ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 102 สัปดาห์ที่ 36 โอโตเมะ อามายะ (3)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 102 สัปดาห์ที่ 36 โอโตเมะ อามายะ (3)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
“เอ่ออ… คือว่า… ฉันมีนัดแล้ว”
จบประโยคปุ๊บทุกอย่างตรงบริเวณนั้นเงียบเสียงลงทันใด เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันรับรู้ได้ถึงความพิเศษอย่างหนึ่งของห้องสมุดนั่นคือ… มันเงียบมาก
“นัด? นัดไปไหน? นัดกับใคร?”
เซริที่ดูท่าแล้วจะฟื้นตัวได้ไวกว่าคนอื่นเล็กน้อยยิงคำถามใส่ฉันเป็นชุด
[‘จะว่าไปก็ลืมบอกเซริไปเลยนินา’]
ตามติดคำถามของเซริมาติดๆ คือสายตาคาดคั้นชนิดที่ถ้าฉันเป็นส้ม น้ำในตัวคงจะไหลออกมาหมดแล้ว
“คืออ… นัดกับอาคิยามะไว้ วะ… ว่า… ว่าจะไปดูหนังสือเรียนที่บ้านเขา…”
“ห๊ะ!!” / “…” / “เอ๋??”
ปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปของเพื่อนๆ ทำให้ฉันสับสนนิดหน่อยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“เธอจะไปที่บ้านของเขา?!”
“อืออ…”
“ไปดูหนังสือเรียน?”
“ใช่ เขามีเยอะเลย”
“แค่ดูหนังสือเรียนหรอคะ?”
“ก็… จริงๆ เขาจะเลี้ยงข้าวกลางวันฉันด้วย”
“ “ “แหมมมม…!!!” ” ”
“เดทที่บ้านชัดๆ” / “เดทที่บ้านเห็นๆ” / “เดทที่บ้านนี่คะ”
“ปะ… ปะ..ป่าว ไม่ใช่…”
“นี่พวกเธอน่ะ นี่มันห้องสมุดนะ ถ้าจะคุยกันเสียงดังก็เชิญข้างนอก”
การอธิบายของฉันจบลงเพราะอาจารย์บรรณารักษ์เดินมาไล่พวกเราที่ทำเสียงดังออกจากห้องสมุด ฉันเลยต้องจำใจเดินไปอธิบายไปให้เพื่อนๆ ฟัง
“เน่… เซริกับอาโอะจังเคยเห็นอาคิยามะคุงตัวเป็นๆ บ้างหรือเปล่าอ่ะ”
เมกุมิที่เดินหน้ามุ่ยตั้งแต่ออกจากห้องสมุดเอ่ยถามเพื่อนอีกสองคน
“ไม่เคยนะคะ เคยเห็นแค่รูปที่เซริจังเปิดให้ดูเมื่อตอนนั้นเท่านั้นแหละค่ะ”
“ฉันเคยเจอสองครั้ง ตอนนั้นไปกับอามายะเอาชุดที่อามายะยืมมาไปคืนหมอนั่นที่สนามบาสในศูนย์กีฬา กับตอนวันฮาโลวีนที่เขามาส่งอามายะกับฉัน”
“เหหห… จริงอ่ะ ฉันก็อยากเห็นมั่งจังเลยน้า… อาโอะจังล่ะว่าไง? อยากเห็นมั้ย?”
“ก็อยากเห็นสักครั้งนะคะ ฉันคิดว่าแฟนเพื่อนก็เหมือนเพื่อน รู้จักกันไว้ย่อมดีกว่าค่ะ อีกอย่างจะได้ช่วยสแกนให้อามายะจังอีกแรงด้วย”
“ดะ… เดี๋ยวซิ ยังไม่ใช่แฟนนะอาโอะจัง”
“ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอกสภาพนี้ อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น”
“นั่นซินะ ถ้ารู้จักหน้าค่าตาไว้ก่อนก็น่าจะดี… ถ้างั้น อามายะ ขอพวกเราตามไปบ้านอาคิยามะคุงด้วยได้มั้ย?”
เจอคำขอแบบกะทันหันของเมกุมิเข้าไปฉันถึงกับไปต่อไม่ถูก
ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เพื่อนไปด้วยหรือไม่อยากให้เพื่อนเจอหน้าอาคิยามะอะไรแบบนั้นหรอกนะ เพียงแต่ว่ายังไม่ได้คุยกับอาคิยามะก่อนล่วงหน้า ฉันกลัวว่าจะไปทำให้เขาเดือดร้อน
“เอ่ออ… ขอถามอาคิยามะก่อนได้มั้ย?”
