉันเวลานี้
“คะ? แม่”
ฉันรับสายและกรอกเสียงที่คิดว่าใสส่งไปตามสัญญาณโทรศัพท์
“วันนี้ลูกเลิกเรียนเร็วใช่มั้ย? กลับบ้านเลยได้หรือเปล่า? ตำรวจโทรมาน่ะ”
“เอ๊ะ?”
“เรื่องที่ลูกโดนทำร้ายน่ะ ตำรวจจับตัวคนร้ายได้แล้วล่ะ…”
สายถูกวางไปแล้ว แต่ความทรงจำเมื่อคืนวันงานเทศกาลยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่หายไปไหน
“อามายะ? นี่…”
“อ๊ะ! อ่า ว่าไง?”
เซริเรียกฉันที่ยืนมองโทรศัพท์ในมือพร้อมกับจมลงไปในความทรงจำที่น่ากลัวนั่น เห็นเธอและเพื่อนๆ มองมาด้วยสีหน้าเป็นกังวลถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองเผลอแสดงอาการแปลกๆ ออกไป
“เธอโอเคนะ?”
“อะ… โอเค อืมมม… แม่โทรมาน่ะ บอกว่ามีธุระให้รีบกลับบ้าน เพราะงั้นนน…”
“งั้นก็ช่วยไม่ได้นะคะ ไว้เราไปกันวันหลังก็ได้”
“นั่นซินะ ยังไงก็สอบเสร็จแล้ว หลังจากนี้ก็คงมีเวลาว่างมากขึ้นนั่นแหละ”
อาโอะจังและเมกุมิที่เดินเข้ามาสมทบกับเซริพูดแทรกฉันโดยไม่รอฟังคำอธิบาย ทั้งจากสีหน้าและน้ำเสียง พวกเธอไม่ได้ดูไม่พอใจเลย หากแต่แฝงไว้ซึ่งความเป็นห่วงมากกว่า ยิ่งเห็นแบบนั้นฉันก็ยิ่งรู้สึกผิด
เพราะว่า… ฉันไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครนอกจากเซริ
พอหันกลับไปมองเซริเธอก็ยิ้มๆ กลับมาเหมือนเคย ฉันขอโทษทุกคนและขอบคุณที่พวกเธอเข้าใจและไม่เซ้าซี้ถามอะไรมาก เพราะฉันเองก็ไม่อยากโกหก แล้วถ้าจะต้องมาเล่าเรื่องพวกนี้ให้ทั้งสองคนฟังก็คงยุ่งยากด้วย
ฉันแยกกับเพื่อนๆ ที่สถานีก่อนจะมุ่งตรงกลับบ้าน คงเป็นเพราะยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วนถึงได้มีที่นั่ง
ฉันเลือกนั่งตรงตำแหน่งข้างๆ กับประตู ตรงที่ปกติเวลากลับบ้านพร้อมอาคิยามะแล้วเรามักจะมายืนกันตรงนี้ประจำ ตอนนี้ตำแหน่งที่ว่าว่างเปล่า ถ้าเรากลับบ้านพร้อมกันก็คง…
[‘นั่งซิ ว่างขนาดนี้ใครจะยืน’]
คิดไร้สาระแล้วก็หลุดหัวเราะคนเดียวจนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพากันมอง
ว่ากันตามจริงแล้ววันนี้ก็เป็นวันศุกร์ เป็นวันที่อาคิยามะมักจะต้องไปค้างที่บ้านของคุณนาคาจิมะ ถ้าหากว่านัดเจอกับเขาที่สถานีก็จะสามารถกลับบ้านพร้อมกันได้
แต่ช่วงนี้ฉันไม่ได้คุยกับเขาเท่าไรนัก ถ้านับวันกันจริงๆ ก็คงตั้งแต่หลังเหตุร้ายในคืนนั้นที่ทำให้โทรศัพท์ของเขาพังยับชนิดแหลกเป็นชิ้นๆ หลังจากนั้นเราก็ถูกแยกจากกันจนกระทั่งตอนนี้ก็สองสัปดาห์เต็มแล้วที่ฉันไม่ได้เจอกับเขาเลย
เป็นระยะเวลาสองสัปดาห์ที่ไม่ได้พูดคุยแบบเห็นหน้าหรือได้ยินเสียง มีเพียงการส่งข้อความสั้นๆ หากันบ้างเท่านั้น
