ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 72 สัปดาห์ที่ 28 โอโตเมะ อามายะ (3)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 72 สัปดาห์ที่ 28 โอโตเมะ อามายะ (3)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ความวุ่นวายเริ่มขึ้นตั้งแต่ลืมตาตื่นนอน คณะกรรมการจัดงานวัฒนธรรมโรงเรียนต่างตื่นขึ้นมาทำงานกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ฉันที่เดิมทีนอนหลับไม่สนิทเพราะรู้สึกผิดที่ผิดทางจึงลุกขึ้นมาจัดการตัวเองเรียบร้อยก่อนเวลาเปิดประตูโรงเรียนเสียอีก
คุณทาเคโนะอุจิ ไม่ซิ ต้องเรียกว่ายูบิจังเองก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน เราเก็บที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะมาเตรียมพร้อมรอการประชุมเช้าก่อนเริ่มงาน
ในที่ประชุมรองประธานแจกแจงงานอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศที่จริงจัง
หลายคนมีสภาพเหมือนคนนอนไม่พอรวมถึงประธานด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจลดดีกรีความร้อนแรงของผู้คนที่ตั้งตารอวันนี้ลงได้
“ขอให้ตั้งใจให้เต็มที่ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วคืนนี้เรามาฉลองรอบกองไฟกัน”
“เฮ!!!…”
สิ้นเสียงเฮปลุกใจ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่ของตัวเอง ฉันกับยูบิจังและกรรมการจัดงานอีกสามคนแยกย้ายกันไปตามห้องเรียนและสถานที่จัดงานในโรงเรียนต่างๆ หน้าที่แรกของเราคือการตรวจสอบและประสานงานกับบรรดาห้องเรียนต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลความพร้อมรวมถึงสิ่งผิดปกติต่างๆ ส่งไปให้ทางฝ่ายตรวจสอบกิจกรรมดำเนินการต่อ
ฉันวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งตึกเรียน สนาม และโรงยิม แม้หลายๆ ส่วนจะดำเนินการแล้วเสร็จเรียบร้อย แต่หลายส่วนก็ยังคงมีปัญหาให้คอยแก้ ทั้งฉันและยูบิจังซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางจึงไม่ได้พักเลยจนกระทั่งเสียงตามสายประกาศเริ่มงานดังขึ้น
ฉันกับยูบิจังแยกกันกลับไปห้องของตัวเอง เราทั้งคู่ต่างลงกะช่วยงานของห้องเป็นช่วงเวลาสั้นๆ คนละประมาณ 1 ชั่วโมง ในช่วงเริ่มงานที่คนทยอยๆ เข้ามา หลังจากนั้นก็จะไปเดินตรวจตราและคอยประสานงานให้กับภาคส่วนต่างๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
ทันทีที่มาถึงห้อง สิ่งที่เห็นคือป้ายร้านที่พวกผู้ชายช่วยกันทำขึ้น
“ไทโซ ทาโกะยากิ”
มองเข้าไปในห้องคือสภาพห้องเรียนที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นร้านทาโกะยากิย้อนยุค ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ รวมถึงประตู หน้าต่าง ผนัง ถูกตกแต่งให้เป็นโทนย้อนยุค
