ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 101 สัปดาห์ที่ 36 โอโตเมะ อามายะ (2)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 101 สัปดาห์ที่ 36 โอโตเมะ อามายะ (2)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อคืนมีเรื่องดีหรือยังไง เช้านี้ตื่นมาฉันถึงได้รู้สึกอารมณ์ดีจนแม่ทัก
แต่จะไปบอกแม่ว่ามีนัดจะไปบ้านผู้ชายวันเสาร์นี้มันก็กระไรอยู่ แถมแม่ดูจะไม่ปลื้มผู้ชายซะด้วย ดังนั้นฉันจึงบอกปัดไปว่าไม่มีอะไร
พอเดินทางไปโรงเรียนก็เจอเหรียญร้อยเยนตกอยู่ แถมตกอยู่ตั้งสามเหรียญสามร้อยเยนถ้วน เก็บขึ้นมามองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร ใจก็คิดว่าสงสัยท่านเทพทั้งหลายคงจะใจดีกับฉันบ้างแล้ว
แต่พอมาถึงโรงเรียนแล้วเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง นอกจากจะไม่ได้รับการยอมรับเรื่องท่านเทพแล้ว เซริกับเมกุมิยังเอาสามร้อยเยนนั่นไปกดน้ำมาแบ่งกันอีก ฮืออ… ใจร้าย… ใจร้ายที่สุด
ดูดน้ำผลไม้ย้อมใจพลางฟังเซริที่บ่นเรื่องพวกผู้ชายหน้าม่อที่วันนี้มีมาแล้ว 1 คนตั้งแต่เช้า ฟังแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจว่าเป็นคนสวยเนี่ยมันไม่ง่ายเลยจริงๆ
“แบบนี้ยูบิจังจะขนาดไหนนะ?”
ฉันพูดสิ่งที่คิดขึ้นมาในหัวลอยๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเท่าไร เพราะเท่าที่อยู่กับยูบิจังมายังไม่เคยเห็นว่าทางนั้นเจอพวกหน้าม่อเท่ากับที่เซริเจอมาในช่วงเดือนนี้เลย
“คุณทาเคโนะอุจิน่ะไม่เจอเจ้าพวกนี้หรอก เธออยู่อีกระดับหนึ่งไปแล้ว ขืนเจ้าพวกนี้เข้าไปวุ่นวายก็ได้โดนบรรดาแฟนคลับเธอจัดการเอาน่ะซิ”
“แต่แบบนั้นก็น่าสงสารนะ ฉันว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนในโรงเรียนกล้าไปจีบเธอแหงๆ”
“แต่ถ้าเป็นนอกโรงเรียนก็ไม่แน่นะคะ อย่างรุ่นพี่คาวากุจิเองก็มีแฟนเป็นคนนอกโรงเรียนนิคะ”
“ก็จริงนะ หรือที่จริงแล้วคุณทาเคโนะอุจิจะแอบมีหนุ่มหล่อของตัวเองเก็บไว้ข้างนอกโรงเรียนกันน้า”
“อืมมม… จะว่าไปยูบิจังก็เคยบอกว่าตัวเองเคยมีแฟนอยู่นะ”
“เฮะ?” / “เอ๊ะ?” / “เอ๋?”
เสียงประสานของสามสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันดังขึ้นพร้อมกับสายตาหกข้างที่สาดส่องตรงมาที่ฉัน แล้วการสุมหัวกันของพวกเราสี่คนก็เริ่มขึ้น
เมกุมิ : “คุณทาเคโนะอุจิมีแฟนจริงดิ?”
อามายะ : “ตอนนี้ไม่รู้ แต่เมื่อก่อนเคยมี”
เซริ : “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? จากพวกในสภานักเรียนหรอ?”
อามายะ : “เปล่า… ยูบิจังบอกฉันเอง ตอนช่วงงานวัฒนธรรมน่ะ”
อาโอะ : “เอ่ออ… แล้วอามายะจังมาเล่าให้พวกเราฟังแบบนี้ มันจะดีหรอคะ?”
เมกุมิ : “นั่นซิ”
อามายะ : “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ยูบิจังบอกเองว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร ในโรงเรียนเราก็มีหลายคนที่รู้”
เซริ : “จะใช่คนที่ตอนเปิดเรียนแรกๆ มีข่าวลือออกมาหรือเปล่านะ?”
