ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน - บทที่ 356 คนงามอยู่หนใด
ตอนที่ 356 คนงามอยู่หนใด
เนี่ยหย่วนเฉียวมองเถี่ยเสวียนอย่างจริงจัง “หรือว่าไม่ใช่?”
“ใช่ ๆๆ” ‘ก็ท่านเป็นเจ้านายนี่ ท่านบอกว่าใช่ก็ย่อมใช่!’ เถี่ยเสวียนพูดพลางบ่นในใจตัวเองไปพลาง
เขามองเนี่ยหย่วนเฉียวด้วยสายตาซับซ้อนอย่างสุดแสน สายตานั้นแฝงไว้ซึ่งแววเห็นใจ เจ้านายตัวเองเป็นอะไรไป? ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆถึงสายตาเสียขึ้นมาล่ะ?
หน้าตาอย่างจางซิ่วเอ๋อน่ะเหรอ คนงาม?
ผมแห้งฟูดั่งฟางข้าว สีผิวหรือก็หมองคล้ำเพราะต้องทำงานหนักและตากแดดมาหลายปี มือคู่นั้นก็ไม่นุ่มนิ่มนวลลื่นเหมือนดั่งมือของบรรดาคุณหนู แถมยังสากอีกด้วย
อืม น่าจะเพราะตบตีกับใครสักคนเมื่อคราวก่อน ถึงยังมีรอยแผลที่หน้าอยู่นิดหน่อย สะเก็ดแผลเริ่มลอก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีชมพูประหนึ่งตะขาบ ดูแล้วน่าจะใช้เวลาอีกพักใหญ่ถึงจะหายดี
ไหนจะทรวดทรงองค์เอวอีก
ถึงแม้ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อจะมีอายุสิบห้าปีแล้ว แต่ไม่อาจเทียบกับหญิงสาวในวัยเดียวกันได้เลย ตัวไม่สูงไม่เตี้ยยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่เรื่องที่แบนราบทั้งหน้าทั้งหลัง….ก็ไม่เห็นใกล้เคียงกับคำว่าคนงามตรงไหน?
ไหนจะเรื่องอารมณ์อีก ร้ายกาจที่สุด ไม่มีความอ่อนโยนนุ่มนวลของหญิงสาวเลยสักนิด
จางซิ่วเอ๋อในสายตาเนี่ยหย่วนเฉียวกับจางซิ่วเอ๋อในสายตาเถี่ยเสวียน ถ้าคนไม่รู้มาฟังพวกเขาพูดคงไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกัน
เถี่ยเสวียนในตอนนี้คงยังนึกไม่ออกว่ามีประโยคหนึ่งที่เขาว่าไว้ว่า
ความรักทำให้คนตาบอด
เนี่ยหย่วนเฉียวไม่ได้คิดว่าตัวเองมีใจให้จางซิ่วเอ๋อ เขาเพียงแต่นึกคิดจากใจจริงว่าจางซิ่วเอ๋อสวยในแบบของตัวเอง เป็นความสวยใสประหนึ่งเทือกเขาและสายน้ำที่สามารถหลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของผู้คน
ในเวลานี้ จางซิ่วเอ๋อ “คนงาม” ได้นอนหลับไปแล้ว
แน่นอนว่านางไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ในฝันของใครอีกคน
รุ่งเช้า จางซิ่วเอ๋อตักหมูพะโล้ขึ้นมาจากหม้อ ตั้งใจจะไปขายหมูพะโล้ต่อ
เมื่อเดินผ่านบ้านตระกูลหลิว จางซิ่วเอ๋อจึงหยุดครู่หนึ่ง และหยิบหมูพะโล้ประมาณครึ่งชั่งที่ตัวเองเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่บ้านแม่เฒ่าหลิว
บ้านของแม่เฒ่าหลิวดูแร้นแค้นและผุพังอย่างยิ่ง จนจางซิ่วเอ๋อแปลกใจนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าบ้านของแม่เฒ่าหลิวจะเป็นแบบนี้
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจางซิ่วเอ๋อ
นางยืนอยู่ในลานบ้านโดยไม่ได้เดินเข้าไปในตัวบ้าน และปริปากเรียก “แม่เฒ่าหลิว อยู่บ้านหรือไม่เจ้าคะ?”
