ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 65 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (1)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 65 สัปดาห์ที่ 22 โอโตเมะ อามายะ (1)
ขอโทษท่านผู้อ่านทุกท่านที่ลงงานช้าครับ และขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าการเตรียมงานตอนช่วงเทศกาลดนตรีฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตของฉันวุ่นวายมากที่สุดแล้วนะ
แต่มาตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านั่นมันก็แค่ออร์เดิร์ฟ…
งานวัฒนธรรมโรงเรียน หนึ่งในมหกรรมงานประจำปีที่จะจัดขึ้นในช่วงเทอมที่ 2 อันเป็นช่วงที่อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว จัดเป็นงานช้างงานหนึ่งที่ทางโรงเรียนและบรรดานักเรียนให้ความสำคัญมาก
ถ้าถามว่าทำไมมันถึงสำคัญขนาดนั้น ในมุมมองฉันแล้วก็คงไม่พ้นเรื่องของหน้าตา
ไม่ใช่หน้าตาของฉันหรอกนะ แต่เป็นหน้าตาของโรงเรียน พูดง่ายๆ ก็คือชื่อเสียงของโรงเรียนนั่นแหละ
โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ โรงเรียนที่ได้ชื่อว่ามีคุณภาพและชื่อเสียงมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ในเขตภูมิภาคนี้
ขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกนักเรียนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ แถมยังมีผลงานในด้านกิจกรรมต่างๆ ของนักเรียนอีก
และเพราะชื่อเสียงที่ว่ามานั้นจึงทำให้เป็นที่จับตามองของสังคม เป็นที่คาดหวังของบรรดาผู้ปกครอง และเป็นที่ใฝ่ฝันของบรรดาเด็กนักเรียน
นั่นทำให้ทุกๆ คน ทุกๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่างก็คาดหวังกับโรงเรียนนี้กันมาก แน่นอนว่าความคาดหวังนั้นก็รวมถึงงานวัฒนธรรมของโรงเรียนในครั้งนี้ด้วย
ตัวฉันที่บ่นร่ายยาวมาขนาดนั้นก็ถูกคาดหวังเช่นกัน และเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังนั้นตัวฉันเองก็ต้องพยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างสุดความสามารถ
แต่มันเยอะมาก T T
ราวกับว่าปัญหาต่างๆ ถาโถมเข้ามาแบบไม่มีหมดไม่มีสิ้น นี่พูดถึงแค่งานส่วนประชาสัมพันธ์กับงานประสานงานที่ฉันกับคุณทาเคโนะอุจิช่วยกันดูแลนะ ถ้ารวมงานอื่นๆ เข้าไปด้วย… หึๆๆ คิดแล้วก็ได้แต่มองไปทางประธาน
ประธานสุดยอดดด…
ฉันพูดกับคุณทาเคโนะอุจิแบบนั้นและเธอก็พยักหน้าเห็นด้วย เราสองคนได้รับมอบหมายให้ทำงานในส่วนงานประชาสัมพันธ์กับประสานงานทั้งกับห้องเรียนและฝ่ายงานต่างๆ ดังนั้นแล้วในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงที่ฉันเหนื่อยมาก
เราวุ่นวายกับการเตรียมการประชาสัมพันธ์งานทั้งในและนอกโรงเรียน ต้องติดต่อทีมทำสื่อต่างๆ ทั้งทางอินเทอร์เน็ตและแบบเปเปอร์
