ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 100 สัปดาห์ที่ 36 โอโตเมะ อามายะ (1)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 100 สัปดาห์ที่ 36 โอโตเมะ อามายะ (1)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ฤดูใบไม้ร่วงกำลังผ่านไปและฤดูหนาวก็เข้ามารับไม้ต่อทันทีแบบไม่มีขาดช่วง แต่อากาศที่ช่วงนี้หนาวจนต้องใส่เสื้อโค้ตกันหนาวมาโรงเรียนไม่ได้ช่วยดับความร้อนแรงของเพื่อนรักเพื่อนสนิทของฉันลงแม้แต่น้อยเลย
อาโออิ เซริ เพื่อนสาวคนสนิทคนแรกในโรงเรียนนี้ เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดก็ว่าได้ ตอนนี้กำลังบอกปฏิเสธผู้ชายสองคนที่มาชวนเธอไปเที่ยวในวันที่ 24 ที่จะถึงในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า
ทุกท่านคงงงว่าทำไมถึงต้องมาชวนกันเร็วขนาดนี้ มันอีกตั้ง 3 สัปดาห์เชียวนา ค่อยมาทีหลังก็ได้
ฉันจะเฉลยให้ฟังเองค่ะ สาเหตุอย่างแรกก็เพราะว่าวันนั้นน่ะมันเป็นวันพิเศษอย่างวันคริสต์มาสอีฟยังไงล่ะคะ ส่วนอีกสาเหตุก็เพราะว่าเพื่อนของฉันน่ะเป็นสาวฮอตแหละ
ฮอตขนาดที่ว่าสัปดาห์นี้โดนผู้ชายมาสารภาพรักไปแล้วถึง 3 ครั้ง แถมแต่ละครั้งมีโปรไฟล์ไม่ธรรมดาทั้งนั้น อย่างเช่นหมอนั่นน่ะ อืมมม… ชื่ออะไรหว่า… นั่นแหละ ดีกรีประธานชมรมเบสบอลเลยล่ะ แต่เพื่อนฉันน่ะปฏิเสธเขาแบบไม่เหลือใยเลย
– “ขอบคุณนะ แต่ฉันยังไม่อยากคบกับใครน่ะ” –
เป็นประโยคปฏิเสธที่เซริมักพูดบ่อยๆ จนฉันชักจะจำได้แล้วล่าสุดก็ได้ลองเอามาปรับใช้บ้างเหมือนกัน
“ขอโทษด้วยนะ พอดีฉันลงเวลางานพิเศษช่วงวันหยุดไว้เต็มวันเลยน่ะ คงไปด้วยไม่ได้หรอก”
“งั้นหรออ… น่าเสียดายจัง งั้นคุณโอโตเมะล่ะ สะดวกไหม?”
“ฉันมีนัดแล้วน่ะ”
ตอบไปพร้อมกับรอยยิ้มเจิดจ้า หึๆ … สกิลนี้ก็ก๊อบปี้มาจากเซริเช่นกัน
หลังจากไล่สองคนนั้นแบบอ้อมๆ ไปได้แล้ว ฉันกับเซริที่เสียเวลาช่วงพักเที่ยงอันมีค่าไปกับ… อืมมม นั่นแหละ จึงได้กลับมานั่งกินข้าวกับเพื่อนๆ ที่รออยู่ในห้อง
ช่วงนี้หลายๆ คนเลือกที่จะกินข้าวในห้องเรียน เพราะอากาศข้างนอกเริ่มหนาวแล้ว ดังนั้นเรื่องที่เราสองคนถูกผู้ชายเรียกไปคุยด้วยเมื่อกี้จึงไม่พ้นหูพ้นตาของคนในห้องไปได้
สายตาหลายคู่มองมา แต่เป็นสายตาอยากรู้อยากเห็นซะเป็นส่วนใหญ่ไม่ใช่สายตาที่มองในแง่ลบเหมือนเมื่อก่อน
“เป็นไงมั่ง พวกนั้นทำตัวรุ่มร่ามอะไรใส่พวกเธอหรือเปล่า?”