เมกุมิ : “เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่านั่นคือนิโนะมิยะหรอกหรอ?”
อาโอะ : “อ๊ะ ไม่ใช่นะคะเมกุมิจัง เห็นว่าเป็นเด็กโรงเรียนอื่นค่ะ คบกันมาตั้งแต่สมัย ม.ต้น แล้วด้วย”
เมกุมิ : “เอ๋… นี่ฉันตกข่าวหรอเนี่ย ตอนนั้นฉันยังหลงเชื่อข่าวลืออยู่เลยว่าอามายะเป็นมือที่สามของทั้งสองคนน่ะ”
อามายะ : “เอ๊ะ??? เธอก็เชื่อกับเขาด้วย?”
เมกุมิ : “โถ่… ก็ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักกันนินา ยกโทษให้กับความหลงผิดของฉันด้วยเถอะน้าาา…”
อาโอะ : “ว่าแต่จริงหรือเปล่าคะที่ว่าคุณทาเคโนะอุจิมีแฟนเป็นหนุ่มหล่ออยู่โรงเรียนอื่นน่ะ?”
อามายะ : “อันนี้ไม่รู้รายละเอียดเลย รู้แค่ว่าเธอมีแฟนเก่าที่สัญญากันไว้ว่าจะมาเรียนที่นี่ด้วยกันน่ะ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะเลิกรา,เลิกร้างกันไปก่อน”
อาโอะ : “อะไรกัน แบบนั้นมันน่าเศร้าเกินไปมั้ยคะ?”
เมกุมิ : “พูดยากนะ ไม่รู้ว่าพวกเขาเลิกกันด้วยสาเหตุอะไร ถ้าคุณทาเคโนะอุจิเป็นฝ่ายบอกเลิกนี่ก็น่าสงสารอีกฝ่ายอยู่นะ”
เซริ : “นั่นซินะ จะบอกว่าใครน่าสงสารก็ต้องดูที่เหตุผลก่อนนั่นล่ะ”
อามายะ : “เธอโอเคนะเซริ?”
เซริ : “ไม่ต้องห่วง ฉันสบายดี”
เมกุมิ : “พวกเราอยู่ข้างเธอนะ”
อาโอะ : “ใช่แล้วค่ะ”
เซริ : “ขอบคุณพวกเธอมากนะ”
ในตอนที่วงสนทนาเรื่องซุบซิบของคนดังเปลี่ยนสภาพเป็นการแสดงความรักระหว่างเพื่อนสาวนั่นเอง เสียงหนึ่งที่ไม่เข้าพวกก็ดังแทรกเสียงการให้กำลังใจของพวกเราเข้ามา
แน่นอนว่าไม่สบอารมณ์ค่ะ
ฉันกับเพื่อนๆ หันกลับไปมองทางต้นเสียง แน่นอนว่ารู้กันอยู่แล้วว่าเป็นใคร
ยามาโมโต้ อุริว อาซาวะ และนิโนะมิยะ…
ยามาโมโต้ที่เป็นคนเอ่ยทักพวกเราชะงักกึกไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเฟรนลี่เหมือนปกติ
“คือว่าพวกเราจะจัดปาร์ตี้คริสต์มาสกันวันที่ 24 นี้น่ะ เลยว่าจะมาชวนพวกเธอไปด้วย สนใจมาร่วมปาร์ตี้กับเรามั้ย?”
โดยไม่ต้องปล่อยให้รอ เซริชิงพูดปฏิเสธก่อนใครเพื่อน
“ฉันลงชื่อเข้างานพิเศษไว้น่ะ คงไปด้วยไม่ได้หรอก”
“ฉันจะไปเที่ยวกับที่บ้านน่ะ”
“ฉันก็ไม่สะดวกค่ะ”
ออกตัวช้านิดเดียวโดนเพื่อนก็ชิงปฏิเสธกันไปหมดแล้ว ตอนนี้สายตาของสี่หนุ่มจึงมองมาที่ฉันคนเดียว
“คุณโอโตเมะมาด้วยกันไหม? เดี๋ยวผมไปรับเหมือนตอนไปติว”
นิโนะมิยะถามฉันย้ำอีกครั้ง เหมือนๆ จะต้องการให้ฉันยอมรับข้อเสนอจึงบอกด้วยว่าจะมารับเหมือนสมัยที่เคยไปติวด้วยกันครั้งแรก
แต่ว่านะ… นั่นน่ะมันก็เรื่องเก่านานนมมากแล้ว
“ขอบคุณที่ชวนนะ แต่ฉันมีนัดแล้วน่ะ ขอโทษที”
—
ทันทีที่มาถึงสถานี อาคิยามะก็มายืนรอที่จุดนัดพบแล้ว
“ขอโทษที่มาช้า รอนานมั้ย?”
