ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 613 ความสามารถของเสี่ยวเวย
บทที่ 613 ความสามารถของเสี่ยวเวย
บทที่ 613 ความสามารถของเสี่ยวเวย
“เหอะ จะไม่ยอมงั้นสิ? เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เจ้าตกมาอยู่ในเงื้อมมือของข้าล่ะ? อีกอย่างเจ้าไม่ไปที่อื่น ดันมายืนอยู่หน้าประตูวัง ข้าว่าเจ้าส่งตัวเองมาตายเอง”
เสี่ยวเวยนั่งยองอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้นั้นอย่างอดทน พร้อมกับออกแรงบีบปลายคางของนาง พรั่งพรูวาจาโดยไร้ซึ่งความอ่อนโยน
พี่รองเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเขา เขาไม่มีทางให้ใครหน้าไหนมาคุกคามชีวิตของพี่รองโดยเด็ดขาด
ส่วนผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้ว่ามีแผนการอะไร ถึงกล้าบุกเข้ามาเหยียบจมูกของทหาร ถ้านางยังไม่บอกเรื่องเหล่านั้น เกรงว่านางคงไม่ได้รับการปล่อยตัวเป็นแน่ นัยน์ตาของนางแดงก่ำราวกับผีดิบกระหายเลือด แต่ไม่นานมันก็หายวับไป หญิงผู้นั้นทรุดตัวลงกับพื้นอย่างรุนแรง เสี่ยวเวยจึงใช้เท้าเขี่ยใบหน้าของนาง
“ข้าบอกเจ้าแล้ว ให้บอกเรื่องที่เจ้ารู้มาทั้งหมด มิเช่นนั้นใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
กล่าวจบ ก็ใช้เท้าเตะอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ใบหน้าของหญิงผู้นั้นแตกเลือดทะลัก แต่ก็ยังไม่ออมแรงแต่อย่างใด
หญิงสาวผู้นั้นรู้สึกถึงความเจ็บปวดร้าวรานอยู่บนใบหน้าของตัวเอง เหมือนกับว่าเนื้อหนังบริเวณหน้าไม่สมบูรณ์แล้ว นางเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองไปหาเรื่องคนแบบไหน เป็นอย่างที่คิดไว้ คนตรงหน้าก็คือคนบ้าแน่นอน!
มิเช่นนั้นทำไมถึงได้โหดเหี้ยมแบบนี้ หรือว่าเขาไม่รู้จักการทะนุถนอมผู้อื่น?
ไม่นาน ทหารคนหนึ่งก็ยกอาหารเข้ามาอีกครั้ง ครั้นเสี่ยวเวยเห็นว่ามีคนเข้ามา จึงได้ยกเท้าออก จากนั้นก็นั่งบนเก้าอี้ตามเดิม
“ค่อย ๆ ป้อนนาง แต่ต้องให้นางอิ่ม” ครั้นเห็นผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้น เสี่ยวเวยก็ได้แต่คลี่ยิ้มบาง ๆ
ผู้หญิงคนนั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะปริปากบ่น ถูกใครไม่รู้ยัดอาหารเข้าปาก ก่อนจะรู้สึกถึงอาหารที่ไหลผ่านลำคอ ตอนนี้นางไม่หิวแล้วและคงกินต่อไม่ไหว แต่กลับไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน นางไม่รู้ว่าจะต้องแสดงความรู้สึกทรมานนั้นออกมาอย่างไร
ต่อให้นางพูดได้ เชื่อเลยว่าคงไม่มีใครฟังนาง ถึงอย่างไรคนที่นี่ก็ล้วนเป็นคนของเหยาเฉาทั้งสิ้น ใครเล่าจะฟังคำพูดสายสืบคนนี้?
ไม่นาน อาหารชามนั้นก็ถูกยัดเข้าไป กระทั่งทหารคนนั้นออกไป เสี่ยวเวยก็ยังไม่เคลื่อนไหว ได้แต่นั่งมองอยู่บนเก้าอี้
อาหารที่ถูกป้อนเมื่อครู่เสมือนมื้ออาหารที่ไม่เต็มใจกินมันถูกยัดให้ไหลลงท้อง หญิงสาวผู้นั้นรู้สึกได้ถึงกรดความเปรี้ยว จากนั้นก็อาเจียนออกมา แต่ผ้าที่ถูกยัดอยู่ในปาก ต่อให้อาเจียนออกมาก็ยังขังอยู่ในปาก รสชาตินั้นทำให้นางอยากตายแต่ก็ตายไม่ได้จริง ๆ
ครั้นเห็นท่าทางของหญิงสาวผู้นั้น ในใจของเสี่ยวเวยก็เริ่มเบิกบานใจ คนที่กล้าคุกคามพี่รองของเขา ไม่มีวันได้อยู่ดีกินดี
กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป อาหารถูกยกเข้ามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเห็นอาหาร น้ำตาที่เอ่อล้นออกมาก็พากันพรุ่งพรูไม่ขาดสาย
“ฮือ ฮือ ฮือ….ฮือ ฮือ ฮือ” อย่าทำแบบนี้ ข้าพูด ข้าพูดแล้ว!