เมกุมิที่นั่งรอกินข้าวพร้อมกันกับอาโอะจังหันมาถามทันทีที่ฉันกับเซรินั่งลงที่โต๊ะ
“ไม่มีอะไรหรอก เป็นพวกที่คุยรู้เรื่องกว่าขี้เมาที่ชอบมาวุ่นวายที่ร้านเยอะ”
เซริตอบเมกุมิพลางเอาข้าวกล่องขึ้นมา ฉันเองก็หยิบของตัวเองขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“แล้วอามายะจังล่ะ? ไม่โดนพวกนั้นทำอะไรนะ?”
คราวนี้อาโอะจังที่แกะขนมปังไส้ถั่วแดงเสร็จแล้วถามบ้าง สีหน้าเธอดูเป็นห่วงฉันมากกว่าตอนถามเซริซะอีก
“ไม่หรอก ฉันก็เป็นตัวแถมแบบทุกทีนั่นแหละ ชินแล้ว อีกอย่างเซริก็อยู่ด้วย ถ้ามีอะไรฉันให้เซริจัดการเลย”
“นี่เธอเห็นฉันเป็นอะไรเนี่ย ทหารกล้าตายหรือไง?”
“ใครจะไปคิดงั้น เซริน่ะ ต้องเป็นเพื่อนรักเพื่อนเลิฟเท่านั้นแหละ ไหนๆ มาหอมทีนึงซิ”
“พอๆๆ ไม่ต้องมายอกันเลย ไปกินข้าวเธอไปโน่น นี่… อย่ามากอดนะ หนอยย…นี่แน่ะ”
“อั๊ยย… เล่นอะไรเนี่ย?”
“อืมมม… ยังเต็มไม้เต็มมือเหมือนเดิม แถมรู้สึกดีอย่างที่เมกุมิบอกจริงๆ ด้วย”
“ใช่มั้ยล่ะๆ ถ้าพูดถึงขนาดอาจจะสู้บางคนไม่ได้ก็จริง แต่เรื่องสัมผัสเด้งดึ๋งแล้วก็แรงดีดสะท้อนนั่นน่ะ ฉันยังไม่เคยเจอใครสู้ได้เลย”
“พะ… พูด… พูดอะไรของพวกเธอเนี่ย? นี่มันในห้องเรียนนะยะ”
“แหมๆๆ ไม่ต้องอายไปหรอก มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจนะ ใช่มั้ยเซริ?”
“ถั่วต้มแล้ว อืมมม…”
“อย่าขยำซิยะ…”
กว่าจะดิ้นรนจนหลุดรอดจากเงื้อมมือมารของเซริก็เล่นเอาทั้งเหนื่อยทั้งอายเพราะสายตาของผู้ชายในห้องเกือบครึ่งที่มองมาที่พวกเรา ส่วนพวกที่ไม่มอง ฉันมั่นใจมากว่า 8 ใน 10 ส่วนต้องตั้งใจฟังอยู่แน่ๆ
หลังมื้ออาหารกลางวันก็เป็นช่วงสั้นๆ ของการพักผ่อน ในตอนที่กำลังคิดว่าจะตอบข้อความของอาคิยามะที่ส่งมากวนประสาทกันกลับไปยังไงดี อาโอะจังก็เปิดประเด็นใหม่ในวงสนทนาขึ้นมา
อาโอะ : “รู้สึกมั้ยคะว่าช่วงนี้พวกเราตกเป็นเป้ามากขึ้นน่ะค่ะ”
เมกุมิ : “หมายความว่าไงที่ว่าตกเป็นเป้าน่ะ?”