อาคิยามะตอบว่าไม่นานตามปกติขณะที่รอให้ฉันพักเหนื่อยจากการวิ่งมา
“ทำไมเธอต้องวิ่งมาล่ะทุกทีเลยล่ะ?”
“ก็กลัวนายรอนานนิ”
“แค่รอเพิ่มอีกสิบนาที ฉันว่ามันก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
“งั้นคราวหน้าฉันจะให้นายรอสักชั่วโมงนึง”
“อันนั้นก็เคยแล้วนะ”
“ช่วยไม่ได้นินา นายไม่ยอมทักมาบอกฉันก่อนเอง”
“ก็จริง งั้นก็ยกผลประโยชน์ให้จำเลยละกัน”
“ใครเป็นจำเลยนายฮะ?!”
“นั่นซิน้าาา~”
“ฮึ…”
ก็ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เจอกันจะต้องมีการโต้เถียงกันทุกที แต่ฉันก็รู้สึกดีนะที่ได้เจอ ได้คุยกับเขาแบบนี้บ่อยๆ
เราเดินออกมารอรถไฟด้วยกันพลางคุยเล่นกันไปด้วย หลักๆ แล้วอาคิยามะจะฟังฉันบ่นมากกว่า แล้วบางช่วงเขาก็จะเล่าเรื่องตลกๆ ที่โรงเรียนให้ฉันฟังจนบางทีฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกนักเรียนในโรงเรียนของเขาเป็นนักเลงหรือว่าเป็นเด็กอนุบาล
เราเจอกันแบบนี้มาเกือบๆ 2 เดือนแล้ว นัดเจอกันทุกเย็นวันศุกร์ อาคิยามะไปส่งฉันถึงสถานี L อันเป็นสถานีใกล้บ้านก่อนที่เราจะแยกกัน
มันกลายเป็นการกลับบ้านที่ฉันเฝ้ารอมาตลอดทั้งสัปดาห์
“ช่วงนี้เรียนหนักหรอ?”
อาคิยามะถามฉันตอนที่เรากำลังอยู่บนรถไฟ เขาก้มหน้าโน้มตัวลงมาเล็กน้อยเหมือนกลัวคนอื่นจะรำคาญที่เราคุยกัน อืมม… จะว่าไปคนก็เยอะกว่าทุกทีจริงๆ
“ไม่หรอก แต่งานในสภานักเรียนเริ่มวุ่นๆ อีกแล้วน่ะ สิ้นเดือนนี้โรงเรียนของพวกฉันจะมีงานแข่งขันกีฬาสัมพันธ์เบญจภาคีเครือข่าย มันเลยต้องมีการเตรียมการกันนิดหน่อยน่ะ”
“แบบงานกีฬาสีหรอ? จัดช่วงหน้าหนาวเนี่ยนะ?”
การได้มองอาคิยามะขมวดคิ้วทำหน้างงในระยะประชิดแบบนี้ก็เพลินตาดี แต่ฉันไม่ค่อยชอบให้เขาขมวดคิ้วเลย
นิ้วชี้ขวายื่นไปคลึงๆ ที่หว่างคิ้วของอาคิยามะพร้อมกับอธิบายงานกีฬาที่จะจัดขึ้นให้เขาฟัง
“จะว่ากีฬาสีก็ไม่ถูกซะทีเดียว มันเป็นงานกีฬากระชับความสัมพันธ์ของโรงเรียนเครือข่าย 5 โรงเรียนน่ะ วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันแล้วกัน แต่ช่วงหลังๆ มานี่เห็นว่าเน้นผลการแข่งขันกันมากขึ้น แถมมีการจัดอันดับกันแบบลับๆ แบบไม่เป็นทางการด้วย ดังนั้นแล้วทางพวกผู้บริหารโรงเรียนเลยค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับงานนี้ ปากก็อ้างว่าเพื่อให้เด็กๆ ได้รู้จักและสร้างสายสัมพันธ์กัน แต่จริงๆ ก็เพื่อแข่งขันเอาหน้าเอาตาโรงเรียนนั่นแหละ”
อธิบายปนบ่นไปยืดยาว อาคิยามะที่ยืนฟังพยักหน้ารับเป็นครั้งคราว ยังกับนักเรียนฟังอาจารย์สอนหนังสือเลย
“จะมาจัดงานกันที่โรงเรียนเธอหรอ?”