แม่เฒ่าหลิวได้ยินเสียงจึงเดินออกมา พริบตาที่นางเห็นจางซิ่วเอ๋อ นางก็มีสีหน้าไม่พอใจ “เจ้ามาบ้านข้าทำไม?”
ถึงแม้นางจะไม่ได้เกลียดแม่ม่ายน้อยนี่เท่าใด แต่แม่ม่ายน้อยนี่ดวงกินสามีนะ ถ้านางมาหาแล้วนำความอัปมงคลมาสู่บ้านตัวเองจะทำอย่างไร?
จางซิ่วเอ๋อรู้ดีว่าแม่เฒ่าหลิวคิดอะไรอยู่ นางจึงบอกจุดประสงค์ของตัวเองออกมาในบัดดล “นี่คือหมูพะโล้ที่ข้าทำเจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันจะพูดจบ แม่เฒ่าหลิวก็กังวลขึ้นมา “ข้าบอกเจ้าเลยนะ ข้าไม่ชอบกินเนื้อ ข้าไม่ซื้อหรอก”
จางซิ่วเอ๋อจึงพูดต่อจากตอนแรก “ครั้งก่อนบอกว่าจะเอามาให้ท่านชิม หากท่านไม่รังเกียจโปรดรับไว้เถอะเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าหลิวได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา สายตาคู่นั้นจ้องหมูในมือจางซิ่วเอ๋อเขม็ง ก่อนจะร้องเสียงหลง “ว่าอย่างไรนะ? นี่ให้ข้าเหรอ?”
จางซิ่วเอ๋อยื่นหมูให้แม่เฒ่าหลิวและเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านอย่าบอกใครเชียว ข้าเองค้าขายแบบต้นทุนน้อย ได้กำไรไม่มาก จะแจกให้ทุกบ้านคงไม่ได้”
“ก่อนหน้านี้ท่านดีกับข้ามาก ข้าจำได้ตลอด หมูนี่จึงถือว่าตอบแทนท่าน” จางซิ่วเอ๋อกล่าวต่อ
แม่เฒ่าหลิวได้ยินดังนั้นก็มีท่าทางเคร่งเครียดขึ้น นางมองซ้ายมองขวา อย่าให้ใครเห็นเข้าเชียว ของแบบนี้เรื่องอะไรต้องให้คนพวกนั้นด้วย?
แม่เฒ่าหลิวได้ยินจางซิ่วเอ๋อพูดแบบนี้แล้วรู้สึกชอบใจมาก
นางไม่รังเกียจว่าจางซิ่วเอ๋อให้ของน้อยไปหรอก
ถึงอย่างไรในใจของแม่เฒ่าหลิว จางซิ่วเอ๋อก็ไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรนาง
ก่อนหน้านี้นางพูดเข้าข้างจางซิ่วเอ๋ออยู่หลายครั้งก็จริง แต่นั่นไม่ใช่เพราะอยากช่วยจางซิ่วเอ๋อ นางแค่อยากมีส่วนร่วม และได้ปะทะกับแม่เฒ่าจางด้วย
ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อมาตอบแทนนางขนาดนี้ถือว่าเป็นเรื่องสุดยอดประหนึ่งมีของกินหล่นมาจากฟ้าแล้ว ในเมื่อเป็นของกินที่หล่นมาจากฟ้า ก็คงไม่รังเกียจว่ามีน้อยไป
อีกอย่าง นี่เนื้อชิ้นใหญ่เลยนะ ปกตินางไม่กล้าซื้อหรอก
หลายวันก่อนแม่เฒ่าซ่งซื้อเนื้อมาชิ้นหนึ่งยังเดินอวดไปทั่ว! ตอนนี้นางเองก็มีกินบ้างแล้ว!