อาโอะ : “ก็แบบว่าถูกพูดถึงมากขึ้น ถูกมองมากขึ้น เริ่มมีคนเข้ามาคุยกับเรามากขึ้น อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ”
เมกุมิ : “แล้วไม่ดีหรอ? ฉันว่าก็ดีออกนะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องหรือข่าวลือแปลกๆ ด้วย แถมดูเหมือนจะมีหนุ่มๆ มาสนใจเพื่อนเรามากเป็นพิเศษอีกต่างหาก”
เมกุมิหันมาพยักหน้าเนาะๆ ให้เซริกับฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วอยากจะบิดแก้มนั้นแรงๆ
แต่คิดอีกทีก็เป็นอย่างที่เมกุมิว่า หลังจากจบปัญหาเรื่องคดีความของฮิบิซึ เรกะแล้ว ทั้งฉันและเซริก็ไม่มีข่าวลือแปลกๆ ออกมาอีก
ตรงกันข้าม ข่าวลือเสียๆ หายๆ ของฮิบิซึกลับถูกขุดคุ้ยออกมาส่งต่อกันจนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโรงเรียนอยู่ช่วงหนึ่ง
ข่าวลือพวกนั้นมีตั้งแต่เธอกับเพื่อนมักจะทำตัวผิดระเบียบ เป็นเด็กเกเรที่ชอบรังแกคนที่ไม่มีทางสู้ ไถเงินรุ่นน้อง ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น สร้างข่าวลือ ทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงอาชญากรรมนอกโรงเรียน เรียกได้ว่ากลายเป็นคนเลวร้ายไปในชั่วเวลาไม่นาน
ข่าวลือเสียๆ หายๆ ของฉันหลายอย่างก็มีคนสืบค้นมาว่าเป็นฝีมือของฮิบิซึกับเพื่อนๆ ด้วยเช่นกัน ข่าวลือนี้มีน้ำหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อเพื่อนของยัยนั่นพากันมาขอโทษฉันกับเซริ และขอให้เรื่องระหว่างพวกเราจบๆ กันไป
ก็ไม่รู้หรอกว่าเกี่ยวข้องกันมั้ย แต่ฉันกับเซริ อันที่จริงก็พวกเราทั้งสี่คนเหมือนจับถูกจับตามองมากขึ้น ไม่ใช่แค่จากผู้หญิงเหมือนเมื่อก่อน แม้แต่ผู้ชายจากห้องอื่นตอนนี้ก็มีเข้ามาคุยกับพวกเรา แน่นอนว่าเป้าหมายหลักๆ คือมาคุยกับเซริ
เพื่อนสาวคนสนิทของฉันคนนี้หลังจากที่ฟื้นตัวจากการถูกหักหลัง ตอนนี้เธอกลับมาร่าเริงสดใสเหมือนก่อน ประกอบกับเป็นคนสวยอยู่แล้ว พอพวกผู้ชายรู้ก็พากันมาขายขนมจีบกันแทบไม่เว้นแต่ละวันจนบางทีก็รู้สึกรำคาญเหมือนกันเพราะเจ้าพวกนั้นมักจะเข้าหาฉันหรือไม่ก็เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มด้วย
ส่วนในห้องเรียนเองตอนนี้เองก็ดูจะเป็นมิตรกับฉันมากขึ้น ทุกวันนี้แทบไม่รู้สึกถึงสายตาไม่ดีที่มองมาที่ฉันแล้ว เพื่อนผู้หญิงหลายคนก็เริ่มเข้ามาคุยด้วยมากขึ้น ในขณะที่เพื่อนผู้ชายนอกจากกลุ่มนิโนะมิยะแล้วคนอื่นๆ ก็เหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนมากนัก
ดังนั้นแล้วชีวิตการมาโรงเรียนของฉันในช่วงหลังมานี้จึงสงบสุขดีไม่มีเรื่องน่าปวดหัว แต่ก็ใช่ว่าจะเผลอปล่อยตัวตามสบายจนเกิดข่าวลือแปลกใหม่ขึ้นมาอีก
โดยเฉพาะกับนิโนะมิยะที่ก็ยังคงเข้าหาฉันในรูปแบบของกลุ่มเพื่อน ปฏิเสธก็ไม่ได้แต่ถ้าเข้าใกล้ไปก็ลำบาก เป็นอะไรที่น้ำท่วมปากไม่รู้จะพูดยังไงดี
เรื่องนี้แม้แต่เซริเองก็ไม่รู้จะทำยังไง เนื่องจากหากปฏิเสธไปก็เท่ากับปฏิเสธกลุ่มเพื่อนทุกคนด้วย แบบนั้นก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้นแล้วฉันจึงต้องคอยระวังเอาเองไม่ให้เผลอไปอยู่ในสถานการณ์ 2 ต่อ 2 กับนิโนะมิยะ แน่นอนว่าถ้าเขาชวนไปไหนหรือทำอะไรที่อาจจะพาไปสู่สถานการณ์นั้นก็ควรบอกปัดไปเสีย
