ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 587 พี่อาเถิงแสนดีที่สุด
บทที่ 587 พี่อาเถิงแสนดีที่สุด
บทที่ 587 พี่อาเถิงแสนดีที่สุด
หลายวันหลังจากนั้น
“พี่อาเถิง วันนี้เราไปเดินเล่นในตลาดกลางคืนกันดีหรือไม่?”
หลินซือพูดกับเจี่ยงเถิงที่กำลังเขียนพู่กันอยู่ในลานกว้าง
หลังจากที่ทั้งสองคนหมั้นหมายกัน เจี่ยงเถิงก็มาเยี่ยมเยือนจวนหลินถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถสานความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไว้ด้วยกัน เจี่ยงฉีและเหยาซูย่อมเบิกบานใจเป็นธรรมดา
“ได้สิ อาซืออยากกินอะไร พี่อาเถิงจะซื้อให้เจ้ากิน”
อาซือของตนคือนักชิมตัวยง ดังนั้นเรื่องที่เจี่ยงเถิงเบิกบานใจที่สุดก็คือการได้ป้อนของกินให้กับหลินซือ
แต่หลินซือไม่ได้อวบอ้วนแต่อย่างใด ไม่ว่าจะกินเท่าไรก็ดูผอมเพรียวเช่นเดิม มีแค่ใบหน้าที่เจ้าเนื้อขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
“อื้อ พี่อาเถิงแสนดีที่สุด”
ครั้นได้ยินเจี่ยงเถิงตอบรับ หลินซือก็รีบเอ่ยด้วยความดีใจ
ทุกครั้งที่ได้ออกไปข้างนอกกับพี่อาเถิง นางมักเบิกบานใจเสมอ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินซือ เจี่ยงเถิงก็ได้แค่ยิ้ม
ช่วงนี้การได้อยู่กับอาซือมากขึ้นทำให้เขาเบิกบานใจอย่างมาก เพราะช่วงนี้องค์จักรพรรดิเรียกตัวเขาบ่อยครั้งขึ้น สิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสล้วนแต่ปรารถนาให้เขาไปตรวจสอบราคาเกลือ อีกทั้งช่วงนี้ความสนใจที่องค์จักรพรรดิมีต่อเขาก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ครั้งนี้ก็คงจะส่งเขาไปในฐานะทูต
ถ้าองค์จักรพรรดิส่งเขาไปจริง ๆ คาดว่าต่อไปคงจะอยู่เป็นเพื่อนหลินซือไม่ได้เป็นเวลานาน ดังนั้นเจี่ยงเถิงจึงอยากจะคว้าโอกาสนี้อยู่กับอาซือของตัวเองให้มากที่สุด
เรื่องนี้เขาเคยปรึกษาหารือกับหลินเหราแล้ว หลินเหราเองก็คิดว่างานราชการเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเรื่องของเจี่ยงเถิง เขาจึงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงมากกว่านี้ได้
ตราบใดที่เขาจริงใจกับลูกสาวของตนโดยแท้จริง ถ้าเขาสามารถเสนอหนทางในงานราชการที่สะดวกให้กับเขาได้ หลินเหราก็คงไม่ปฏิเสธ
สำหรับเหยาซู เจี่ยงเถิงค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ
ในฐานะที่ไม่ใช่คนยุคสมัยนี้ สายตาที่เหยาซูมองผู้ชายจึงค่อนข้างเข้มงวดกว่าสายตาของหญิงในสมัยนี้ สำหรับเจี่ยงเถิงนางไม่มีทางมองพลาด
“อาซือ ช่วงนี้ ข้าต้องออกไปงานราชการ ดังนั้นข้าอาจจะไม่ได้มาหาเจ้าสักช่วงหนึ่ง เจ้าจะนึกถึงพี่อาเถิงหรือไม่?”
เจี่ยงเถิงจรดปลายพู่กันสุดท้ายลง เขาลังเลอยู่หลายคราสุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมา
“พี่อาเถิงจะไปที่ไหนหรือ?”