“เปล่าหรอก ปีนี้ไปจัดกันที่โรงเรียนมัธยมปลายคิวเซย์ เมือง AKT โน่น”
“ไกลนะน่ะ แถมถ้าไปช่วงปลายเดือนได้หนาวแย่ แล้วเธอต้องไปด้วยหรือเปล่า?”
“ยังไม่รู้เลย ปีหน้าโรงเรียนฉันจะเป็นเจ้าภาพ คิดว่าครั้งนี้น่าจะส่งทีมสภานักเรียนบางส่วนไปดูงานไว้ก่อนนั่นแหละ… แต่ว่าไม่อยากไปเลยน้าาา…”
“ก็ยังไม่แน่ว่าจะต้องไปนิ”
“อืมมม… นั่นซินะ”
—
เมื่อคืนยังคุยกับอาคิยามะอยู่เลยว่าไม่อยากไปร่วมงานกีฬาที่ต้องถ่อไปไกลถึงเมือง AKT แต่พอเช้านี้มาถึงห้องสภานักเรียนกลับได้รับแจ้งจากประธานว่าให้เตรียมตัวให้พร้อมในช่วงวันงานเดี๋ยวจะมีหนังสือแจ้งผู้ปกครองตามมาอีกครั้งหนึ่ง
สรุปก็คือต้องไปร่วมงานแข่งขันกีฬาสัมพันธ์เบญจภาคีเครือข่ายในฐานะหนึ่งในตัวแทนสภานักเรียน
ฮืออ… วันหยุดของฉัน
ข่าวดีอย่างหนึ่งที่พอจะช่วยปลอบใจฉันได้บ้างคือคุณซาโต้กับยูบิจังจะไปด้วย อย่างน้อยๆ มีคนที่สนิทกันอยู่ด้วยก็น่าจะสบายใจได้ระดับหนึ่ง
หลังจากประชุมแจกจ่ายงานเรียบร้อย ฉันและยูบิจังที่คราวก่อนตอนงานวัฒนธรรมโรงเรียนเหมือนจะทำงานด้านการติดต่อประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ได้เป็นที่ถูกใจ ฯพณฯ หนนี้เลยได้รับงานเดิมมาอีก ต้องเดินเตร่เร่ร่อนไปชมรมโน้นทีชมรมนี้ที กว่าจะพูดคุยตกลงกันครบทุกชมรมกีฬาที่มีการจัดแข่งเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยงแล้ว
รายงานผลการทำงานเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันได้
ยูบิจังขอตัวไปหาเพื่อนของเธอ ฉันเดาว่าน่าจะเป็นคุณทาคิซาว่าที่วันนี้ก็มาซ้อมชมรมและเจอกันตอนที่พวกเราเข้าไปพูดคุยติดต่อประสานงานเมื่อก่อนหน้านี้
ทางด้านตัวฉันเองที่ตอนนี้เหลือคนเดียวแล้วก็มีนัดที่ต้องไปเช่นกัน ตั้งใจว่าข้าวกลางวันก็จะไม่กินไป วันนี้จะขอไปฝากท้องกับฝีมือเจ้าหมอนที่อวดนักอวดหนาว่ากับข้าวฝีมือตัวเองรสชาติดีกว่าที่ไปกินที่ร้านเมื่อวันก่อนซะหน่อย
ฉันฮัมเพลงเบาๆ เดินไปทางออกอาคารเรียน ตั้งใจว่าจะโผล่ไปเซอร์ไพรส์อาคิยามะแบบไม่ให้ตั้งตัวถึงบ้านซะหน่อย
เพราะก่อนหน้านี้หมอนั่นไม่เคยบอกเลยว่าบ้านตัวเองอยู่ตรงไหน แต่ฉันก็พอจะเดาได้อยู่ แน่นอนว่าโอกาสถูกผิดมีพอๆ กัน
[‘ถ้าไม่ถูกค่อยโทรถามก็ได้แล้ว’]