ฉันรู้ว่าเขาพยายามหลบหน้าไม่อยากเจอกันแต่มันไม่ใช่การหลบหน้าเหมือนตอนที่เขาเข้าใจเรื่องนิโนะมิยะผิด คิดว่าเขาคงจะไม่อยากให้ฉันเห็นเขาในสภาพที่ไม่น่าดูเลยไม่ยอมให้ฉันไปหารวมถึงไม่ยอมมาเจอหน้ากันเท่านั้น
ดังนั้น เรื่องที่จะตอบแทนที่เขาเสี่ยงชีวิตมาช่วยฉันในคืนนั้นล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่ได้ตอบแทนอะไรเขาเลย มีเพียงคำสัญญาที่ว่าหลังสอบเสร็จแล้วจะพาเขาไปเลี้ยงร้านดีๆ
อ่อออ… พอพูดถึงร้านดีๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนที่พ่อกับแม่ซักประวัติของอาคิยามะอยู่นั้นพวกท่านก็พูดถึงเรื่องการเชิญครอบครัวของทางฝั่งอาคิยามะมาบ้านเพื่อเลี้ยงขอบคุณอยู่เหมือนกัน แต่จนกระทั่งตอนนี้แล้วฉันก็ยังไม่ได้บอกเขาเลย
ก็จะให้พูดยังไงในเมื่อครอบครัวของเขาตอนนี้เหลือแค่ตัวเขาคนเดียว ญาติที่รู้สึกว่าจะเป็นทางฝั่งพ่อก็ไม่แลเหลียว อาคิยามะเองก็ตั้งใจจะไม่เกี่ยวข้องด้วยเท่าที่จะทำได้ แล้วจะให้เชิญใครมาล่ะ บ้านนาคาจิมะหรอ… แบบนั้นต้องพูดยังไงล่ะน่ะ
แถมนอกจากเรื่องครอบครัวที่เป็นปัญหา ก็ยังมีเรื่องของเจ้าตัวที่ดูเหมือนพ่อกับแม่ของฉันจะไม่ปลื้มเท่าไรอย่างเรื่องของการเป็นนักเรียนของโรงเรียนอาคิรุได
แม้ว่าฉันจะพยายามอธิบายแล้วแต่คำว่าอคติเนี่ยไม่ใช่อะไรที่จะลบหายไปได้ด้วยคำอธิบายเลย
[‘อยากเจอจะตาย แต่ทำไมถึงมีแต่เรื่องปวดหัวกันนะ?’]
—
“กลับมาแล้วค่ะ”
ฉันเปิดประตูบ้านพร้อมกล่าวทักทายแม่ที่น่าจะอยู่บ้าน ส่วนพ่อคงยังไม่กลับ
“ไปเปลี่ยนชุดซิลูก เดี๋ยวมาคุยกันที่ห้องนั่งเล่นก็แล้วกัน”
น้ำเสียงและสีหน้าของแม่ฟังดูกังวลจนฉันสังเกตได้ หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วฉันจึงมานั่งรอแม่ที่โซฟา
แม่เดินเข้ามาพร้อมเค้กชิ้นเล็กๆ จากร้านประจำแล้วก็น้ำชา ฉันรับของว่างนั้นมาก่อนจะเตรียมใจรับฟังเรื่องราวที่แม่จะพูด
“คือว่าแบบนี้นะลูก…”
แม่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ท่าทางที่ดูเป็นทางการทำให้ฉันเผลอนั่งหลังตรงขึ้นมาทันที
“ทางตำรวจน่ะ…”
ราวสิบนาทีต่อมาเรื่องราวที่แม่เล่าก็จบลง ฉันผู้เตรียมใจมาตั้งแต่ก่อนจะเข้าประตูบ้านรู้สึกเหมือนคนที่คาดหวังกับหนังฟอร์มยักษ์แล้วมันไม่เป็นไปตามที่หวัง
สรุปสั้นๆ ง่ายๆ
ตำรวจโทรมาเมื่อช่วงบ่าย บอกว่าจับตัวคนร้ายอีกคนได้แล้ว อยากให้ฉันไปช่วยยืนยันตัวคนร้าย นัดกันวันพรุ่งนี้ที่สถานีตำรวจตอนเช้า 10 โมงครึ่ง แค่นั้น
ใจความมีแค่นั้นเลย…
“แม่…!! แล้วแม่จะทำท่าตื่นเต้นอะไรคะเนี่ย? หนูก็นึกว่ามีเรื่องอะไรใหญ่โตซะอีก”
“ก็แหม… แม่ไม่ค่อยชินกับการเข้าสถานีตำรวจเลยนินา ที่จริงแค่เข้าใกล้พวกตำรวจก็รู้สึกใจคอไม่ดีแล้วล่ะ”
“แม่เป็นผู้ร้ายหรือไงคะ?”