หลินซือตะลึงงัน ก่อนจะได้สติกลับมาแล้วถามขึ้น
“ต้องไปยังที่ที่ไกลแสนไกล คาดว่าต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนกว่าจะกลับ”
เจี่ยงเถิงไม่ค่อยอยากบอกว่าตัวเองไปไหน เพราะกลัวว่าเอ้อเป่าและมารดาของตนจะเป็นห่วง
“อ่า? ข้าขอตามพี่ไปด้วยได้หรือไม่ พี่อาเถิงวางใจได้เลย ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับพี่อาเถิงแน่นอน ข้าแค่อยากออกไปหาแหล่งลูกค้าที่กว้างขึ้นให้กับร้านหยกอวี้ฝู”
หลินซือรีบพูดอย่างว่องไว ราวกับกลัวว่าเจี่ยงเถิงจะปฏิเสธ
สำหรับอาซือ เจี่ยงเถิงไม่เคยพูดปฏิเสธ แต่การออกไปงานราชการในครานี้สำคัญยิ่งชีพ
ถ้าเขาไปคนเดียวย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน ต่อให้คนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีทางทำอะไรที่มันเกินเลยได้ แต่ถ้าอาซือตามเขาไปด้วย เขากลัวว่าอาซือจะกลายเป็นเป้าหมายของคนเหล่านั้น
อีกทั้งอาซือก็ไม่เคยห่างบ้านไปไกล จะปรับตัวได้อย่างนั้นหรือ?
เจี่ยงเถิงไม่เหมือนหลินซือ เขามักจะครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบทุกครั้ง เพราะถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องของหลินซือ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา ไม่มีข้อแม้
“เรื่องนี้ข้าขอคิดดูก่อน”
“อื้อ เจ้าค่ะ”
นางรู้ว่าพี่อาเถิงไม่มีทางตอบแบบขอไปทีแน่นอน ดังนั้นหลินซือจึงซักไซ้ไล่ถามอีก
ปกติพี่อาเถิงก็ลำบากใจมากอยู่แล้ว นางไม่อยากให้เพิ่มภาระให้พี่อาเถิงไปมากกว่านี้
ทั้งสองคนอยู่ในลานกว้างไปตลอดถึงช่วงบ่าย หลินซือนั่งปักลายดอกไม้อย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างกาย เจี่ยงเถิงให้คนนำพู่กัน หมึก จานฝนหมึกและกระดาษเข้ามา จากนั้นก็วาดอากัปกิริยาของหลินซือให้ออกมาอย่างงดงาม
หลินซือในภาพวาดเกล้ามวยผมด้วยปิ่นลายดอกไม้ แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาว ดูงดงามมาก ท่าทางการปักลายอย่างจริงจังทำให้ภาพวาดนี้ออกมาเหมือนมีชีวิตชีวา
“พี่อาเถิงเก่งยิ่งนัก วาดข้าออกมาได้งดงามมาก” เจี่ยงเถิงนำภาพหญิงงามที่วาดออกมาอย่างประณีตนั้นให้หลินซือดู จนได้รับคำชมของหลินซือ เขายิ่งเบิกบานใจ
“เดิมทีอาซือก็งดงามมากอยู่แล้ว”
เจี่ยงถิงยิ้ม จากนั้นก็ลูบไล้แก้มอันน่ารักของหลินซือ เนื่องจากอายุของหลินซือยังน้อยนัก จึงค่อนข้างใช้สิ่งของจำพวกชาดปากและแป้งน้ำน้อยมาก แต่ใบหน้าของนางยังคงอ่อนเยาว์ชุ่มชื่นอิ่มเอิบตลอดเวลา น่ารักยิ่งนัก
“พี่อาเถิงอย่าหยิกข้าสิ ข้าเจ็บ”
“จริงหรือ?”