นอกจากนี้ยังต้องติดต่อประสานงานกับห้องเรียน ชมรม ที่ต้องการเข้าร่วมกับการจัดงานครั้งนี้ โชคดีที่มีคุณทาเคโนะอุจิอยู่ด้วย แค่เธอยืนมองทำหน้านิ่งๆ พวกผู้หญิงก็มักจะเกรงใจ ส่วนพวกผู้ชายก็… นั่นแหละ อย่าให้พูด
แต่ถึงจะอย่างนั้น งานและปัญหาที่เข้ามาก็ทำเอาวุ่นวายจนฉันกับพวกคณะกรรมการจัดงานไม่มีเวลามาช่วยงานที่ห้องเรียนของตัวเองเลย
พูดถึงห้องเรียนแล้วก็ขอย้อนกลับไปสัก 2 สัปดาห์ ตอนที่อาจารย์ที่ปรึกษาพวกเราแจ้งเรื่องงานวัฒนธรรมครั้งแรก ตอนนั้นในห้องเรียนกลายเป็นสนามรบย่อมๆ ที่ต่างคนต่างเสนอความคิดของตัวเองขึ้นมา
ฉันเองก็ดีใจนะที่ทุกคนให้ความร่วมมือและกระตือรือร้นขนาดนี้ แต่แบบนี้มันจะคุยกันไม่รู้เรื่องเอาน่ะซิ
และผู้ที่ขึ้นมากำราบทุกคนในห้องให้อยู่ในความสงบได้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น คุณหัวหน้าห้องนั่นเอง
คุณอาริสึงาวะ เรนะ สาวแว่นหนาสุดเนิร์ดแต่ดันเป็นพวกเรียจู เข้าสังคมเก่งเอ็กซ์โทรเวิร์ตขั้นสุดซะงั้น
คุณอาริสึงาวะเข้ามาจัดการความไม่สงบในห้องลงอย่างรวดเร็วก่อนจะดำเนินการคัดเลือกตัวแทนคณะกรรมการจัดงานห้อง 2 คน แน่นอนว่าฉันโดนเพราะทำงานสภาอยู่แล้ว ส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้ชายชื่อซาโต้ โมริ หรือเปล่านะ เคยคุยแค่ครั้งสองครั้งจำได้ชัวร์ๆ แค่นามสกุลเขาแค่นั้นแหละ เพราะเหมือนคุณซาโต้ที่อยู่ในทีมสภาเลย
ส่วนเรื่องกิจกรรมของห้องที่จะจัดกันนั้นสรุปกันแล้วก็เลือกได้ว่าจะทำร้านทาโกะยากิกัน
อันที่จริงตอนแรกมันไม่ใช่อันนี้แต่เป็นร้านคาเฟ่ต่างหาก แถมเป็นคาเฟ่พ่อบ้านด้วย พวกผู้หญิงทั้งห้องถึงกับโหวตเป็นเสียงเดียวกัน แน่นอนว่าผู้ชายที่มีจำนวนคนน้อยกว่าย่อมแพ้ไปโดยปริยาย แต่พอคุยกันไปคุยกันมาสุดท้ายมาจบที่ร้านทาโกะยากิอย่างที่บอก
แต่จะแค่ทำร้านขายทาโกะยากิเฉยๆ มันก็กระไรอยู่ เสียชื่อนักเรียนโรงเรียนฮิบิยะหมด ดังนั้นแล้วพวกเพื่อนๆ ในห้องจึงเพิ่มออฟชั่นต่างๆ เข้าไป อย่างเช่น
…เป็นร้านแบบย้อนยุค
…พนักงานแต่งชุดคอสเพลย์
…มีไส้พิเศษแบบรัสเซียนรูเล็ต
…และอีกหลายๆ อย่าง
กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนความก็เวลาเรียนพอดี
—
“ทุกโคนนนน… ไปกินข้าวกันเถอะ”
ในช่วงเวลาพักกลางวัน ยามาโมโต้ ไทจิ ชวนฉันกับเพื่อนๆ ไปกินข้าวด้วยกัน
เขาเป็นเพื่อนของนิโนะมิยะและหนึ่งในเพื่อนผู้ชายที่ฉันค่อนข้างสนิท เนื่องจากเคยไปติวที่บ้านเขาอยู่หลายครั้งแถมหมอนี่ก็เฟรนลี่เข้ากับคนง่ายด้วย
ฉันกับมองหน้ากับเพื่อนๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปโรงอาหารพร้อมพวกเขา กลายเป็นกลุ่มใหญ่เกือบ 10 คน อย่างกับจะยกพวกไปตีใคร
ช่วงหลังๆ มานี้พวกนิโนะมิยะมักจะมาหาพวกฉันหรือทำกิจกรรมกับพวกฉันบ่อยๆ ทั้งกินข้าวด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน หรืองานที่ต้องทำเป็นกลุ่ม