คิดง่ายๆ แค่นั้นแล้วก็พาตัวเองมุ่งหน้าสู่ประตูโรงเรียน แต่ยังไม่พ้นทางออกอาคาร ข้อความจากกลุ่มแชทเพื่อนสาวก็เด้งขึ้นมาซะก่อน เนื้อในใจความนั้นถามไถ่ว่างานของฉันเสร็จหรือยัง
ฉันหยุดยืนพิมพ์ข้อความตอบกลับเพื่อนๆ อยู่หน้าประตูทางออกอาคาร
พิมพ์ส่งไปปั๊บ ทางนั้นก็ส่งกลับมาปุ๊บ เห็นแล้วก็มั่นใจได้เลยว่าพวกเธอต้องกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่แน่ๆ
เมกุมิ : [ไหนๆ ก็มารวมตัวกันที่โรงเรียนแล้ว เราไปร้องเกะกันเถอะ]
อ่านแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าทุกคนมาทำอะไรกันที่โรงเรียน เลยลองเดินไปดูตามตำแหน่งนัดหมายที่เมกุมิแจ้งมา
ตำแหน่งที่ว่านั้นก็คือห้องสมุดของโรงเรียนมัธยมปลายเอกชนที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดของภูมิภาคนี้
ใหญ่โต โอ่อ่า ยิ่งใหญ่ สมภาคภูมิ…
เรียนที่นี่มาก็ตั้งเกือบ 1 ปี แต่นี่คือครั้งแรกที่ฉันได้เดินเข้ามาในห้องสมุดของโรงเรียน
ความรู้สึกแรกที่เข้ามาคือมันช่างใหญ่โต หรูหรา ดูดีกว่าหอสมุดข้างนอกบางแห่งซะอีก
ปริมาณหนังสือเองก็มีมาก มากจนละลานตา ฉันคิดเล่นๆ ว่าถ้าต้องเดินหาหนังสือสักเล่มในนี้จะต้องใช้เวลาสักกี่นาทีถึงจะเจอ
หลังจากเดินเลี้ยวขวาสองครั้ง เลี้ยวซ้ายอีกครั้งหนึ่ง แล้วเดินตรงเข้าไปจนสุด ฉันก็พบเพื่อนๆ กำลังนั่งรออยู่ในจุดอ่านหนังสือที่ทั่วทั้งบริเวณนั้นไม่มีใครอื่นนอกจากเพื่อนฉันทั้งสามคน
ทักทายกันเล็กน้อยอาโอะจังก็เป็นคนไขข้อสงสัยให้ฉันว่าทำไมทุกคนถึงมารวมกันอยู่ที่ห้องสมุดของโรงเรียน
“พอดีฉันชอบมาอ่านหนังสือที่นี่น่ะคะ โดยเฉพาะวันหยุดแบบนี้ที่ไม่ค่อยมีคนมา แล้วที่นี่ก็มีหนังสือแทบทุกประเภทเลย จะมาติวหนังสือกันก็ได้ด้วยแต่ห้ามเสียงดังค่ะ… แล้วพอเมกุมิจังรู้ว่าฉันกับอามายะจังมาโรงเรียนก็โทรตามเซริจังให้มาด้วยกัน… แล้วก็เลยมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ค่ะ”
“ก็อย่างที่อาโอะว่ามานั่นแหละ ไหนๆ วันนี้ก็ว่างตรงกันทั้งที พวกเราไปร้องเกะกันเถอะ เสร็จแล้วก็ไปโยนโบว์ เดินเล่นอีกนิดหน่อย แล้วค่อยกินข้าวก่อนกลับบ้าน…”
เมกุมิร่ายรายการสำหรับเที่ยวเล่นในวันนี้ของพวกเราด้วยท่าทางคาดหวังและตื่นเต้นจนฉันรู้สึกผิดที่จะต้องบอกปฏิเสธเพื่อนๆ
“เอ่ออ… คือว่า… ฉันมีนัดแล้ว”