ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 66 สัปดาห์ที่ 26 โอโตเมะ อามายะ (2)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 66 สัปดาห์ที่ 26 โอโตเมะ อามายะ (2)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
“วันนี้ได้คุยกันหรือยัง?”
“คุยแล้ว”
“โทรคุยกันหรอ?”
“เปล่า ส่งข้อความคุย…”
อ๊าาาา…
สุดท้ายฉันก็โดนเซริซักฟอกจนหมดไส้หมดพุง ทั้งเรื่องไปเที่ยวงานเทศกาลด้วยกันตอนปิดเทอม เรื่องที่คุยกันทุกวัน เรื่องที่ทำข้าวกล่องไปให้ตามที่เขาขอ เรื่องที่ไม่พอใจที่เขาคุยสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่น เรื่องที่ลองชวนเขามางานวัฒนธรรมแบบอ้อมๆ แล้วถูกปฏิเสธด้วยการโกหกที่ไม่เนียน (ถึงจะมาขอโทษทีหลังก็เถอะ) แล้วก็อีกหลายๆ เรื่อง ยกเว้นเรื่องเพียงเรื่องที่เขาเล่าให้ฉันฟังบนก้อนหินที่เรานั่งดูดอกไม้ไฟนั่นที่ฉันไม่ได้พูดออกไป
พอฟังจบเซริก็สรุปให้ฉันฟังสั้นๆ ว่า
“อาการหนักนะเธอเนี่ย”
เมื่อคุณหมอเซริวินิจฉัยมาแบบนั้นฉันก็ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงเลยได้แต่รักษาความสัมพันธ์ที่มีตอนนี้เอาไว้
“งั้นลองไปชวนเขามางานโรงเรียนเราอีกรอบ หนนี้ชวนนะ ไม่ใช่ถามว่าอยากมามั้ย แล้วก็ต้องชวนต่อหน้าด้วย ถ้าเขาปฏิเสธอีกก็ปล่อยไป แต่ถ้าเขายินดีมาแบบนี้ก็หวังได้อยู่”
“เดี๋ยวจะลองดู…”
หลังวางสายจากเซริแล้วฉันก็เปิดหน้าจอแชทที่เพิ่งตอบไปเมื่อหัวค่ำขึ้นมา แชทของเจ้าหมอน
ข้อความที่พิมพ์ตอบกันขึ้นอยู่บนหน้าจอ ฉันไล่อ่านข้อความเก่าๆ ที่เคยคุยกัน
เป็นเรื่องเรื่อยเปื่อยไร้สาระ กวนประสาทแล้วก็ด่ากันไปมา เหมือนเพื่อนมากกว่าจะเป็นคนที่มีความรู้สึกพิเศษให้กัน
อาา… จะว่าไปเราก็ยังไม่เคยถามเขาเลยว่าเขาเห็นเราเป็นเพื่อนหรือเปล่า
ถ้าไม่… การพูดคุยกันทุกวันแบบนี้เขาจะโอเคมั้ย
คิดดูดีๆ แล้วฉันก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย เขาเรียนประถมที่ไหน จบ ม.ต้นที่ไหนมา ชีวิตที่ผ่านมาเป็นยังไง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร…
อาา… ทั้งที่ฉันคิดเกี่ยวกับเขามากขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาคิดกับฉันยังไง
ฉันเริ่มพิมพ์ข้อความลงในช่องแชท…
[‘ดึกแบบนี้ เขาต้องบ่นฉันแน่ๆ’]
นิ้วมือยังขยับยุกยิกไปตามตัวอักษร…
[‘ถ้าจริงๆ แล้วเขาแค่คุยกับฉันตามมารยาทล่ะ?’]
นิ้วมือกดลบข้อความที่พิมพ์พลาด…
[‘ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นค่อยไปถามเซริอีกที’]
กดส่งไปแล้ว เวลาส่งคือ 00.18 น.