ครั้นเสี่ยวเวยเห็นสีหน้าของนาง ก็เข้าใจความหมายของนาง จึงหยิบกระโถนใบหนึ่งออกมา หยิบผ้าที่ยัดอยู่ในปากของหญิงสาวผู้นั้นออก เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ หญิงสาวผู้นั้นอาเจียนเอาอาหารออกมาทั้งหมด
“อยากพูดแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าพูด ข้าพูดแล้ว แค่เจ้าอย่าทรมานข้าแบบนี้อีก ข้ายอมพูดทุกอย่างแล้ว!”
ดูเหมือนหญิงสาวผู้นั้นกลัวการทรมานไปโดยปริยาย ทันทีที่เสี่ยวเวยพูดจบก็รีบเปล่งเสียงพูดอย่างรวดเร็ว
“ก็ได้ พวกเจ้าไปเชิญใต้เท้าเหยามา” เสี่ยวเวยสั่งทหาร หนึ่งในทหารกลุ่มนั้นได้วิ่งออกไปเชิญอีกฝ่ายเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ส่วนคนอื่น ๆ มีวิสัยทัศน์กว้างไกลลากตัวของหญิงสาวผู้นั้นมาข้างผนัง ให้นางได้เอนกายพิงดี ๆ
ไม่นาน เหยาเฉาก็กลับเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้าง ยอมพูดแล้วใช่หรือไม่?”
“อื้อ เจ้าว่ามาสิ ใต้เท้าเหยาอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าอย่าได้เล่นลูกไม้เด็ดขาด”
“ข้าไม่ทำ ไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ ไม่กล้าอีกแล้ว” ดูเหมือนนางจะกลัวเสี่ยวเวยไม่น้อย สายตาของหญิงสาวผู้นั้นพยายามหลบเลี่ยงเสี่ยวเวยตลอด เหมือนกับเขาเป็นคนบ้าคนหนึ่ง
เหยาเฉาเห็นภาพนั้น ก็อดมองเสี่ยวเวยไม่ได้ นัยน์ตาล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชม
ครั้นสัมผัสได้ถึงสายตาของเหยาเฉา เสี่ยวเวยก็รีบก้มหน้าลงอย่างอดไม่ได้ ต่อหน้าพี่รอง เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงกลยุทธิ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่อพี่รอง เขายินดีปฏิบัติ
“ว่ามาสิ มันเกิดอะไรขึ้น?”
“คนที่อยู่เบื้องหลังข้าสั่งให้ข้าทำเจ้าค่ะ”
“คนที่อยู่เบื้องหลังของเจ้าคือใคร?”
“ข้าไม่ทราบ…” ดูเหมือนหญิงสาวผู้นั้นกลัวว่าคำตอบนี้จะยั่วโมโหเสี่ยวเวย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาถึงได้เบาเป็นพิเศษ
“หื้อ?”
“ข้าไม่รู้จริง ๆ! ทุกครั้งที่ข้าไปเจอเขาก็มักมีผ้าคลุมไว้ตลอด ข้ารู้แค่ว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง”
“หลังจากนั้น?”
“หลังจากนั้น เขาก็บอกข้าว่าช่วงนี้ในวังเกิดเรื่องใหญ่ ให้ข้ามาดูว่ามีอะไรและให้รีบรายงานเขาให้ทราบทันที”
“เจ้าติดต่อเขาอย่างไร?”
“ข้าแค่สอดจดหมายไว้ใต้ต้นไม้แก่หน้าประตูเมืองต้นนั้น ประเดี๋ยวจะมีคนมารับมันไป”
“เขาสั่งให้เจ้ามาเฝ้าดูเท่านั้นใช่ไหม?”
“เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้โกหกเจ้า!”
“แล้วทำไมถึงต้องไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าประตูวัง ข้าว่าหลังต้นไม้เป็นตำแหน่งที่ไม่เลวเลยนะ”
“ก็…ก็เพราะข้าได้ยินว่าช่วงนี้องค์รัชทายาทมักจะเสด็จออกนอกวังอยู่บ่อยครั้ง เลยคิดว่า ถ้าได้เจอกับองค์รัชทายาท…”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวเวยก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นผู้หญิงที่ช่างพร่ำเพ้อยิ่งนัก
คิดว่าทำแบบนี้จะได้รับความโปรดปรานจากองค์รัชทายาทแล้วอย่างนั้นหรือ? ก็เป็นได้แค่ก้อนเนื้อเท่านั้น ถ้าองค์รัชทายาททรงปรารถนาจริง ๆ เหตุใดตอนนี้ถึงยังตามตื๊อคุณหนูหลินอยู่ล่ะ
ส่วนเหยาเฉาครั้นได้ยินคำพูดของหญิงสาวผู้นั้น จึงจดจำมันไว้เงียบ ๆ ในใจ แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา
“แล้วที่เจ้าพูดออกมาก่อนหน้านั้นล่ะ?”
