ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 103 สัปดาห์ที่ 36 โอโตเมะ อามายะ (4)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 103 สัปดาห์ที่ 36 โอโตเมะ อามายะ (4)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
“ว่าแต่คนไหนเป็นแฟนของรุ่นพี่หรอคะ?”
จู่ๆ อันนะก็หันไปถามอาคิยามะที่กำลังซดน้ำแกงจากเมนูอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นอาหารไทยซึ่งเขาตั้งใจทำเลี้ยงฉันโดยเฉพาะ
แค่ก… แค่กๆๆ
หลังจากสำลักแล้วเขาก็ขอน้ำเปล่า ฉันส่งแก้วน้ำให้เขาดื่ม คนที่ตอบคำถามของอันนะจึงไม่ใช่เขาแต่เป็นเซริกับเมกุมิแทน
“คนนี้ๆ”
“ใช่ๆ นี่เลยๆ”
กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองถูกเพื่อนชี้เป้าให้อันนะจัง ก็ตอนที่อาคิยามะบอกขอบคุณเสร็จ
“เอออ๋… รุ่นพี่อามายะเองหรอกหรอ? อื้มๆๆ รุ่นพี่นี่ตาถึงนะคะ ว่าแต่ไปทำยังไงถึงได้คบกันหรอคะ เน่ๆๆ รุ่นพี่เล่าให้ฟังหน่อยซิ อ๊ะ!! เจ็บนะคะ”
กำลังตะลึงที่จู่ๆ ก็กลายเป็นแฟนกับอาคิยามะเพราะโดนเพื่อนๆ ชงให้ แล้วก็กำลังกังวลใจว่าจะตอบอันนะจังไปว่ายังไงดี ไหนจะมีสายตาวิ๊งๆ วับๆ ของเพื่อนๆ ที่คอยกดดันอีก
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นสลายไปได้ด้วยพลังดีดมะกอกของอาคิยามะที่เข้าหน้าผากอันนะจังดังป๊อก
“โอโตเมะลำบากใจนะ ถ้าจะเล่นก็รู้ขอบเขตหน่อย”
ขอโทษเขาซะ…
เห็นอันนะที่โดนอาคิยามะโหมดหน้านิ่งดุแล้วก็สงสารนิดๆ ก็อาคิยามะโหมดนี้น่ะ แม้แต่ฉันยังกลัวเลย
อันนะจังทำหน้ามุ่ยลูบหน้าผากป้อยๆ ก่อนจะหันมาขอโทษฉัน แน่นอนว่าฉันไม่ได้โกรธอะไร เรื่องราวก็จบไปแค่นั้น
แล้วช่วงเวลาการกินข้าวต่อจากนั้นก็สงบขึ้นเยอะ
หลังช่วยอาคิยามะเก็บล้างจานชามเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาฉันกับเพื่อนไปดูหนังสือเรียนในห้องของเขา โดยมีอันนะบ่นกระปอดกระแปดว่าทีตัวเองขอเข้าไปบ้างไม่เห็นจะเคยยอมให้เข้า
“ก็เพราะเธออยากจะเข้าไปค้นอะไรแปลกๆ ในห้องฉันน่ะซิ”
“รุ่นพี่มีของแบบนั้นซ่อนไว้ด้วยหรอคะ?”
“ไม่มีอะไรซ่อนไว้ทั้งนั้นแหละ”
“แสดงว่าเก็บซ่อนไว้กลัวแฟนสาวจะเจอซินะ”
“ต้องโดนอีกสักทีล่ะมั้งเนี่ย?”