แรกๆ ก็เกร็งๆ กลัวจะเป็นเป้าสายตาและเรื่องนินทาชวนปวดประสาท แต่ผ่านไปสักพักพวกเพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันก็ช่วยกระจายความกังวลนั้นออกไป
นิโนะมิยะเองก็ไม่ได้แสดงออกกับฉันเกินกว่าเพื่อนที่สนิทกันทั่วๆ ไป พอมีคนถามเราก็บอกตรงกันว่าเป็นแค่เพื่อนที่สนิทกัน ทุกคนก็จะหยุดวุ่นวายไปเอง ถึงจะยังมีสายตาที่มองมาบ้าง แต่ก็ถือว่าไม่เท่าไรถ้าเทียบกับเมื่อเทอมที่แล้ว
แต่ยังไงซะ ความกังวลมันก็คือความกังวล ตราบใดที่สายตาพวกนั้นยังไม่หายใป ความกังวลมันก็ไม่หายไปเช่นกัน
เพราะตัวฉันรู้ดี รู้ดีกว่าใครว่าทำไมพวกเขาถึงเข้าหาฉันและเพื่อนๆ อันที่จริงถ้ามีใครมานั่งจับผิดและสังเกตพวกเราอย่างละเอียดลออแล้วละก็ พวกเขาก็คงจะสังเกตเห็นได้เช่นกัน
ว่านิโนะมิยะนั้นทำดีกับฉันมากกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ในกลุ่ม…
แม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำให้ดูเป็นเหมือนกลุ่มเพื่อนชายหญิงกลุ่มใหญ่ทั่วไป แต่ฉันรู้สึกได้ว่านิโนะมิยะตั้งใจเข้าหาฉัน โดยการใช้กลุ่มเพื่อนเป็นข้ออ้าง
แน่นอนว่าฉันเอาข้อกังวลนี้มาปรึกษาเซริ เพื่อนสาวผู้มากประสบการณ์ และยังเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉันด้วย
“ตอนนี้ก็ไม่มีค่อยมีแรงต่อต้านกลับมาเท่าไรแล้วนิ อาจจะไม่เป็นไรแล้วก็ได้มั้ง”
เซริที่อยู่ในชุดนอนเนื้อบางตอบข้อกังวลของฉัน
“ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาทิ่มแทงมาบ้างละนะ”
“ทำไงได้ล่ะ มีความรักกับคนของประชาชนแบบนั้น ยังไงก็ต้องมีสายตาอิจฉามองมากันบ้าง”
“ใครไปมีความรักกับใครมิทราบยะ”
“เฮ้อออ… ฉันล่ะเหนื่อยใจ ทำไมพวกเธอไม่คบๆ กันซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ”
“อย่ามาพูดจาส่งๆ แบบนั้นนะ คนจะคบกันมันต้องมีความรักให้กันซิ”
“เธอเนี่ยน้าาา… ก็เป็นซะแบบนี้ ฉันไม่รู้จะสงสารนิโนะมิยะคุงหรือว่าสงสารเธอดีแล้วเนี่ย”
“โถ่… นี่ฉันจริงจังนะเนี่ย”
“จ้าๆๆ”
เซริตอบฉันก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง เธอมองฉันผ่านทางจอโทรศัพท์ด้วยสายตาจริงจัง เป็นอันเข้าใจว่าประโยคต่อไปของเธอจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว
“อามายะ ฉันถามจริงๆ เถอะ เธอไม่ชอบนิโนะมิยะคุงหรอ?”
ฉันได้แต่มองจอโทรศัพท์ ไม่ได้ตอบคำถามของเซริ
…ชอบหรอ
“ตามความคิดของฉันนะ ถ้าไม่นับเรื่องที่ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่ตัดสินใจเด็ดขาดในเรื่องของเธอ อย่างอื่นฉันก็ยังมองไม่เห็นข้อเสียของเขานะ”
ใช่… นิโนะมิยะไม่มีข้อเสียเลย ดีจนน่าตกใจเลยด้วยซ้ำ แต่…
“เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นฉัน อันนี้หมายถึงสมมติว่าเป็นฉันนะ ฉันจะรุกเขากลับบ้าง”
“เอ๊ะ?!”