“เอ๋? ไปได้จริงอ่ะ? ฉันกะแกล้งเธอเล่นเองนะ”
“อ้าววว… ตกลงยังไงเนี่ย? ฉันเริ่มสับสนแล้วนะ”
“ง่า… อย่าเพิ่งโกรธๆ อยากไป อยากไปมากเลยแหละ เพราะงั้นขอความกรุณาด้วยนะคะ”
เมกุมิยกมือประกบขอโทษฉันยกใหญ่ แต่รอยยิ้มดีใจบนหน้านั่นเห็นแล้วมันน่าหยิกนัก
ฉันบ่นเมกุมิที่หันกลับไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนอีกสองคน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาอาคิยามะ
ถือสายรอไม่นานทางนั้นก็รับสาย
“ว่าไง? มาไม่ถูกหรอ?”
“เปล่า… ยังไม่ได้ออกจากโรงเรียนเลย”
“อ้าวว…”
“คือมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ แบบว่า… เพื่อนฉันอยากไปบ้านนายด้วยน่ะ”
…ได้มั้ย?
ลองถามไปแต่ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวอาคิยามะจะลำบากใจ ยิ่งเขาเงียบไปฉันยิ่งใจเสีย
“เพื่อนเธอ? คุณอาโออิหรอ? อื้อ ก็มาได้แหละ… แล้วจะกินข้าวด้วยกันมั้ย?”
ได้ยินเขาตอบกลับมาแบบนี้ใจค่อยชื้นขึ้นมาหน่อย เพียงแต่เหมือนเขาจะเข้าใจผิดไปนิดนึง ต้องรีบอธิบายก่อน
“ที่จริงแล้วนอกจากเซริแล้วยังมีเพื่อนอีกสองคนน่ะ”
“หืมม??”
“รวมฉันด้วยก็ 4 คน คือออ… นายสะดวกมั้ยถ้าทุกคนจะไปบ้านนายตอนนี้?”
“4 คน?”
“อื้ออ…”
“เอาซิ เธอจะออกมาเลยมั้ย เดี๋ยวฉันเตรียมข้าวกลางวันไว้เลย”
“อื้มม กำลังจะไปแล้ว ขอบคุณนะ”
วางสายแล้วหันกลับมาตั้งใจจะบอกเพื่อนๆ ว่าอาคิยามะยอมตกลงให้ทุกคนไปบ้านเขาได้ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนมายืนเบียดอยู่ด้านหลังฉัน
อามายะ: “มาทำอะไรกันเนี่ย?”
เมกุมิที่ดวงตาเป็นประกายกำลังหันไปซุบซิบกับอาโอะจัง เซริที่ยืนทำหน้าเซ็งพึมพำว่าไม่หวานเอาซะเลยอยู่ข้างหลังทั้งคู่เลยเป็นคนอธิบาย
เซริ : “เมกุมิอยากได้ยินเสียงอาคิยามะคุงน่ะ อาโอะจังเลยตามมาด้วย”
เมกุมิ : “เสียงอย่างหล่อเลยอ่ะ แบบนี้คาดหวังเรื่องหน้าตาได้เลยใช่มั้ย?”
อาโอะ : “นั่นซิคะๆ”
เซริ : “แต่ตัวจริงหน้าออกนิ่งๆ ดุๆ หน่อยนะ มาดออกไปทางแบดๆ ดูหล่อแบบชั่วร้ายมากกว่าจะเป็นหนุ่มหล่อใสๆ เท่ๆ …”
เซริทำท่าเหมือนเหล่าอาจารย์กำลังอธิบายหลักสรีรศาสตร์ในคาบวิชาชีววิทยาพร้อมกับบรรยายหน้าตาของอาคิยามะให้เมกุมิกับอาโอะฟัง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตื่นเต้นกันขนาดนั้น
“แบบนั้นเรียกว่าหล่อไม่ได้หรอก”
ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดไปแบบนั้น แต่พูดไปแล้วก็เรียกความสนใจจากเพื่อนๆ ได้สำเร็จ
“ใช่ซี่… ใครจะไปหล่อเท่านิโนะมิยะคุงล่ะ?”
เซริหันมาพูดแซะฉัน หน้าตานี่ยิ้มยั่วกันชัดเจน
“หรือไม่จริง?”
“เธอจะบอกว่านิโนะมิยะหล่อกว่าอาคิยามะ?”
“ใช่ นิโนะมิยะหล่อกว่าเห็นๆ”
ฉันสวนเธอกลับไปทันควันเช่นกัน ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้า ไม่มีการยอมลดราวาศอก
“เอ่ออ… คือว่า… ทั้้งคู่…”
เสียงของอาโอะจังดังขึ้นมา แต่เพราะมัวแต่ชักช้า เซริเลยพูดแทรกขึ้นมา
“งั้นเธอชอบใครมากกว่ากัน?”