“แง้… รุ่นพี่อามายะช่วยด้วย รุ่นพี่ใช้ความรุนแรงกับฉันอีกแล้วค่ะ”
กลายเป็นว่าฉันต้องเป็นคนเข้ามาห้ามทัพระหว่างทั้งคู่ อาศัยจังหวะต่อจากนั้นขอให้อาคิยามะพาไปดูหนังสือต่อเลย
“ตามสบายนะ”
อาคิยามะว่าพลางหยิบเอาเบาะรองออกมาจากตู้ที่น่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า
“ว้าวๆๆ ห้องของรุ่นพี่ล่ะๆ”
อันนะที่โผล่ออกมาจากหลังฉันร้องขึ้นพลางมองสำรวจไปทั่วราวกับแมวน้อยที่เพิ่งมาเจอบ้านใหม่
ฉันเองก็ประหลาดใจกับห้องของอาคิยามะไม่น้อย แน่นอนว่าฉันเคยเข้ามาแล้วในตอนที่มาอยู่กับพี่ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเหมือนเป็นห้องคนละห้อง
ด้วยขนาดใหญ่กว่าห้องของฉันประมาณ 2 เท่า ทำให้มันมีพื้นที่ค่อนข้างมากแม้จะอยู่กันสองคน
ยิ่งตอนนี้อาคิยามะอยู่คนเดียวด้วยแล้ว นอกจากเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ แล้วก็ชั้นวางหนังสือแล้ว ก็เห็นมีแค่ตู้ข้างเตียงเล็กๆ กับชั้นวางทีวี ที่เหลือก็แค่เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างทีวี เครื่องปรับอากาศ โคมไฟกับคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเครื่องหนึ่งเท่านั้น
โล่งซะจนรู้สึกว่ามันโหวงเหวงแปลกๆ
“มานี่ซิ อยากได้เล่มไหนก็ลองดู”
หลังจากจัดวางเบาะนั่งให้เพื่อนๆ และจัดการอันนะที่เริ่มสำรวจไปเรื่อยให้นั่งนิ่งๆ แล้ว อาคิยามะก็มาพาฉันไปดูชั้นหนังสือของเขา
ตอนแรกเข้าใจว่ามันมีแค่สองชั้น แต่พอมาดูจริงๆ แล้วมันมีถึงสาม แถมสองในสามเป็นสารพัดหนังสือเรียน หนังสือคู่มือ รวมถึงหนังสือติวสอบทั้งนั้น
[‘หรือที่จริงหมอนี่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ปลอมตัวมานะ?’]
มัวแต่คิดไร้สาระเลยไม่ได้ฟังที่อาคิยามะแนะนำหนังสือ
“เฮ้… ฟังฉันอยู่มั้ยเนี่ย?”
“เอ๊ะ? ฟังซิ ฟังอยู่”
“งั้นเธอจะเอาเล่มไหน?”
“เล่มไหนดีกว่ากันล่ะ?”
“แล้วไหนว่าฟัง?”
“อุ๊…”
“เธอเนี่ยน้าาา…”
“ทำไมยะ?”
“ป๊าวว…”
“หรอออ…คะ?”
“คร้าบบ…”
ต่อล้อต่อเถียงกันไปสลับกับดูหนังสือไปด้วย หันกลับมาอีกทีก็พบว่าคนอื่นๆ นอกจากฉันกับอาคิยามะหายไปจากห้องแล้ว
“อันนะคงพาไปข้างล่างแล้วแหละ”
“อืออ…”
“เป็นอะไร?”
“ไม่มีอะไร”
“เอาดีๆ ซิ”
ไม่ใช่น้ำเสียงดุเข้มที่บ่งบอกถึงการบีบบังคับ แต่กลับเป็นเสียงทุ้มนุ่มชวนฟังที่ฉันชอบ
ฉันเงียบไปพักหนึ่ง ทำทีเป็นดูหนังสือในมือแต่ก็รับรู้ได้ว่าอาคิยามะยังจ้องมองอยู่
“ฉัน… ก็แค่คิดว่านายกับอันนะจังสนิทกันดีจัง…”
“หึงหรอ?”
“ป..ปะ… เปล่าซะหน่อย คะ… แค่เห็นว่าดูสนิทกันดีจนน่าแปลกใจ”
“หืมมม…? แปลกใจอะไร?”