[‘เรียบร้อย… นอนดีกว่าเรา’]
ตรึ๊ง…
จอโทรศัพท์สว่างวาบ
[ไม่รู้หรือไงว่าการนอนดึกเป็นศัตรูของสตรีน่ะ]
[‘นั่นไง บ่นกันอ้อมๆ จริงๆ ด้วย’]
ตรึ๊ง…
[เธอกลับบ้านกี่โมง?]
[‘เอ๊ะ? ทำไมถามเวลากลับบ้านล่ะ?’]
ฉันเปิดหน้าต่างแชท ข้อความที่ส่งไปปรากฏขึ้นบนหน้าจอ คำว่าอ่านแล้วขึ้นอยู่ข้างๆ ข้อความนั้น
ถ้าหมอนั่นดูอยู่ เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าฉันเปิดอ่าน
[‘ต้องรีบพิมพ์ตอบ’]
[น่าจะราวๆ 6 โมงเย็น]
ฟรึ่บ…
[เดี๋ยวฉันรอที่สถานี]
[‘เอ๊ะ? จะมาหรอ? มาจริงๆ ซินะ’]
[โอเค]
ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้ว ฉันมองแชทอยู่พักนึงก่อนวางโทรศัพท์ลง ไม่ได้มีข้อความใดๆ ถูกส่งมาอีก แต่ความตั้งใจของฉันก็บรรลุผลแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยพูดกันต่อหน้าอีกที สำหรับตอนนี้ แค่นี้ก็ดีแล้ว…
ทั้งที่ก่อนนอนเมื่อคืนตั้งใจไว้แบบนั้น แต่พอถึงเวลาจริงกลับเป็นอีกเรื่อง ตอนนี้เกือบๆ 6 โมงครึ่งแล้ว แต่ฉันเพิ่งจะออกจากโรงเรียน
ใครจะไปคิดว่างานวันนี้จะมีปัญหาเอาช่วงตอนใกล้จะกลับบ้าน ทั้งที่เมื่อตอนกลางวันนัดอาคิยามะไว้แล้วว่าเจอกันที่สถานีตอน 6 โมงเย็น แต่กลับต้องขอเลื่อนนัดกะทันหัน รู้สึกผิดที่ต้องให้หมอนั่นรีบออกมารอเก้อสุดๆ
“อ้าว คุณโอโตเมะ กลับพร้อมกันมั้ย?”
นิโนะมิยะที่ยืนอยู่หน้าโรงเรียนทักฉันทันทีที่ฉันเดินถึงหน้าประตู
“โทษทีนะ วันนี้มีนัดน่ะ ไว้เจอกันนะ”
พูดจบฉันก็รีบเดินจ้ำไปทันที ไม่ได้สนใจว่านิโนะมิยะเขาพูดว่าอะไรอีกหรือเปล่า
ความจริงฉันก็สงสัยมาสักพักแล้วว่าทำไมบางครั้งนิโนะมิยะถึงกลับบ้านทางเดียวกับฉันทั้งที่เมื่อก่อนบ้านเขาเดินไปอีกทาง
และถึงเราจะขึ้นรถไฟแยกกันแต่ก็เดินมาถึงสถานีด้วยกันบ่อยๆ หรือว่าจริงๆ แล้วเขาแค่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ต่อกันนะ
คิดแค่นั้นแล้วก็โยนความสงสัยทิ้งไป พิจารณาแล้วว่าเดินไปมันช้า วิ่งเอาเลยก็แล้วกัน
กว่าจะถึงก็เล่นเอาลิ้นแทบห้อย รู้อย่างนี้ตั้งใจเรียนในคาบพละให้มากกว่านี้ก็ดีหรอก
ฉันพักปรับลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินหาอาคิยามะ มองหาไม่นานก็เห็นเขายืนเล่นโทรศัพท์มือนึงล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตมีหูฟังเสียบอยู่ในหู บนหลังยังมีเป้ที่ฉันเคยเห็นคราวก่อนกับกระเป๋าหนังสือสะพายไว้ที่ไหล่ข้างนึง
ฉันเดินตรงเข้าไปหา หยุดยืนดูเขา อืมมม… ตัวสูงจริงๆ แฮะ
ฉันยืนพิจารณาอาคิยามะอยู่ครู่หนึ่งก็เหมือนเขาจะรู้ตัว เขาทักทายฉันพร้อมกับเก็บหูฟังลงกระเป๋า ไร้สีหน้าที่บ่งบอกถึงอาการรำคาญหรืออารมณ์เสียที่ต้องมารอ เห็นแล้วความรู้สึกผิดพุ่งปรี๊ดทะลุปรอท
“ขอโทษที่ให้รอนะ”
อาาา… จังหวะนี้ทำได้แค่ยอมรับผิดเท่านั้นแหละ ฉันก้มหัวขอโทษทันทีที่เขาทักทายฉัน มันเลยดูเหมือนฉันทักทายเขากลับด้วยคำขอโทษ
“ช่างเถอะ ไม่ได้นานอะไรขนาดนั้น ว่าแต่เธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันล่ะ?”