“จะมาเอ๊ะอะไรเล่า ก็อย่างที่บอกว่าเขาไม่ยอมตัดสินใจเรื่องเธอให้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นเราก็ทำให้มันเด็ดขาดซะเองเลย ถ้าเขาชอบเธอจริงๆ ยังไงเขาก็ต้องหาทางมาสารภาพรักกับเธอเอง”
“แต่…”
“แน่นอนว่าวิธีนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเธอชอบนิโนะมิยะคุงเท่านั้น”
ฉันฟังคำแนะนำของเซริพลางคิดจินตนาการถึงการเป็นแฟนกับนิโนะมิยะ
จริงอยู่ว่าตอนที่เจอกันแรกๆ ฉันสนใจเขาอยู่พอสมควร เวลาเขาทำอะไรให้ก็ใจเต้นตึกตักไปหมด โดยเฉพาะตอนที่เขาบอกว่าตัวเองอาจจะชอบฉันนั่นทำเอาฉันนึกว่าหัวใจจะวายตายเสียแล้ว
แต่ว่าตอนนี้อาการใจเต้นแบบนั้นเริ่มหายไปแล้ว มีบ้างที่รู้สึกเขินหรือตกใจเวลาเขาเข้ามาใกล้ๆ แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว บางทีฉันอาจจะมีภูมิต้านทานนิโนะมิยะบ้างแล้วก็เป็นได้
แบบนี้ไม่น่าจะเรียกว่าชอบได้เต็มปาก ไม่ได้รังเกียจน่ะใช่ แต่คงจะไม่เรียกว่าชอบ เอ… แต่ชอบก็มีหลายแบบ
แล้วแบบไหนเรียกว่าชอบล่ะ?
พอถามเซริถึงนิยามคำว่าชอบที่เซริพูดถึง เธอก็ทำหน้าเอือมๆ แล้วก็บ่นฉันว่าเป็นพวกที่ทำได้ทุกอย่างแต่กลับใสซื่อในเรื่องพวกนี้
“ไม่ได้ใสซื่อ เขาเรียกให้ความสำคัญต่างหาก”
“จ้าๆๆ ให้ความสำคัญจ้า”
ฉันถอนหายใจให้เซริที่ทำหน้าแบบว่าฉันไม่เชื่อเธอหรอกอะไรแบบนั้น
“เธอไม่มีอะไรที่เป็นตัวชี้วัดง่ายๆ บ้างหรอ เอาจากประสบการณ์ตรงของเธอก็ได้นิ ยังไงเธอก็มีแฟนนะ”
พอขอเซริไปแบบนั้นเธอก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักนึง
“ตอนที่ฉันชอบโยจังแรกๆ น่ะ ฉันคิดถึงเขาทั้งวัน อยากจะเจอเขา อยากจะพูดคุยกับเขา อยากทำโน่นทำนี่ร่วมกัน แม้แต่ตอนที่ไม่เจอกันก็ยังอยากจะพูดคุยอยากได้ยินเสียงเขา อยากให้ความสำคัญกับเขาเป็นอันดับแรก อยากรู้ว่าเขาทำอะไร อยู่ที่ไหน อยากให้เขาสนใจ อยาก… หืมม?? เป็นอะไรอามายะ?”
“คือ… อย่างการที่เราแคร์คนรอบตัวเขาแบบนี้นับด้วยมั้ย?”
“อืมม… ก็ใช่นะ”
“ละ… แล้ววว… อย่างการทำตามที่เขาขอล่ะ?”
“อันนั้นต้องดูขอบเขตอีกทีว่าเราอยากทำให้เขามั้ย…”
“งะ… งั้น …”
“อามายะ”
“เอ๊ะ? หา ว่าไง?”
เซริเรียกฉันด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แววตาเธอจริงจังจนฉันชักเริ่มประหม่า
“เธอกำลังคิดถึงใครอยู่?”