“มันก็ต้องคนของฉันอยู่แล้วซิยะ”
พูดจบก็หันหลังเดินหนีเพื่อนๆ ออกมา ได้ยินเสียงทั้งสามคนเดินตามมาข้างหลัง เซริเองก็ยังไม่หยุดตอแย
“แล้วนั่นเธอจะหนีไปไหนฮะ?”
“ก็ต้องไปหาของคนฉันน่ะซิ”
ว่าแล้วก็หันไปแลบลิ้นใส่เซริที่อยู่ข้างหลัง แน่นอนว่าสิ่งที่ได้กลับมาก็คือการประสานเสียงของความหมั่นไส้ที่จริงใจกันสุดๆ
“““แหมมมมม….”””
—
บ้านอาคิยามะเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นทรงคล้ายๆ กับบ้านของฉัน ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนฮิบิยะมากนัก ปกติฉันใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึง
แต่วันนี้มีเพื่อนๆ มาด้วย แถมระหว่างทางยังต้องคอยตอบคำถามทั้งสามสาวที่อยากรู้อยากเห็นไปหมดยังกับเด็กๆ ที่พอตอบคำถามหนึ่งก็จะมีอีกคำถามหนึ่งออกมาอีก
“อามายะ เธอเคยไปบ้านอาคิยามะคุงด้วย?”
“คิดว่าเคยไปนะ แล้วก็คิดว่าเธอก็เคยไปด้วย”
“หมายความว่าไง?”
“ถ้าใช่อย่างที่ฉันคิด เดี๋ยวเธอก็รู้”
ราวๆ 20 นาทีหลังจากเริ่มเดินออกจากโรงเรียน ฉันกับเพื่อนๆ ก็มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านที่ฉันเคยอาศัยอยู่มาเกือบๆ 2 เดือนเต็ม
“หืมม…? บ้านที่เธอเคยเช่า?”
“อืมม…”
ตอบไปพร้อมกับกดออดหน้าประตู ในใจเริ่มจะหวั่นๆ แล้วว่าถ้ามาผิดบ้านจะทำยังไงต่อดี
รออยู่ประมาณนาทีนึงได้ ประตูบ้านก็เปิดออก แวบแรกที่เห็นเด็กสาวตัวเล็กน่าจะอยู่ ม.ต้น เป็นคนเปิดประตูออกมา ใจฉันก็ลงไปอยู่ที่สะดือแล้ว
[‘ไม่ใช่หรอกหรอ?’]
อุตส่าห์คิดว่าจะมาเซอร์ไพรส์โดยไม่บอกก่อน แต่กลายเป็นว่ามาผิดบ้านซะงั้น แล้วไอ้ตอนนั้นที่มายืนมองบ้านแล้วทำหน้าตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง
มัวแต่คิดไปเรื่อยในหัวเลยไม่ทันได้สังเกตว่าเด็กสาวคนนั้นเดินออกมาเปิดประตูให้พวกฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า
“เชิญค่าา… รุ่นพี่กำลังรออยู่เลย เข้ามากันก่อนนะคะ”
“อ๊ะ? รุ่นพี่?”
“ค่ะ รุ่นพี่กำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัวเลยให้ฉันออกมารับทุกคนค่ะ”
เด็กสาวตรงหน้ายังคงยิ้มให้ฉันและเพื่อนๆ จากนั้นก็พาพวกเราเข้ามาในบ้าน
“ไม่ต้องเปลี่ยนรองเท้าก็ได้นะคะ แต่ถ้าอยากเปลี่ยนก็มีอยู่ในตู้นั่น หยิบเอาได้ตามสบายเลยค่ะ”
เด็กสาวที่ราวกับเจ้าของบ้านนั่นทำการรับรองพวกเราสี่คนเป็นอย่างดีจนทางนี้ยิ่งคิดเข้าไปใหญ่ว่ามาผิดบ้านเข้าแล้วจริงๆ
แต่พอเดินตามเด็กสาวเข้าไปยังห้องที่เป็นห้องนั่งเล่น ก็เห็นอาคิยามะกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ แถมเป็นโต๊ะโคทัตสึตัวใหญ่ที่วางจานชามอาหารไว้หลายอย่าง
“มากันแล้วหรอ?”