เพื่อนๆ หลายคนเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมพร้อมสำหรับงานวัฒนธรรมครั้งแรกในชีวิตเด็ก ม.ปลายด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
ฉันที่เพิ่งโผล่หน้าเข้าไปหันไปสบตากับหัวหน้าห้องเข้า เธอเดินมาลากฉันไปอีกห้อง พร้อมกับเอาชุดที่เตรียมไว้ออกมาให้
มองชุดแล้วก็มองหัวหน้าห้องที่ยังยืนอยู่ไม่ยอมไปไหน
“มาค่ะ เดี๋ยวฉันช่วยแต่งตัวให้”
แล้วฉันก็ถูกจับแต่งตัวด้วยชุดที่เรียกว่าอะไรก็ไม่แน่ใจนัก
ท่อนบนเป็นชุดกิโมโน ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงฮากามะ สวมรองเท้าบูตหุ้มข้อแบบพวกทหารหญิง เหมือนเป็นการคอสเพลย์ที่เอาหลายๆ วัฒนธรรมมามิกซ์กัน ออกมาเป็นการผสมผสานที่แปลกตาแต่ว่าก็ดูดีไม่น้อย
“คุณโอโตเมะนี่แต่งชุดนี้ขึ้นนะคะ”
หัวหน้าห้องชมฉันที่ยืนให้เธอช่วยแต่งตัว เราหัวเราะคิกคักกันเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับมาช่วยงานที่ห้อง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกผู้ชายเพิ่งจะกลับมาพอดี
“โอ้… ว๊าววว…”
เสียงสาวๆ ทั้งในห้องนอกห้อง ดังขึ้นราวกับนัดกันไว้ พอมองดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะสาเหตุของเสียงวู้ว้าวนั่นยืนกันอยู่หน้าประตูทางเข้านั่นเอง
นิโนะมิยะ เรียว และผองเพื่อนของเขา
เสื้อกิโมโนโทนสีอ่อนตัดกับกางเกงฮากามะสีเข้ม สวมรองเท้าทหารแบบที่เห็นพวกทหารในหนังใส่กัน บนไหล่มีผ้าคลุมที่ผูกไว้หลวมๆ ตรงบริเวณคอ แถมที่แขนยังเหน็บหมวกไว้อีก
หล่อ… เป็นคำเดียวที่ฉันนึกออกในตอนนั้น
ไม่ใช่แค่นิโนะมิยะ แต่เพื่อนๆ ของเขาก็ดูดี อาซาวะให้บรรยากาศสบายๆ ตามสไตล์หนุ่มนักกีฬาที่เข้ากับคนง่าย ยามาโมโต้เป็นสไตล์ลูกคุณหนูผู้มีอัธยาศัยดีดูแล้วก็นึกถึงโกลเด้นรีทีฟเวอร์อยู่หน่อยๆ มองแล้วเพลินตา อุริวเป็นสไตล์หนุ่มสุขุม นิ่งเงียบ ดูพึ่งพาได้ ส่วนคนสุดท้าย นิโนะมิยะ อธิบายได้ด้วยประโยคเดียวว่า หล่อจนมองตรงๆ ไม่ได้
คนแรกที่เข้ามาทักฉันคือยามาโมโต้ ดูเขาอารมณ์ดีและเป็นมิตรตลอดเวลา ฉันถึงได้บอกว่าบางครั้งเขาก็คล้ายๆ โกลเด้นรีทีฟเวอร์อยู่หน่อยๆ
จากนั้นคนอื่นๆ ก็เข้ามาคุยกับฉัน ก่อนที่หัวหน้าจะสั่งให้แยกย้ายกันไปทำงาน
[‘โดนหัวหน้าห้องใช้ให้เดินเรียกลูกค้ากันแต่เช้าเลยนะเนี่ย’]
อดสงสารพวกเขานิดหน่อยไม่ได้ ยิ่งเห็นยามาโมโต้บ่นเหมือนเด็กโดนพ่อแม่ใช้ให้ช่วยงานบ้านตอนกำลังดูการ์ตูนโปรดขณะที่รับป้ายชื่อร้านไปแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร
“จริงซิ คุณโอโตเมะ ตอนบ่ายไปเดินเที่ยวงานด้วยกันมั้ย?”