แต่นางไม่พูดเรื่องที่ตัวเองมีเนื้อกินให้คนอื่นฟังหรอก เดี๋ยวคนอื่นจะได้ผลประโยขน์ไปด้วย ประโยชน์แบบนี้ตัวเองได้แต่ผู้เดียวก็พอ
“ช่างประเสริฐนักซิ่วเอ๋อ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นเด็กเอาใจผู้อื่นเป็น ไม่เหมือนกับย่าเจ้าที่ไม่ยอมตาย ๆ ไปสักที” แม่เฒ่าหลิวชมจางซิ่วเอ๋อไปพลาง เหยียดหยามแม่เฒ่าจางไปพลาง
แม่เฒ่าหลิวไม่คิดว่าการที่ตัวเองว่าร้ายแม่เฒ่าจางต่อหน้าจางซิ่วเอ๋อจะไม่เหมาะ
ส่วนจางซิ่วเอ๋อนั้นไม่สนใจจะปกป้องแม่เฒ่าจางหรอก
แน่นอนว่าตัวนางคงไม่มีทางนินทาแม่เฒ่าจางกับคนอื่น คำพูดบางอย่างแค่คุยกับคนสนิทก็พอแล้ว แต่ถ้าพูดกับคนอื่น ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่หลายออกไปจะกลายเป็นว่านางเป็นคนไม่ดี
ถึงอย่างไรนางเป็นหลาน ในยุคสมัยที่กตัญญูถือเป็นคุณธรรมสูงสุด การว่าร้ายย่าตัวเองไม่ว่าอย่างไรก็เกินไปหน่อย
จางซิ่วเอ๋อไม่ทำอะไรที่โดนผู้อื่นเอาไปพูดได้หรอก
“คือว่า ซิ่วเอ๋อ เจ้าอย่ามัวยืนอยู่ตรงนั้น เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ” แม่เฒ่าหลิวได้หมูพะโล้ของจางซิ่วเอ๋อมา จึงถูกใจจางซิ่วเอ๋อมากขึ้น เวลานี้นอกจากจะไม่รังเกียจว่าจางซิ่วเอ๋ออัปมงคลแล้ว ยังรู้สึกว่าการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจางซิ่วเอ๋อจะช่วยให้มีหน้ามีตาขึ้นมาได้
จางซิ่วเอ๋อยิ้มพลางกล่าว “ไม่ล่ะเจ้าค่ะ ข้าต้องไปขายหมูพะโล้ในเมืองอีก ไว้วันหลังข้าว่างแล้วจะมานะเจ้าคะ”
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นวันหลังเจ้าอย่าลืมมานั่งเล่นที่บ้านข้านะ” แม่เฒ่าหลิวบอกอย่างสนิทสนม
ต่อให้ปกติแม่เฒ่าหลิวพูดจาไม่ค่อยน่าฟังเท่าใด เวลานี้ก็เริ่มพูดจาดีกับจางซิ่วเอ๋อแล้ว
ตอนที่จางซิ่วเอ๋อไป แม่เฒ่าหลิวไม่ได้ไปส่ง
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากไปส่ง แต่ตอนนี้นางรอกินเนื้อไม่ไหวแล้ว
เพราะจางซิ่วเอ๋อเพิ่งเอาออกมาจากหม้อ เวลานี้ยังร้อนๆ อยู่เลย
แค่เห็นก็อยากอาหารแล้ว
โดยเฉพาะแม่เฒ่าหลิวที่อยากกินเนื้อมานาน
ในหมู่บ้านชิงสือนี้ ครอบครัวที่กินเนื้อได้บ่อยๆ มีแค่ไม่กี่บ้าน ครอบครัวที่เหลือแค่ข้าวก็จะกินไม่อิ่มแล้ว อย่าว่าแต่กินเนื้อเลย
แม่เฒ่าหลิวหั่นเนื้อและกินทันที
บัดนี้จางซิ่วเอ๋อกำลังเคลื่อนเกวียนลาออกจากหมู่บ้าน
จางชุนเถาพูดอย่างไม่พอใจ “พี่ เมื่อก่อนแม่เฒ่าหลิวพูดจาว่าร้ายเราไม่น้อยเลยนะ ทำไมพี่ต้องให้เนื้อกับนางด้วย”
…………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เถี่ยเสวียนทำใจเถอะค่ะที่มีเจ้านายคลั่งรัก ไว้มีความรักแล้วจะรู้เอง
ผูกมิตรไว้เพื่อหวังประโยชน์ไงชุนเถา
ไหหม่า(海馬)