นั่นคือคำพูดทักทายคำแรกที่เขาเอ่ยหลังจากหันมาเจอฉันกับเพื่อนๆ
“อืมมม… นี่ก็บ่ายแล้ว ถ้าไงมากินข้าวกันก่อนมั้ย? โอโตเมะพาเพื่อนล้างไปไม้ล้างมือก่อนซิ เดี๋ยวฉันจัดที่นั่งอีกแปบนึง”
“อะ… อ่ออ… งั้นพวกเราไปล้างมือก่อนนะเดี๋ยวมาช่วย เอ่ออ… ฉันวางของไว้ตรงนี้ได้ไหม?”
“ตามสบายเลย”
ฉันกับเพื่อนๆ วางสัมภาระไว้ข้างโซฟาก่อนจะพากันไปล้างมือในครัว
หลายๆ อย่างในบ้านยังคงเหมือนเดิมไม่ว่าจะตำแหน่งของห้องต่างๆ เฟอร์นิเจอร์บางชิ้น รวมถึงรูปแบบการจัดวางที่เหมือนกับตอนที่ฉันยังอยู่
“ไหนว่าไม่หล่อยะ?”
ขณะกำลังล้างมือ เมกุมิที่เดินเข้ามาล้างด้วยกระซิบถามเบาๆ
“หือ?”
“พ่ออัศวินขี่ม้าขาวของเธอน่ะ ไหนว่าไม่หล่อไง?”
“ก็ไม่ได้หล่อนินา”
“ฉันก็คิดว่าเขาดูน่ากลัวนิดๆ นะคะ ถึงจะดูเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนก็เถอะ”
กำลังตอบเมกุมิ อาโอะจังก็เข้ามากระซิบอีกข้าง
“โอยย… พวกเธอเนี่ยไม่รู้อะไรซะแล้ว ทรงอย่างนี้เนี่ยมันของแรร์ชัดๆ เลยนะ”
“เธอก็รู้ว่าอามายะน่ะมีปัญหาเรื่องแบบนี้ ยัยนี่น่ะมองผู้ชายไม่เหมือนคนอื่นมองหรอก”
“อ๊ะ!! ก็จริง”
เซริที่เบียดเข้ามาหลังสุดสรุปจบให้ในประโยคเดียว แถมเมกุมิกับอาโอะจังก็เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย ไม่เหลือพื้นที่ให้ฉันได้ฟื้นฟูภาพลักษณ์ของตัวเองแม้แต่น้อย
ล้างมือเรียบร้อยพวกเราก็กลับมายังตำแหน่งที่เดิมทีแล้วเป็นห้องนั่งเล่น แต่ตอนนี้ถูกจัดใหม่โดยการขยับโซฟาออกไปให้เหลือพื้นที่หน้าทีวีมากขึ้น ยกโต๊ะเดิมออกแทนที่ด้วยโต๊ะโคทัตสึพร้อมเบาะนั่งเท่ากับจำนวนคนพอดี
นั่งลงล้อมรอบโต๊ะเรียบร้อย พวกเราก็เริ่มแนะนำตัวกันอย่างง่ายๆ โดยฉันแนะนำเพื่อนๆ ที่มาด้วยโดยเริ่มจากเซริที่รู้จักกันกับอาคิยามะอยู่แล้ว ตามด้วยเมกุมิ และอาโอะจัง
ทางด้านอาคิยามะก็แนะนำตัวเองกับเพื่อนๆ ของฉันแบบง่ายๆ จากนั้นจึงหันไปแนะนำอันนะ
“มานามิ อันนะค่าา… เป็นรุ่นน้องของรุ่นพี่ ตอนนี้อยู่ปี 3 มัธยมต้นซุนโคค่ะ ปีหน้าตั้งเป้าจะไปเป็นนักเรียนของโรงเรียนฮิบิยะค่ะ ของฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะว่าที่รุ่นพี่ทุกคน”
จบการแนะนำตัวที่น่าจะยาวที่สุดในบรรดา 6 คน จากนั้นก็เป็นการกินข้าวกลางวันที่ออกจะช้าไปนิดหน่อยพร้อมกับพูดคุยกันแล้วฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเด็กสาวตัวน้อยที่เปิดประตูออกไปรับฉันกับเพื่อน สามารถเข้ากับเพื่อนๆ ของฉันได้อย่างรวดเร็ว
เธอดูเป็นเด็กร่าเริง อัธยาศัยดี อ่านบรรยากาศเก่ง แล้วก็รู้กาลเทศะ แค่ช่วงเวลาแปบเดียวก็สามารถเรียกชื่อจริงกันและกันกับเพื่อนๆ ฉันได้แล้ว แน่นอนว่ารวมถึงฉันด้วย
“ว่าแต่คนไหนเป็นแฟนของรุ่นพี่หรอคะ?”