อาคิยามะเข้าประเด็นทันทีโดยไม่ยอมเสียเวลา ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากรีบคุยรีบไปหรอกนะ แต่เหมือนว่าเขาจะเป็นพวกที่ไม่ชอบอะไรเวิ่นเว้อจนบางทีก็คิดเร็วทำเร็วจนฉันตามไม่ทัน เรียกว่าเป็นข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน
“อืมม… เดินไปคุยไปได้มั้ย?”
แล้วเราก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะชวนเขาไปงานวัฒนธรรมที่โรงเรียน แต่หัวข้อมันกลับเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่โรงเรียนแทนซะงั้น รู้ตัวอีกทีก็ยืนบนรถไฟกับเขาแล้ว
อาคิยามะยังคงยืนด้านนอกเหมือนเดิม ทุกครั้งที่คนเยอะ เขาจะดันฉันเข้าไปด้านผนังแล้วเอาตัวเองมายืนบังฉันไว้อีกที เป็นมุมสุภาพบุรุษเล็กๆ น้อยๆ ที่ปกติเขาไม่ค่อยจะแสดงออกมาให้เห็นนัก
“อารมณ์ดีอะไรของเธอ?”
“ป่าววว…”
“งั้นยืนยิ้มอยู่คนเดียวเนี่ยมันคืออะไร ไม่ได้กินยามาหรอ? ~”
“อยากตายใช่มั้ย?”
คำพูดไม่ค่อยจะถนอมน้ำจิตน้ำใจ แต่ยิ้มที่ระบายบนใบหน้าตลอดเวลาที่พูดนั้นทำให้รู้ว่ามันคือการล้อเล่น
ก็นั่นแหละ อาคิยามะติดนิสัยขี้แกล้ง ชอบล้อเล่น แถมยังปากหมาด้วย
แน่นอนว่าฉันก็สวนกลับไปแบบเจ็บแสบไม่แพ้กัน เพราะงั้นจะไปว่าเขาไม่ได้ จุ๊ๆๆ
“ว่าแต่เธอนัดฉันมานี่ตกลงมีเรื่องอะไร คงไม่ได้นัดให้ไปส่งบ้านหรอกใช่มั้ย?”
พอเขาพูดก็นึกได้ว่ายังไม่คุยเรื่องที่ตั้งใจเลยนี่นา แต่ว่าขอก่อนสักนิดเหอะ… หมั่นไส้
“ทำไม? ถ้าให้ไปส่งบ้านที่บ้านนายจะไม่ไปว่างั้น?”
[‘หึๆ ขอสักหน่อยเหอะ ถามดีๆ ไม่ค่อยจะได้ มีแถมตลอด’]
“ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“ฮึ…”
“ตกลงแค่จะให้ฉันไปส่งบ้านจริงๆ ดิ?”
“บ้า แค่บ้านฉันกลับเองได้หรอกน่า ฉันจะถามว่านายจะมางานวัฒนธรรมที่โรงเรียนฉันมั้ย?”