“ก็แบบ… ดูเข้ากันได้ดี แถมยังเข้านอกออกในบ้านได้อย่างกับบ้านของตัวเองอีก แบบว่า…”
ตุ้บ…
อยู่ๆ หนังสือเล่มหนาก็มาวางอยู่บนหัวฉันเบาๆ อาคิยามะที่วางหนังสือนั้นบนหัวของฉันย่อตัวลงมาจนใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน
“จินตนาการอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้วกระมัง?”
ฉันเงียบและหลบตาเขาเพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่
“อันนะไม่ได้เข้ามาบ้านฉันบ่อยขนาดนั้นหรอก ที่จริงฉันก็บอกเธอไปแล้วด้วยว่าอันนะเข้ามาตอนไหนบ้าง ส่วนครั้งนี้มันฉุกเฉิน ฉันขอให้อันนะมาช่วยเพราะเตรียมอาหารเพิ่มคนเดียวไม่ทัน แล้วก็ถือโอกาสแนะนำอันนะกับเธอด้วย”
“แนะนำ?”
[‘ทำไมต้องแนะนำอันนะกับฉันล่ะ?’]
“อืมม… ฉันอยากให้เธอรู้จักอันนะไว้น่ะ ถึงจะดูล้นๆ บ้าๆ บอๆ แต่ก็เป็นเด็กดี อนาคตก็น่าจะได้ไปเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของเธอด้วย”
[‘ถ้าแค่นั้นไม่ต้องแนะนำก็ได้มั้ย?’]
ราวกับอ่านความคิดฉันได้ หรือไม่ความคิดฉันก็แสดงออกมาทางสีหน้า อาคิยามะใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงๆ ที่หว่างคิ้วฉันพลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงชวนฟัง
“สำหรับฉันที่ตัวคนเดียวแล้วบ้านนาคาจิมะเป็นเสมือนครอบครัวที่สองของฉันที่มีทั้งพ่อแม่และพี่ชาย ส่วนบ้านมานามิก็คล้ายๆ กัน เพียงแค่ว่าทางนี้เป็นญาติผู้ใหญ่กับน้องสาว…”
ในตอนที่เราทั้งคู่เดินลงมาข้างล่างก็พบว่าอาโอะจังกำลังโดนเซริ เมกุมิและอันนะจังรุมสกรัมอยู่หน้าจอทีวี
“ใจร้าย… ใจร้าย… ใจร้ายกันจังเลยค่ะ”
ปากก็บ่นก็ว่าเขานะ แต่มือก็ยังคงจับจอยเกมไม่ปล่อย เห็นแล้วนับถือจิตใจนักสู้ของเธอเลย
ฉันกับอาคิยามะช่วยกันเอาน้ำและขนมมาวางไว้ใกล้ๆ เผื่อว่าจะมีใครอยากกิน จากนั้นก็นั่งดูทั้งสี่สู้รบตบมือกันจนถึงเวลากลับบ้าน
อาคิยามะเองก็ไปกับพวกฉันด้วย เพียงแต่เป้าหมายไม่ใช่การไปส่งพวกฉัน หากแต่เป็นศูนย์กีฬาเนื่องจากโดนคุณนาคาจิมะโทรตามให้ไปช่วยเล่นบาสเกตบอล
พวกเราเดินไปคุยกันไปแต่ดูแล้วอาคิยามะจะเกร็งๆ กว่าปกติไม่เหมือนตอนที่อยู่กับฉัน ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเพราะไม่คุ้นชินกับเพื่อนๆ ของฉันเลยเกรงใจหรือเพราะถูกเพื่อนๆ ของฉันรุกใส่ถามโน่นถามนี่จนทำตัวไม่ถูกกันแน่
—
“เธอก็เห็นแล้วนิ คิดว่าไงล่ะ?”