นิโนะมิยะถามฉันขณะที่ฉันกำลังจะเดินเข้าห้อง ฉันหันไปมองเขา ยังไม่ทันได้ตอบอะไร อาซาวะก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“นั่นซิ ไปด้วยมั้ย เดินกันหลายๆ คนสนุกดีนะ”
“จริงด้วย ไปด้วยกันนะโอโตเมะจัง เดี๋ยวฉันไปชวนอาโออิจังกับคนอื่นๆ ไปด้วย น่าสนุกเนอะ”
ยามาโมโต้สรุปปิดประตูปฏิเสธของฉันไปเรียบร้อย แต่จะรับปากเลยก็ไม่กล้า ฉันเลยตอบเลี่ยงๆ ไปก่อนว่าถ้าไม่ติดงานคณะกรรมการก็จะไปด้วย
หลังจากนั้นการทำงานเพื่อห้องเรียนก็เริ่มขึ้น จากตอนแรกที่คิดว่าชั่วโมงแรกคนจะไม่เยอะเท่าไร ที่ไหนได้ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงลูกค้าก็มากันเต็มร้าน แถมส่วนใหญ่เป็นลูกค้าผู้หญิงมากกว่าครึ่ง
แน่นอนว่านี่เป็นผลจากการทำงานหนักของพวกนิโนะมิยะที่ตอนนี้น่าจะกำลังเดินอยู่ตรงไหนสักแห่งในโรงเรียนแน่ๆ
เมนูในร้านนอกจากทาโกะยากิแล้วก็ยังมีเมนูน้ำง่ายๆ ที่ทำไม่ยากอยู่อีกสองสามเมนู ซึ่งทีมงานหลังร้านคัดสรรและเลือกกันมาอย่างดีแล้วว่ามันเหมาะกับการกินพร้อมทาโกะยากิอย่างยิ่ง
ฉันและเพื่อนๆ อีกสี่คน ตอนนี้กำลังเดินรับออเดอร์และเสิร์ฟทาโกะยากิกันหัวหมุนจนลืมดูเวลา
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยืนเสียงฮือฮาจากหน้าร้าน พอหันไปมองก็เห็นต้นตอที่ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่มาที่ร้านเรากำลังเดินอยู่ข้างนอก
“เปลี่ยนกะแล้วคุณโอโตเมะ ขอบคุณที่มาช่วยนะ”
หัวหน้าห้องเดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับป้ายแนะนำร้านในมือ เธอบอกให้ฉันเปลี่ยนกะได้ พร้อมกับส่งป้ายที่เมื่อเช้าเธอส่งให้พวกนิโนะมิยะไป
“หลังจากนี้ก็ฝากด้วยนะ”
[‘อาาา… หัวหน้าห้องนี่เคี่ยวชะมัด’]
รับป้ายมาแล้วก็เดินออกจากห้องเรียน พอดูเวลาจากโทรศัพท์ก็พบว่าตอนนี้ 10 โมงเข้าไปแล้ว
“หมอนั่นมาหรือยังนะ?”
เดินไปตามระเบียงทางเดินพลางลองมองไปรอบๆ เผื่อว่าจะเจอคนคุ้นหน้าที่นึกถึงอยู่บ้าง
เพราะเมื่อวานไม่ได้คุยกันเลยไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะมาตอนไหน จะมาพร้อมเพื่อนๆ หรือว่าจะมาพร้อมคุณนาคาจิมะ หรืออาจจะมาพร้อมกันทั้งหมดเลยก็เป็นได้ แต่มาถึงแล้วก็คงจะแยกไปเดินกับเพื่อนๆ เพราะคุณนาคาจิมะต้องไปเดินเที่ยวกับรุ่นพี่คาวากุจิแน่ๆ
พิมพ์ข้อความส่งไปถามเสร็จก็ตั้งใจว่าจะไปหาของกินรองท้องซะหน่อย เมื่อเช้าเห็นหมดแล้วว่าตรงไหนขายอะไรบ้าง แต่ยังเดินไปได้ไม่ถึงไหน งานก็เข้าซะก่อน
“โอโตเมะ ช่วยไปดูที่สนามให้หน่อยซิ เหมือนทางนั้นจะมีปัญหา เช็กให้ทีว่ามีอะไรแล้วประสานงานส่งต่อคนที่รับผิดชอบเลย”