ได้เห็นอาคิยามะทำตาโตเหมือนประหลาดใจแล้วแปลกตาดี ปกติชอบทำหน้านิ่งๆ ฉันเลยชอบดูเขาแสดงสีหน้าแบบต่างๆ
“พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็มีเรื่องจะรบกวนเธออีกหน่อย”
“รบกวน?”
“อือ… คือ เธอพอจะหาบัตรเข้ามาให้ฉันได้มั่งมั้ย?”
“เอ๊ะ? นายจะมาหรอ?”
“อ้าว ไปไม่ได้หรอ?”
เพราะไม่คิดว่าอาคิยามะจะให้ช่วยหาบัตรเข้างานเลยเผลอพูดแปลกๆ ออกไป แต่ไม่เป็นไร ได้เห็นเขาเอียงคอสงสัยก็ถือว่าคุ้มอยู่
“มาได้!! มาได้สิ เรื่องบัตรเข้ามาเดี๋ยวฉันจัดการให้ โควตาของฉันยังเหลืออีกใบนึง”
[‘เรียบร้อย! ชวนเขาเรียบร้อย ภารกิจเสร็จสิ้นเรียบร้อย ><’]
มัวแต่ดีใจจนลืมสังเกตอาคิยามะ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาพูดว่ามันยังมีปัญหาอยู่
“คือ… พวกเพื่อนฉันอยากมาด้วยน่ะ เจ้าสามคนนั้นน่ะ เธอพอจะมีช่องทางหาบัตรเข้างานให้เจ้าพวกนั้นได้มั้ย? เอ่ออ… ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องฝืน เดี๋ยวพวกฉันลองหาทางดูอีกที”
ไม่ใช่ว่ามีปัญหาและจะไม่มางานโรงเรียน แต่มีปัญหาที่หาบัตรเข้างานให้เพื่อนไม่ได้
[‘นึกว่าจะถูกปฏิเสธอีกรอบซะแล้ว’]
ฉันแอบถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะคิดหาทางว่าจะไปขอบัตรเข้างานจากใครได้บ้าง
บัตรเข้างานวัฒนธรรมของโรงเรียนฮิบิยะจะมีโควตาให้นักเรียนคนละ 3 ใบ ส่วนสภานักเรียนคนละ 5 ใบ นอกจากนี้ก็จะมีบัตรเชิญไปตามโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆ อีก
คนที่ถูกเชิญมาจะมีชื่อของคนที่เชิญอยู่บนบัตร นั่นหมายความว่าถ้าคนที่เชิญมามีปัญหา คนเชิญจะต้องรับผิดชอบ ดังนั้นจะเชิญใครมามั่วๆ ไม่ได้ และจะให้บัตรเชิญใครไปมั่วๆ ไม่ได้เหมือนกัน
โควตาบัตรของฉันให้ที่บ้าน 2 ใบ รุ่นน้องตอน ม.ต้น 2 ใบ ถ้าให้อาคิยามะอีก 1 ใบ ก็จะครบพอดี
แต่เพื่อนเขาอีก 3 คน ยังไม่มีบัตร นั่นก็คือขาดอีก 3 ใบ
[‘รุ่นพี่คาวากุจิคงไม่ได้ เซริเองก็คงไม่ได้ เมกุมิจังกับอาโอะจังจะได้มั้ยนะ? อืมม…’]
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เดี๋ยว…”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้หรอก แค่อาจจะใช้เวลานิดหน่อย”
ฉันขัดจังหวะการพูดของอาคิยามะและอธิบายเรื่องโควตาบัตรเข้างานให้เขาฟัง
“นายรับปากได้มั้ยว่าเพื่อนนายจะไม่ก่อปัญหาน่ะ?”
“ฉันจะกำชับให้ จะไม่ให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแน่นอน”
“งั้นก็รอฉันหาบัตรก่อนแล้วกัน สัปดาห์จะบอกอีกที”
“ตกลง ขอบคุณมากนะ”
แล้วเราก็คุยสัพเพเหระกันต่อจนกลับมาถึงบ้าน ก็นั่นแหละค่ะ อาคิยามะมาส่งฉันจริงๆ
ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ ออกจะใจฟูนิดๆ ด้วยซ้ำ
“นี่ ฉันถามอะไรนายหน่อยซิ”
ฉันที่อยู่อยู่ในรั้วบ้านถามอาคิยามะที่ยืนอยู่ด้านนอก
“คือ… นาย… คิดยังไงกับฉัน?”