คำถามคาใจที่แม้จะได้รับคำอธิบายมาแล้วแต่ก็ยังคงคาใจอยู่ดีถูกเพื่อนรักผู้มีประสบการณ์ตอบกลับมาในรูปแบบที่ต้องบอกว่าตรงตามที่ตนเองคิดไว้
“อาคิยามะบอกว่าเห็นเธอเป็นน้องสาว แล้วก็บอกว่าอยากให้ฉันเป็นพี่สาวของเธอ”
“แต่อันนะจังอาจจะไม่ได้มองเธอเป็นพี่สาวหรอกนะ อันที่จริงฉันคิดว่าเด็กนั่นน่าจะมองเธอเป็นคู่แข่งมากกว่า”
คราวนี้เป็นเมกุมิที่ตั้งข้อสังเกต แล้วก็ตั้งได้ตรงกับข้อกังวลใจของฉันอย่างถึงที่สุด
“แต่ว่าอันนะจังเองก็บอกแล้วนะคะว่าตัวเองไม่ได้คิดอยากจะเป็นแฟนกับอาคิยามะคุง”
“เธอก็ซื่อไปอาโอะจัง ของแบบนี้แค่มองก็รู้แล้ว”
ฉันฟังเพื่อนสาวเถียงกันแล้วก็เริ่มรู้สึกว่ากลุ่มก้อนความกังวลในใจเหมือนจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
การพูดคุยกันคืนนี้เริ่มต้นมาจากฉันที่โทรไปปรึกษาเซริเหมือนทุกที แต่คราวนี้เซริไปดึงเมกุมิกับอาโอะจังเข้ามาด้วย มันจึงกลายเป็นการประชุมกลุ่มไปโดยปริยาย
“เด็กนั่นพูดเองเลยนะว่าเธอเคยแอบชอบอาคิยามะคุงมาก่อนตั้งแต่ตอนเข้าปี 1 ถึงจะเคยอกหักมาครั้งนึงแต่ก็ยังปลื้มและติดตามดูเขามาตลอด ถ้านับเวลารวมๆ แล้วก็เกือบๆ 3 ปีเลยนะ พวกเธอคิดว่าระยะเวลาขนาดนั้น ถ้าคนมันไม่ชอบจริงๆ จะตามปลื้มเขาได้นานขนาดนั้นเลยหรอ?”
เมกุมิเอ่ยถามคำถามที่ชวนให้ต้องคิดเพิ่มอีกหนึ่งคำถาม ซึ่งที่มาที่ไปของคำถามนี้มันเกิดจากการที่เซริได้ไปถามอันนะจังหลังจากที่ทั้งสี่ลงมาชั้นล่างแล้วปล่อยให้ฉันกับอาคิยามะเลือกหนังสือกันเองสองคนในห้องนอนของเขา
อันนะจังที่กลัวว่าเพื่อนๆ ของฉันจะเบื่อเลยต่อวิดีโอเกมเข้ากับทีวีเพื่อเล่นเกมฆ่าเวลา และในช่วงรอเกมโหลดเข้านั่นเองที่เซริเปิดประเด็นชวนอันนะจังคุย
เกี่ยวกับเรื่องของอาคิยามะ…
และในตอนนั้นเองที่เพื่อนฉันทุกคนลงความเห็นว่าอันนะจังที่นั่งอยู่ตรงหน้าพวกเธอในขณะนั้นมีบุคลิกที่เปลี่ยนไปจากอันนะจังผู้สดใสร่าเริงกลายเป็นหญิงสาวที่สุขุมเยือกเย็น
เปลี่ยนไปชนิดที่ว่ากลายเป็นคนละคน…
เพื่อนๆ ฉันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอดูสงบนิ่งเหมือนผู้ใหญ่ ดูมีความคิด ไม่มีแม้แต่อาการตระหนกตกใจหรือไขว้เขวตอนที่เจอคำถาม แม้ว่าคำถามนั่นจะดูเสียมารยาท แถมเธอยังตอบทุกคำถามด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับพูดเรื่องอาหารที่เพิ่งกินไปเมื่อตอนเที่ยง