เสียงที่ส่งมาตามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้วดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์คือเสียงของประธาน แน่นอนว่าย่อมเป็นคำสั่งงานที่เลี่ยงไม่ได้ ฉันรับคำก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปที่สนามทันที
ระหว่างทางก็พยายามมองหาไปด้วยแต่ก็ไม่เจอใครเลย ทั้งอาคิยามะ ทั้งเพื่อนๆ ของเขา ไม่เห็นแม้แต่รุ่นพี่คาวากุจิกับคุณนาคาจิมะ รวมถึงบรรดารุ่นน้องที่ฉันเอาบัตรเข้างานให้ไปด้วย
ไม่เจอใครสักคนที่รับบัตรเข้างานจากฉันไป
แอบรู้สึกเหงานิดๆ ที่ไม่เจอคนที่เราอยากให้มางานเลย เริ่มตั้งแต่พ่อกับแม่ที่พอบอกว่าปีนี้ได้เป็นกรรมการจัดงานอาจจะไม่ได้อยู่ต้อนรับมากนัก ทั้งคู่ก็เลยตัดสินใจไปทำธุระที่เมืองข้างๆ แล้วจะถือโอกาสค้างกับพี่ซะเลย สรุปคือไม่ได้มาทั้งคู่ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่รู้มากันหรือยัง
[‘แล้วถ้าเกิดไม่มีใครมาเลยล่ะ? แบบนี้ก็เสียบัตรฟรีๆ เลยน่ะซิ’]
ความรู้สึกเสียดายบัตรผสมปนเปไปกับความรู้สึกเหงาที่ไม่มีใครมา จนกระทั่งฉันมาถึงสนามและเริ่มทำงานที่ได้รับมอบหมาย
—
พักกลางวัน ทางโรงเรียนประกาศให้ทุกกิจกรรมมีเวลาพักประมาณ 1 ชั่วโมง แน่นอนว่านี่คือช่วงเวลาพักของคณะกรรมการจัดงานด้วย
ฉันกับยูบิจังและคุณซาโต้นั่งกินข้าวด้วยกัน แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาก็หนีไม่พ้นการบ่นเรื่องงานที่ทำเอาวุ่นวายเมื่อเช้านี้
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทั้งฉันกับยูบิจังถูกเรียกให้ไปแก้ปัญหาเรื่องเครื่องเสียงที่โรงยิม ทั้งๆ ที่มีฝ่ายจัดงานคอยดูแลที่นั่นอยู่แล้ว คิดแล้วก็เคืองๆ ที่ต้องเดินฟรีไปโดยเปล่าประโยชน์
แต่ที่เคืองมากกว่าก็คือไอ้คนที่ไม่ยอมอ่านและไม่ยอมตอบข้อความที่ส่งไปจนตอนนี้
[‘ไอ้เจ้าบ้าอาคิยามะ คิดจะหลบหน้ากันจริงๆ ซินะ แล้วตอนแรกจะมาขอบัตรกันทำเพื่อ?’]
เมื่อช่วงเช้า หลังจากเดินตะลอนไปจนทั่วโรงเรียนฉันก็ได้เจอกับทุกคนที่มางานโดยใช้บัตรเชิญที่ได้จากฉันไป
เริ่มจากรุ่นน้องทั้งสองคนที่เข้ามาทักตอนที่ฉันกำลังซื้อขนมกินอยู่ ต่อมาก็เจอเพื่อนๆ ของอาคิยามะทั้งสามคนที่ร้องทักฉันด้วยคำว่าคุณแฟนเจ้าเออิชินี่นา ทำเอาต้องเก๊กหน้าจนแก้มกระตุก พอถามถึงอาคิยามะพวกเขาก็ทำหน้างงๆ บอกว่าน่าจะมาแล้ว คุยกันล่าสุดบอกว่าจะมาพร้อมรุ่นพี่นาคาจิมะ
สุดท้ายพอมาเจอคุณนาคาจิมะที่กำลังหวานได้ที่กับรุ่นพี่คาวากุจิ ก็ได้คำตอบมาว่า
– “มารุหรอ? ก็มาพร้อมกันนี่แหละ แต่หายไปตอนไหนก็ไม่รู้” –