“ไม่จริง ข้าไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่อาซือโตแล้ว พี่อาเถิงไม่ควรหยิกแก้มข้าเหมือนตอนเด็กอีก ข้าก็ต้องหวงหน้าตาของตัวเองบ้างสิ!”
ขณะที่อาซือพูด มือทั้งสองถูกยกขึ้นมาเท้าสะเอว แสดงท่าทางจริงจังยิ่งนัก
“ก็ได้”
“คุณชายเจี่ยง ฮูหยินเชิญคุณชายเข้าไปคุยในห้องเจ้าค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานกับเจี่ยงเถิง
“รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เจี่ยงเถิงตอบกลับ จากนั้นก็หันไปพูดกับอาซือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาซือรอข้าอยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าเข้าไปคุยกับท่านอาซูไม่นาน ประเดี๋ยวข้ากลับมา เข้าใจหรือไม่?”
“อื้อ พี่อาเถิงรีบไปรีบกลับเถอะ”
เมื่อได้รับคำตอบที่แน่นอน เจี่ยงเถิงก็หมุนตัวแล้วเดินตามสาวใช้ออกไปข้างนอก
แม้ว่าเจี่ยงเถิงจะมาหลายครั้งจนคุ้นชินกับเรือนแต่ละหลังภายในจวนเหยาแล้ว แต่ครานี้เหยาซูส่งสาวใช้มาเรียกเขานั้นหมายความต้องเป็นเรื่องจริงจัง จึงได้แต่คาดเดาเหตุผลอยู่เงียบ ๆ ในใจ ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า นี่คือสิ่งแรกที่เขาได้เรียนรู้จากในราชสำนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะตื่นเต้นดีใจก็ห้ามแสดงออกทางสีหน้าเด็ดขาด
“เชิญคุณชายเจี่ยงเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินรออยู่ด้านในแล้ว”
“ขอบใจมาก” หลังจากที่สาวใช้ผู้นั้นนำทางมาถึงก็ถอยออกไป เจี่ยงเถิงเดินเข้าไปเคาะประตู เมื่อได้รับการอนุญาต เขาจึงเข้าไป
เขาเห็นเหยาซูนั่งอยู่พลางมองเขาอย่างเงียบ ๆ
“ท่านอาซูขอรับ ไม่ทราบว่าเรียกอาเถิงมามีเรื่องด่วนอันใดหรือขอรับ?”
“อาเถิงมาแล้ว รีบนั่งลงเถอะ” เหยาซูได้เฝ้าดูเจี่ยงเถิงตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่เช่นกัน ดังนั้นจึงค่อนข้างเข้าใจนิสัยใจคอของเจี่ยงเถิงอย่างมาก
แต่บางครั้ง ในฐานะที่นางเป็นมารดาก็ต้องไตร่ตรองเพื่อหลินซือ
นั่นก็ลูกนี่ก็หลานจะตัดใครไปไม่ได้ แต่ในใจของนางหลินซือคือคนที่สำคัญยิ่งกว่าเจี่ยงเถิง ตอนนี้เด็กทั้งสองคนล้วนหมั้นหมายกันแล้ว มีเรื่องราวมากมายที่ควรพูดให้ชัดเจน
เจี่ยงเถิงนั่งลง มองเหยาซูรอให้อีกฝ่ายพูดก่อน
ในฐานะชนรุ่นหลัง เขาต้องให้ความเคารพกับเหยาซูอยู่แล้ว
“อาเถิง ที่อาเรียกเจ้ามาหาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องต้องบอกเจ้า เรื่องเหล่านี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับเกี่ยวข้องกับชีวิตหลังจากนี้ของเจ้า”
“ทราบขอรับ เชิญท่านอาซูชี้แนะ อาเถิงจะตั้งใจรับฟังขอรับ” เจี่ยงเถิงเหมือนชนรุ่นหลังทั่วไป สุภาพและให้ความเคารพ
………………………………………………………………………………………………………….