“ทำไมพูดจาใจร้ายแบบนี้เนี่ย?”
“…”
เฮ้ออ… แม่ฉัน
—
เช้าวันหยุดหลังสอบที่ไม่ได้หยุดของฉันเริ่มต้นด้วยการถูกแม่ปลูกก่อนที่นาฬิกาปลุกจะดัง
แล้วก็แอบหลับต่ออีกเล็กน้อยจนนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ดังขึ้น ฉันจึงได้พาร่างกายอันเหนื่อยล้าออกจากที่นอนอันนุ่มนิ่มได้
หลังจากสะลึมสะลือไปล้างหน้าแปรงฟันจนเรียบร้อยแล้วก็ค่อยลงไปรวมกับพ่อและแม่ที่ห้องครัว
ใช่แล้ว สายวันนี้เราจะไปสถานีตำรวจกัน เพื่อยืนยันตัวคนร้ายที่ตำรวจเพิ่งจับได้ และพูดคุยเรื่องคดีความกันต่อ
เมื่อคืนฉันคุยเรื่องนี้กับอาคิยามะอยู่จนดึก อันที่จริงก็คุยเรื่องอื่นกันด้วยแหละ แต่หัวข้อหลักๆ คือเรื่องนี้ ส่วนหัวข้อรองคือเรื่องที่ที่บ้านของฉันอยากจะเชิญเขากับครอบครัวมาที่บ้าน แล้วก็เรื่องโทรศัพท์ใหม่ที่ฉันคิดว่าควรจะไปซื้อให้เขาใหม่ได้แล้ว แบบนี้ติดต่อยากเหลือเกิน
พ่อที่ปกติวันนี้จะออกไปทำงานเลื่อนชามขนมปัง ไข่ดาว แฮม แล้วก็สลัดง่ายๆ มาให้ฉัน ดูท่าทางแล้วก็เป็นปกติสบายดี
หันไปมองทางแม่เช้านี้นอกจากการปลุกฉันเร็วกว่าปกติแล้วก็ยังไม่เห็นอาการตื่นเต้นอย่างอื่นเหมือนเมื่อวาน สงสัยคงจะทำใจได้บ้างแล้ว
เราสามคนพูดคุยกันระหว่างกินข้าวเกี่ยวกับเรื่องที่เราต้องไปทำที่สถานีตำรวจกันในวันนี้ และก่อนที่ฉันจะเก็บจานไปล้าง พ่อก็ถามเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“อามายะ ลูกโอเคนะ?”
ฉันไม่ได้หันกลับไปมองแต่ก็เข้าใจว่าพ่อถามถึงเรื่องอะไร ถ้าถามว่าใจยังกังวลกับมันมั้ยก็ต้องบอกตรงๆ ว่ายังมีระแวงอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงกับจิตตกอะไร และการที่ต้องไปเจอกับคนที่เคยทำร้ายฉันในวันนี้อย่างมากก็คงแค่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ แต่ว่ามันก็คงไม่ได้มีผลอะไรกับฉันเท่าไรนัก
“หนูโอเคค่ะ พ่อไม่ต้องกังวลหรอก”
ตอบคำถามพ่อไปพร้อมกับล้างจาน จากนั้นจึงแยกตัวไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน
“จะได้เจอหมอนั่นทั้งที แต่งตัวดูดีหน่อยก็แล้วกัน~”
“อาคิยามะคุงน่ะหรอ?”