– “ตอนนี้คงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาแบบนี้ไปก่อนแหละ แต่ถ้าหมอนั่นเปิดประเด็นที่ส่อไปในเชิงชู้สาวหรือสารภาพรักกับเธอเมื่อไหร่ก็ค่อยจัดการตัดขาดให้เรียบร้อย” –
เป็นคำแนะนำจากเพื่อนสาวที่ฉันเห็นด้วยทุกประการ พร้อมกันนั้นฉันก็มีแนวคิดใหม่อีกอย่างหนึ่งที่น่าจะแก้ปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องพะวงเรื่องต่างๆ เลย วิธีที่ว่าก็คือประกาศให้ทุกคนรู้ว่าฉัน ‘มีแฟนแล้ว!!’ แต่เซริช่วยดึงสติฉันไว้ก่อน
– “ไปสารภาพรักแล้วก็คบกับเขาก่อนเหอะเธอน่ะ” –
อาาาา… ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดีน่ะซิ เฮ้อออ…
—
กิจวัตรประจำวันในช่วงนี้มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาจากเมื่อก่อน นั่นคือตอนก่อนเข้านอนจะต้องโทรไปหาเรื่องอาคิยามะ
แล้วก็เป็นฉันด้วยนะที่จะเป็นคนโทรไป หมอนั่นไม่เคยโทรหาฉันก่อนเลย มีแต่ว่าถ้าโทรไปแล้วไม่รับก็จะโทรกลับมาเท่านั้น
– “ก็ฉันไม่รู้นิว่าเธอจะว่างตอนไหน? สู้รอให้เธอว่างแล้วโทรมาง่ายกว่า” –
เป็นเหตุผลที่น่าหมั่นไส้ยิ่งนักไอ้เจ้าหมอนบ้า…
แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะบ้าแต่ฉันก็ยึดถือข้อตกลงนี้ เป็นฝ่ายโทรหาเขาก่อนทุกคืน เพราะนอกจากจะสะดวกกับทางฝั่งฉันแล้ว ทางอาคิยามะเองก็ดูจะปรับตารางเวลาของตัวเองให้ว่างรอฉันไว้เสมอด้วย
อันนี้ทำดีมากเจ้าหมอน…
ถือสายรอไม่นานอีกฝั่งก็กดรับสาย น้ำเสียงทุ้มซ่าๆ ติดเอื่อยๆ เหมือนคนง่วงนอนดังออกมาจากโทรศัพท์
[‘นอนแล้วหรอ?’]
มองเวลาก็เห็นว่าอยู่ในช่วงที่โทรคุยกันเหมือนทุกที หมอนี่เป็นอะไรหรือเปล่านะ…
พอเอ่ยถามข้อสงสัยออกไปอาคิยามะก็บอกแค่ว่าง่วงนิดหน่อยไม่ได้เป็นอะไร
“งั้นนายนอนพักไปก่อนดีกว่า ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะลำบากเอา”
“ไม่เป็นไรหรอก ปกติเธอก็ไม่ได้คุยนานอยู่แล้วนิ วันนี้ยังไม่ได้โดนฉันกวนเลยคิดถึงกันใช่ม้า~”
[‘คิดถึงแหละย่ะ แต่ใครจะไปบอกกันเล่า ตาทึ่ม’]
“นายส่งข้อความมากวนฉันแต่เช้าแล้วย่ะ สมองมีปัญหาหรือไงถึงได้ลืมไวขนาดนั้น? แต่เอาเถอะ… ฉันขี้เกียจเถียงละ พอดีมีเรื่องจะปรึกษานายหน่อย”
“เรื่อง?”
“คือฉันอยากได้หนังสือคู่มือเรียนเสริมใหม่น่ะ นายพอจะแนะนำให้ได้มั้ย?”
เพราะอาคิยามะบอกว่าง่วง ฉันเลยตรงเข้าประเด็นไม่ได้พูดเล่นกับเขาเหมือนปกติ
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับหลังจากรู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ก็คืออาคิยามะที่หน้าตาร้ายๆ ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับตำราหนังสืออะไรแบบนั้น
แต่ความเป็นจริงแล้วหมอนี่กลับเป็นหนอนหนังสือเฉยเลย รู้จักหนังสือเยอะมากโดยเฉพาะหนังสือเรียน
ทุกเล่มที่เขาแนะนำล้วนอ่านง่าย ตรงตามความต้องการของฉัน เรียกได้ว่าขอโจทย์ได้โจทย์ ขอเนื้อหาได้เนื้อหา ขอสรุปได้สรุป
“จะซื้อเพิ่มอีกเหรอ? ที่ให้เธอไปคราวก่อนอ่านจบแล้วจริงดิ?”