สรุปคือมาแล้ว แต่ไม่ติดต่อมา หรือคิดว่าไม่จำเป็นต้องติดต่อกันนะ อ๊าา… ทำฉันคิดมากนะเจ้าบ้านี่
“จะว่าไปแล้วนะ เมื่อเช้านี้มีคนได้รางวัลใหญ่ของพวกปี 3 ไปด้วยแหละ รู้สึกจะเป็นกิจกรรมตอบคำถามล่ะมั้ง ทำเอาห้องพวกรุ่นพี่เซ็งกันเลยแหละ”
คุณซาโต้ที่อยู่ข้างๆ ยูบิจังเล่าเรื่องที่มีคนชิงรางวัลใหญ่ได้แต่เช้าให้ฟัง
ความจริงแล้วการที่มีคนชิงรางวัลใหญ่ได้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแต่ครั้งนี้พวกรุ่นพี่เป็นคนไปเชิญคนๆ นั้นให้เข้ามาร่วมเล่นโดยหวังจะให้ช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมของตนเอง แต่ไปๆ มาๆ ตัวเองกลับต้องเสียของรางวัลใหญ่ไปแต่หัววัน ทำให้ไม่มีรางวัลใหญ่มาล่อคนให้เข้ามาเล่นกิจกรรมในช่วงเวลาที่เหลือ
ฟังคร่าวๆ แล้วก็รู้สึกเหมือนพวกรุ่นพี่หาเหาใส่หัวตัวเอง แต่คิดอีกทีใครมันจะไปรู้ล่วงหน้าว่าคนที่ตัวเองเลือกมาสุ่มๆ มันจะเก่งถึงขนาดชิงรางวัลใหญ่ไปได้
แถมกิจกรรมที่ว่ายังเป็นกิจกรรมตอบคำถามที่ใครๆ ก็รู้ว่ายากนักกว่าจะได้รางวัลแต่ละชิ้นมา
“เป็นใครกันล่ะนั่น พวกอาจารย์แอบมาเล่นเองหรือเปล่า?”
“ไม่นะ เห็นว่าเป็นเด็ก ม.ปลายนี่แหละ แต่เป็นพวกแปลกๆ ใส่หน้ากากจิ้งจอกมาเล่นด้วย คุณโอโตเมะว่าแปลกมั้ยล่ะ?”
“ก็จริงนะ คนปกติใครเขาจะทำแบบนั้นกัน”
“เนอะ แต่ก็มีคนบอกว่าตอนถอดหน้ากากแล้วหล่ออยู่นะ”
“อะไรกัน ผู้ชายหรอ? ไม่น่าเชื่อเลยแฮะ อ๊ะ…”
จู่ๆ ยูบิจังก็ทำเกี๊ยวที่คีบอยู่หล่น โชคดีที่หล่นใส่ชามตัวเองเลยไม่อดกิน แต่น้ำซุปในชามก็กระเด็นออกมาเลอะแขนเสื้ออยู่ดี
“อ๊ะ!! ขอโทษทีนะ”
ยูบิจังล้วงทิชชูออกมาเช็ดคราบน้ำซุปให้ฉันกับคุณซาโต้ก่อนจะเช็ดเสื้อของตัวเอง
“มีอะไรหรอ? ดูเหม่อๆ”
ฉันถามเธอที่กำลังเช็ดคราบน้ำซุปที่กระเด็นไปโดนเสื้อเป็นจุด ยูบิจังเงยหน้ามามองฉันก่อนจะยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอก มันลื่นเฉยๆ น่ะ จริงซิ คนที่ได้รางวัลนั่นดูเป็นยังไงหรอ?”
ครึ่งประโยคแรกตอบคำถามของฉัน ส่วนครึ่งประโยคหลังยูบิจังหันไปถามคุณซาโต้
“เอ๋… คุณทาเคโนะอุจิก็สนใจเรื่องผู้ชายด้วยเหมือนกันหรอเนี่ย? ฮ่าๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เห็นเขาว่าตัวสูงๆ น่ะ ลักษณะเหมือนพวกเล่นกีฬากลางแจ้งหรือไงนี่แหละ”
“อ่ออ…”
“อะไรกัน คุณทาเคโนะอุจิรู้จักหรอ?”
“เอ๊ะ? อ่อ เปล่าหรอก”
คุณซาโต้พูดว่างั้นหรอแล้วกลับไปสนใจเกี๊ยวของตัวเองต่อ ฉันที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ถ้ามองไม่ผิด เมื่อกี้เหมือนจะเห็นยูบิจังยิ้มนิดๆ แค่ที่มุมปากเท่านั้น คุณซาโต้ที่นั่งอีกฝั่งคงไม่ได้สังเกต