“อ๊าาา… แม่!! เล่นอะไรเนี่ย ตกใจหมดเลย”
“แม่แค่อยากจะคุยกับลูกเรื่องอาคิยามะคุงน่ะ เลยตามลูกขึ้นมา”
“เรื่องอาคิยามะ?”
” เราไปคุยกันในห้องดีกว่านะ “
แล้วเราสองคนก็พากันเข้ามาในห้องนอนฉัน แม่เดินนำฉันไปนั่งที่เตียงแล้วตบแปะๆ บนเตียงเป็นสัญญาณให้มานั่งข้างๆ กัน
“พ่อกับแม่ไม่ชอบอาคิยามะหรอคะ?”
ฉันถามทันทีที่นั่งลงข้างๆ แม่ มันก็นานมากแล้วที่เราสองคนไม่ได้นั่งคุยปรับความเข้าใจกันแบบนี้
“พ่อกับแม่ไม่ได้รังเกียจหรือไม่ชอบอาคิยามะคุงหรอกนะ ถึงจะยังไม่เคยได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับคนที่เสี่ยงชีวิตตัวเองมาช่วยลูกแล้วเนี่ย จะให้ไปเกลียดเขาได้ยังไง”
แม่ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดต่อ
“แต่ว่านะโอโตเมะ ลูกก็รู้นิว่าโรงเรียนที่เขาเรียนอยู่นั่นน่ะ ขึ้นชื่อเรื่องเด็กเกเรขนาดไหน”
“แต่แม่คะ อาคิยามะไม่ใช่คนไม่ดีนะคะ เขา…”
“แม่รู้จ้ะ แต่ลูกก็ต้องเข้าใจนะว่าสังคมที่เขาอยู่กับสังคมที่ลูกอยู่มันไม่เหมือนกัน ไม่ซิ พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ต้องบอกว่าสังคมในโรงเรียนของเขากับโรงเรียนของลูกไม่เหมือนกัน”
ฉันอ้าปากจะอธิบายให้แม้ฟัง แต่แม่ก็ส่ายหัว
“แม่รู้ว่าเขาเป็นคนดี เพื่อนเขาก็อาจจะดีกับลูก แต่ว่านะ กับคนอื่นล่ะ เขาดีกับทุกคนแบบนี้มั้ย?”
“แม่จะบอกว่าพวกเขาหลอกทำดีกับหนูหรอคะ?”
“แม่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ที่จะบอกก็คือพวกเขาอาจจะไม่ได้ใจดีกับคนอื่นๆ เหมือนกับที่ทำกับลูก พวกเขาอาจจะใช้ความรุนแรงกับคนอื่น หรือใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาเวลาที่ลูกไม่อยู่ด้วย…”
“อาคิยามะไม่ทำแบบนั้นหรอก เขาน่ะ…”
“แล้วลูกจะรู้ได้ยังไงล่ะ?”
“หนู…”
แม้ในใจจะไม่ยอมรับ แต่กลับหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้ ทำไมนะ ทำไมแม่กับพ่อถึงได้มองอาคิยามะเป็นคนไม่ดี ทั้งที่ฉันเองก็อธิบายไปตั้งขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ทำไมกันนะ
แม่ยังคงมองฉันตลอดเวลา ยิ้ม และลูบผมฉันเบาๆ
“แม่กับพ่อคุยกันแล้วว่าถ้าลูกอยากจะคบหาเป็นเพื่อนกับอาคิยามะคุงต่อก็ได้ แต่อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอีกฝ่ายให้มากนัก เราไม่รู้ว่าทางนั้นเขามีปัญหาอะไรหรือมีปัญหากับใคร เพราะถ้าเกิดปัญหามันลุกลามมาจนเราโดนลูกหลงไปด้วยมันก็จะลำบาก”
“แม่กับพ่อเป็นห่วงว่าลูกอาจจะโดนลูกหลงจากพวกเขาเท่านั้นแหละ”
จากนั้นแม่ก็ออกจากห้องไป ทิ้งฉันที่เหมือนสมองโดนเผานอนนิ่งมองเพดานห้องอยู่คนเดียวเงียบๆ
—
ขณะนี้เวลาล่วงเข้าบ่ายสามโมงเย็นแล้ว ฉันที่ตั้งแต่กลับมาจากสถานีตำรวจก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน
หลังระบายความอัดอั้นตันใจกับเพื่อนสนิทอย่างเซริไปยกหนึ่งยาวๆ ก็รู้สึกว่าเรื่องราวหนักๆ หน่วงๆ ในอกมันลดหายลงไปเยอะ