น้ำเสียงแฝงความประหลาดใจ ดูท่าอาคิยามะคงจะสงสัยไม่ก็ไม่คิดว่าฉันจะอ่านหนังสือที่ยืมเขามาจบแล้ว
“อันนั้นยังอ่านไม่จบ แต่อยากได้ของวิชาอื่นด้วยน่ะ”
“เอาแค่วิชาที่ตัวเองอ่อนก็พอแล้วนินา”
“ก็ฉันมันประเภทไม่รู้ว่าตัวเองอ่อนอะไรนินา แข็งตรงไหนก็ไม่รู้ด้วย คะแนนออกมาเท่าๆ กันหมดเลย”
อาคิยามะบอกว่าฉันประหลาด อย่างน้อยก็น่าจะมีวิชาที่ถนัดหรือไม่ถนัดบ้าง แต่ฉันกลับบอกเขาไม่ถูก
“งั้นเธออยากได้วิชาอะไร?”
“ที่จริงก็อยากได้ทุกวิชาเลยนะ นายว่าฉันควรเอาวิชาอะไรดี?”
“ฉันจะไปรู้เธอเรอะ? อืมม… งั้นแปบ”
[รูปภาพ]
เหมือนอาคิยามะจะส่งข้อความรูปภาพกลับมา เขาบอกว่าให้ฉันลองเลือกดู สนใจอันไหนก็บอก
แล้วพอฉันเปิดรูปภาพที่เขาส่งมาให้ก็ต้องตกใจเพราะมันเป็นรูปชั้นหนังสือใหญ่ๆ 2 ชั้น ที่มีหนังสือวางเรียงอยู่เต็มชั้น
พอซูมดูใกล้ๆ เหมือนชั้นหนึ่งจะเป็นหนังสือการ์ตูนหรือไม่ก็นิยาย หรือหนังสือจำพวกพ็อกเก็ตบุ๊ก ส่วนอีกชั้นนั้น
หนังสือเรียนทั้งชั้น…
มองคร่าวๆ แล้วไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยเล่ม ดูเหมือนจะมีทุกวิชา สันปกก็ยังดูใหม่มากด้วย
[‘หมอนี่กะจะเปิดห้องสมุดที่บ้านตัวเองหรือไง?’]
ความประหลาดใจทำให้ฉันเผลอหลุดพูดไปตามที่คิด อาคิยามะบ่นกลับมาเบาๆ ก่อนจะถามว่าจะเอาเล่มไหน
“เยอะอ่า เลือกไม่ถูกเลย”
“หรือจะมาเลือกเองที่นี่”
“เอ๊ะ? ได้เหรอ?”
“อ้าว? ทำไมไม่ได้ล่ะ?”
“ก็ชั้นหนังสือนี่มันอยู่ในห้องนอนนายนิ”
“ก็ใช่ไง ทำไม? หรือเธอกลัวว่าฉันจะหลอกพามาทำอะไรงั้นหรอ?”
“ตาบ้า! ลามก!!”
แกล้งว่าเขาไปเล่นๆ อาคิยามะเลยโวยวายกลับมาให้พอหอมปากหอมคอ จากนั้นจึงตกลงนัดวันกันว่าจะให้ฉันเข้าไปเลือกหนังสือเมื่อไร
“ตกลงวันเสาร์บ่ายนะ เธอจะมาบ่ายเลยไหม? หรือมาก่อนบ่าย? ฉันจะได้ทำข้าวเที่ยงเผื่อ”
“เหหห… นายทำอาหารเป็นด้วย?”
“รู้แล้วยังเนียนหลอกด่า งั้นก็อดไปละกัน”
“ง่าาา… อย่างอนซิคะคุณหมอน ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง นะๆๆ ดีกันน้าาา~”
“ชิ ยอมให้เพราะฉันเป็นคนใจกว้างหรอกนะ… แล้วตกลงว่าไง?”
“กินซิ นายเลี้ยงฉันจะปฏิเสธทำไม?”
“เธอนี่มัน…”
“น่ารักใช่มั้ยล่ะ? ฮิๆๆ”
“แน่นอนขอรับองค์หญิง”
“เฮะๆๆ เขินเลยเนี่ย”
“เฮ้อออ…”
สุดท้ายต่อล้อต่อเถียงกันไปตามเรื่องตามราวก่อนจะจบด้วยคำว่าฝันดีเหมือนทุกคืน