“หา?? …”
คิดถึงหรอ…? คนที่คิดถึง… ตอนนี้หรอ…?
ในหัวมีภาพของคนคนนั้นอยู่แล้ว แต่พอถูกเซริถามแบบนี้แล้วก็รู้สึกเขินชอบกล
[‘แล้วทำไมฉันต้องเขินเนี่ย’]
“ไม่ใช่นิโนะมิยะคุงใช่มั้ย?”
“อ๊ะ… อ่า..”
รู้สึกได้ว่าหน้าเริ่มร้อนวูบๆ ใจเต้นแรงขึ้นมานิดหน่อย เดี๋ยวนะ ทำไมต้องใจเต้นล่ะ
“อาคิยามะคุง?”
“เอ๊ะ!?”
“อย่างนี้นี่เองๆ ไหนๆ เหลามาซะดีๆ~”
เซริยื่นหน้าเข้ามาใกล้จอโทรศัพท์จนฉันรู้สึกเหมือนเธอกำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันจริงๆ ทำเอามองเห็นประกายวิบวับในดวงตาของเธอชัดเจนเลย
“หน้าแดงเชียวน้าาา คิกๆๆ มีอะไรจะสารภาพมั้ยจ๊ะคุณหนูอามายะ”
“ก็… ไม่มีอะไรนิ ฉันก็เล่าไปหมดแล้วนินา…”
“ไม่เอาน่า ถ้าไม่รู้ข้อมูลฉันช่วยแนะนำอะไรไม่ได้หรอกนะ คิกๆๆ”
“ไม่มีอะไรจริงๆ โถ่…”
“โอเค ไม่มีก็ไม่มี ฉันไม่บังคับเธอหรอก”
เซริยอมถอยแต่โดยดีทำให้ฉันโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย แต่… ฉันจะโล่งใจทำไมเนี่ย?
กำลังสงสัยตัวเองอยู่ๆ เซริก็พูดขึ้นมาลอยๆ ด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนชวนคุยปกติ
“ฉันน่ะนะจนตอนนี้แล้วความรู้สึกคิดถึง อยากเจอ อยากพูดคุย อยากทำโน่นทำนี่กับโยจังก็ยังไม่ลดลงจากเมื่อก่อนเลย จริงอยู่ที่บางเรื่องที่เคยทำแล้วหลายๆ ครั้ง มันอาจจะไม่ตื่นเต้นหรือใจเต้นรัวตึกตักเท่าเมื่อก่อน แต่มันก็ยังอยากทำอยู่ดี”
[‘งั้นหรอกหรอ หลังคบกันแล้วจะมีเรื่องแบบนี้ซินะ’]
“เธอลองนึกดูซิ ถ้าวันนึงเกิดไม่ได้คุยกันขึ้นมาจะเป็นยังไง”
[‘ไม่ได้คุยกันงั้นหรอ?’]
“รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปใช่มั้ยล่ะ? ยิ่งถ้าเขาไม่ตอบข้อความนะ ยิ่งกระวนกระวายใจสุดๆ ไปเลย”
[‘เป็นแบบนี้นี่เอง’]
“ถ้าเกิดเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น หรือคุยกับผู้หญิงคนอื่นแล้วไม่สนใจข้อความเราแล้วละก็… แน่เลยนะแบบนั้น”
รู้สึกขัดข้องในอกทันทีที่เซริพูดจบ ความรู้สึกหน่วงๆ หนึบๆ เต้นกระตุกไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติ
“วันนี้ได้คุยกันหรือยัง?”
“คุยแล้ว”
“โทรคุยกันหรอ?”
“เปล่า ส่งข้อความคุย…”
อ๊ะ!! พลาดจนได้ มัวแต่คิดตามคำพูดของเซริจนลืมตัวเผลอพูดออกไปจนได้
เซริที่อยู่บนหน้าจอยิ้มแก้มปริจ้องมองฉันด้วยดวงตาที่เหมือนมีฟิลเตอร์ฟรุ้งฟริ้งระยิบระยับ
อ๊าาาา…