แต่ถึงอย่างนั้นในหัวก็ยังมีเรื่องราวที่ต้องจัดเรียงและย่อยข้อมูลอยู่อีกมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ไปคุยกันที่สถานีตำรวจวันนี้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจ สงสัย หวาดกลัว และรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีไปพร้อมๆ กัน
หลังการยืนยันตัวคนร้ายเรียบร้อย พวกเราก็ถูกเชิญตัวไปอีกห้องหนึ่งเพื่อฟังผลการสอบปากคำคร่าวๆ ของทางตำรวจ ตอนที่ชื่อหนึ่งโผล่ขึ้นมา ฉันถึงกลับเผลออุทานออกมา
– “คนร้ายรับสารภาพว่าผู้ว่าจ้างชื่อ ฮึบิซึ เรกะ…” –
ใบหน้าของเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่เคยมีเรื่องมีราวกับฉันตอนเข้าเรียนช่วงแรกๆ ลอยขึ้นมาในหัว
เธอเคยกลั่นแกล้งฉันกับเซริอยู่ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็เงียบหายไปจนฉันเข้าใจว่าเธอคงเลิกสนใจฉันไปแล้ว
ตอนแรกฉันคิดว่ามันคงบังเอิญ คงเป็นแค่คนชื่อเหมือน แต่ตอนที่ตำรวจบอกว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮิบิซึพุ่งเป้ามาที่ฉัน
ไม่ใช่แค่ฉัน แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกใจ แล้วเรื่องราวที่ฉันเคยคิดว่ามันคือหนังเกรดบีก็ถูกบรรยายให้ฟังอีกครั้ง
– “…ก่อนหน้านี้คนร้ายกลุ่มนี้เคยว่ารับการว่าจ้างในลักษณะนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลุ่มคนร้ายเห็นว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยเลยไม่สนใจเพียงแต่รับเงินมาและได้ไปจ้างวานคนอื่นอีกต่อหนึ่ง…” –
สมองของฉันเหมือนจะประมวลผลไม่ทัน รู้แค่คำว่าโชคดีที่แม่พูดพร้อมกับกอดฉันไปด้วยนั่นฉันเห็นด้วยกับมันสุดๆ ไปเลย
– “หลังจากนี้เราจะเรียกตัวผู้ที่ถูกกล่าวหามาสอบปากคำและขยายผลเพิ่มเติม ถ้าได้เรื่องยังไงเราจะแจ้งไปอีกครั้งครับ” –
จากที่คิดว่าเรื่องจะจบกลายเป็นว่ายังไม่จบง่ายๆ เพราะตำรวจย้ำเตือนให้ฉันคอยระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน แผนที่วางไว้ว่าหลังจากออกจากสถานีตำรวจแล้วจะไปเดินซื้อโทรศัพท์กับอาคิยามะจึงถูกพ่อกับแม่เบรกไว้เป็นอันต้องล่มไป
อารมณ์ไม่ดีเพราะแผนล่มก็เรื่องนึงแล้ว พอคิดถึงเรื่องที่อาคิยามะโกหกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมากทั้งที่ต้องใช้ไม้ค้ำคู่อยู่ถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มแล้วก็พาอารมณ์เสียปนน้อยใจขึ้นมาอีก
“มันน่าบิดให้เนื้อเขียวนัก”
ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบ่นเขาอยู่บนที่นอนแต่ใจจริงก็อดรู้สึกผิดต่อเขาไม่ได้
ทั้งที่น่าจะคิดได้แท้ๆ ว่าเขาจะหลอกให้ฉันสบายใจ
รู้ทั้งรู้ว่าหมอนั่นพยายามหลบหน้ากันขนาดนั้นแท้ๆ
แต่ตัวฉันกลับไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อย…
[‘รู้สึกแย่ชะมัดเลย’]