“เรื่องเหล่านั้นเป็นความจริง ต่อมาชายผู้โง่เขลาหวังเอ้อก็ถูกชายผู้นั้นฆ่าตาย ข้าติดตามชายผู้นั้นออกไปปฏิบัติภารกิจ ส่วนเด็กทั้งสองคนของข้า ถูกข้าบีบคอตายด้วยมือของข้าเอง”
ในตอนที่พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหญิงสาวผู้นั้นได้แสดงความเจ็บปวด ราวกับว่าเด็กสองคนนั้นเป็นความอัปยศของนาง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ครั้นได้ยินในสิ่งที่ตัวเองอยากฟัง เหยาเฉาก็หมุนตัวเดินจากไป ส่วนเสี่ยวเวยก็ไม่ได้อยู่ต่อ หญิงสาวผู้นั้นกล้าหาญกว่าหญิงมากมายในใต้หล้า แต่ก็ไร้ยางอายยิ่งกว่า
เมื่อสั่งให้ทหารจัดการทุกอย่างแล้ว เหยาเฉาก็เข้าไปในห้องหนังสือพร้อมกับเสี่ยวเวย
“เสี่ยวเวย เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของผู้ใด?” เหยาเฉานั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะหยิบตำราข้างตัวขึ้นมาอ่าน
“พี่รอง เรื่องนี้อาจจะมีเงื่อนงำมากกว่านั้น”
“ว่ามาสิ” เหยาเฉาไม่ได้ตื่นตกใจนัก แต่ให้เสี่ยวเวยแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา
“พี่รองไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างบังเอิญเกินไปรึ? ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งมาถึงหน้าประตูวังก็ถูกทหารจับตัว อีกทั้งคนผู้นั้นก็ไม่ได้ให้ผู้หญิงปรากฏตัวตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นนางเองที่เสนอความคิดเห็น แต่ถ้าสามารถสั่งสอนผู้หญิงคนหนึ่งให้กลายเป็นคนเชื่อฟังเช่นนี้ ความสามารถในการมองทะลุปรุโปรงจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้อื่น ดังนั้นเขาจะต้องรู้แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้จะทำเช่นนี้”
“ที่เจ้าพูดก็ถูก ต่อไปเราคงต้องเหนื่อยกันหน่อย”
“พี่รองคิดไว้ในใจแล้วใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่เชิง เจ้ายังจำคำพูดที่เจี่ยงเถิงได้ลั่นไว้ก่อนออกเดินทางได้หรือไม่”
“จำได้ หรือว่า…”
“ถูกต้อง ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดจู่ ๆ เจี่ยงเถิงถึงได้มาหาข้ากะทันหัน ที่แท้ก็เพราะเหตุผลนี้นี่เอง แต่ต่อให้เขาจะขายชื่อเสียงของข้า ข้าก็ยังยืนหยัดต่อไป”
“คิดว่าเจี่ยงเถิงคงเห็นแก่หน้าคุณหนูหลินถึงได้ทำเช่นนี้”
“ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็ย่อมดีเสมอ ถ้าเอ้อหลางเข้าใจได้ครึ่งหนึ่งของเขา ข้าก็ไม่ต้องปวดหัวขนาดนี้”
“พี่รองอย่าร้อนใจไป ความจริงเอ้อหลางรู้ความมากนะ แต่ต้องใช้เวลายาวนานหน่อยก็เท่านั้น”
“อาจจะ” ครั้นนึกถึงเหยาเอ้อหลาง สมองของเหยาเฉาก็เริ่มปวดระดม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายของตัวเองถึงไม่เหมือนตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“แน่นอน”
“เสี่ยวเวย มีหลายครั้งที่ข้าต้องขอบคุณที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า เจ้าช่วยข้าไม่น้อยจริง ๆ วันนี้เจ้าอย่าเพิ่งรีบกลับนะ พักผ่อนที่นี่ก่อน”
ครั้นได้ยินคำพูดของเหยาเฉา เสี่ยวเวยก็ไม่พูดสิ่งใด นอกจากตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย “ขอรับ”
เหยาเฉายกมือขึ้นมาแตะไหล่ของเสี่ยวเวย เขาสัมผัสได้ถึงความสงบ ตอนแรกเขาไม่คิดว่าจะเกี่ยวพันกับเสี่ยวเวยมากเพียงนี้ แต่ตอนนี้เขากลับมีความสุข โชคชะตาเล่นตลกจริง ๆ