– “ฉันเคยชอบรุ่นพี่ค่ะ ตั้งแต่ตอนสมัยที่เข้าไปเรียนใหม่ๆ ยังเป็นแค่เด็กปี 1 ที่ไม่ได้รู้จักเรื่องราวความรักอะไร รู้แค่ว่าตัวเองชอบเขา อธิบายไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่าทำไมถึงรู้ว่าชอบคนคนนี้ แต่ฉันก็รู้ว่านี่คือความชอบพอในแบบชายหญิง แอบชอบเขาจนกระทั่งถึงตอนเปิดเทอมสองที่รุ่นพี่มีแฟน ฉันถึงได้รู้จักการอกหักครั้งแรก เป็นการอกหักทั้งที่ยังไม่ได้พยายามอะไรเลย ตอนนั้นก็เสียใจอยู่นะคะ แล้วก็เสียดายที่มัวแต่รอจนสุดท้ายก็พลาดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม ถึงตอนนี้จะมีโอกาสให้เริ่มแต่ก็ไม่ทันอีกแล้ว เพราะงั้นฉันเลยตั้งใจว่าจะโอชิรุ่นพี่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่าค่ะ จะไม่เข้าไปวุ่นวายกับชีวิตรักของรุ่นพี่เขา แต่ถ้ามาทำร้ายหรือทำรุ่นพี่เสียใจ ฉันก็พร้อมที่จะไม่ไว้หน้าเช่นกันค่ะ ตอบแบบนี้พอใจกันไหมคะ~” –
เป็นคำอธิบายที่ดูไม่เหมือนเด็ก ม.ต้น เป็นคนพูด ตอนที่เพื่อนๆ เล่าให้ฟังฉันเองก็ยังนึกภาพอันนะจังตามที่เพื่อนๆ เล่าไม่ออกเลย
“ฉันว่าเธอควรจะเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างได้แล้วนะ ปล่อยไว้นานไปอะไรๆ มันอาจจะยากเกินกว่าจะควบคุมเอา”
“ฉันเห็นด้วยกับเมกุมินะ ฉันว่าเธอชิงสารภาพกับเขาก่อนอย่างที่ฉันเคยบอกไปเลยดีกว่า คบๆ กันไปซะจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
“นั่นซิคะ ทีนี้พอเป็นแฟนกันแล้วก็จะได้ใช้แผนประกาศว่าตัวเองมีแฟนแล้วเพื่อแก้ปัญหาข่าวลือที่โรงเรียนได้ด้วยไงคะ”
“เอ๊ะ?! จะใช้แผนนั้นจริงหรอ? ฉันแค่คิดเล่นๆ เองนะ”
“จริงไม่จริงไม่รู้ล่ะ แต่ฉันเห็นด้วยกับเซริที่ให้ชิงสารภาพรักไปก่อนเลย ลงมือก่อนยังไงก็ได้เปรียบ”
“นั่นซิคะ เห็นด้วยอีกหนึ่งเสียงค่ะ”
“ตัดไฟเสียต้นลมนี่แหละดี ดูจากวันนี้แล้วยังไงอาคิยามะก็ไม่มีทางปฏิเสธเธอ เพราะงั้นเดินหน้าได้เลย”
ไม่รู้เพราะมีเพื่อนหนุนหลังหรือเปล่าความรู้สึกฮึกเหิมถึงได้คุกรุ่นอยู่ในใจผสมปนเปกันไปกับความรู้หวานหอมอมเปรี้ยวทั้งที่ไม่มีของกินอยู่ใกล้ๆ เลย
“งั้น… วันคริสต์มาสอีฟเป็นไง?”
เพราะอารมณ์พาไปกระมัง ฉันถึงได้พูดเสนออะไรแบบนั้นออกไป
“โอ้วว… วันดีนิ”
“อีกสองสัปดาห์หรอ? ช้าไปหน่อยมั้ย?”
“ได้นัดเขาไว้หรือยังคะ? ไม่ใช่ว่าช่วงนั้นเขาไม่ว่างอะไรแบบนี้นะคะ?”
แล้วค่ำคืนของการประชุมวางแผนการเดทวันคริสต์มาสเพื่อให้ฉันได้มีแฟนคนแรกก็เริ่มขึ้น กว่าจะเสร็จสิ้นการประชุม นาฬิกาก็บอกเวลาเป็นวันใหม่ไปเสียแล้ว