“เอ๊ะ?!”
“เอ่ออ… มะ…ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นหรอกนะ… คะ…คือ… ที่ฉันหมายถึง… คือ… มะ…หมายถึงว่าเราเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย?”
ฟู่… เกือบตาย
ดันใช้คำถามชวนเข้าใจผิดไปซะได้ ตอนที่เห็นอาคิยามะทำหน้าตกใจก็เล่นเอาใจตัวเองหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
พอจะอธิบายก็ลนลานจนลิ้นพันกัน หวังว่าอาคิยามะจะเข้าใจที่อธิบายไปนะ
“อะ… อ้อออ… อื้มมม เป็นเพื่อนซิ เธอว่าเป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อน”
[‘ไหงงั้น?’]
อาคิยามะที่เงอะงะลนลานก็ดูตลกดี แต่ทำไมถึงได้มาเงอะงะกับคำถามนี้ล่ะ หรือว่าจริงๆ แล้วจะไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกัน แค่พูดตามฉันไปเฉยๆ เท่านั้น
“คือ… จะว่าไงดีล่ะ ฉันรู้ว่าเราเริ่มต้นกันไม่ดีนัก แล้วฉันเองก็ไม่เคยขอเป็นเพื่อนกับนายเลย นายเองก็ไม่เคยขอฉันเป็นเพื่อน แล้วก็แบบว่าหลังๆ มานี่ฉันกวนนายทุกวันเลย ฉันเลยรู้สึกกังวลว่านายจะไม่โอเคน่ะ”
ตั้งสติพูดเหตุผลและสิ่งที่คิดออกไปแล้วก็โล่งใจไปหน่อยหนึ่ง อาคิยามะยังยืนมองเงียบๆ หน้านิ่งๆ อ่านสีหน้าไม่ออกนั่นจำได้ว่าเขาบอกว่าเป็นตอนที่คิดอะไรบางอย่างในหัวหรือไม่ก็เป็นตอนที่ไม่คิดอะไรเลย
แล้วตกลงตอนนี้คิดหรือไม่คิดอะไรกันแน่นะ
ฉันที่เพิ่งจะโล่งใจเริ่มกลับมากังวลใจอีกครั้งหลังจากที่อาคิยามะเงียบไป แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตัวเองก็อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเอง
“อืมม… ฉันต้องขอโทษด้วย”
[‘เอ๊ะ? ขอโทษงั้นหรอ?’]
“ที่จริงฉันก็คิดมาสักพักแล้วเหมือนกันว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”
“เอ๊ะ?”
“ก็อย่างที่เธอว่า ฉันคิดมาตลอดเลยว่าพวกเราเนี่ยเป็นแค่รุ่นน้องของแฟนของรุ่นพี่ของกันและกัน”
[‘รุ่นน้องของแฟน? ของรุ่นพี่? ของกันและกัน? เอ๊ะ? เหมือนจะงงๆ’]
“ฉันดีใจนะที่เธอเห็นว่าฉันเป็นเพื่อนน่ะ”
“อ๊ะ? อ่อ”
“งั้นหลังจากนี้ก็ฝากตัวในฐานะเพื่อนอย่างเป็นทางการด้วยนะ”
อาคิยามะพูดพร้อมกับยื่นมือขวาออกมาที่ประตูรั้ว ฉันมองมือเขาแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจมันพองโต ไม่ได้ใจเต้นตึกตักโครมคราม แต่เป็นความอบอุ่นแผ่ซ่านจนรู้สึกอุ่นสบาย
“อื้อออ… ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
มือของอาคิยามะยังใหญ่และอบอุ่นไม่ต่างจากคืนนั้น เรายิ้มให้กันแม้จะมีประตูรั้วขวางกั้นอยู่