ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 95 ถ้อยคำหวานหยดอะไรหรือ
บทที่ 95 ถ้อยคำหวานหยดอะไรหรือ
อากาศในวันนี้ไม่หนาวเย็นนัก แม้แต่สายลมก็ยังพัดพาความอบอุ่นมาด้วย ตำแหน่งที่เหยาซูนั่งนั้น สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออกลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าได้พอดี
นางเงยมองท้องฟ้าพลางกล่าวว่า “วันนี้มาเช้าเกินไป นักเล่าเรื่องจะเริ่มในช่วงครึ่งเช้า…”
หลินเหรามักจะมาพักเหนื่อยในร้านน้ำชาอยู่บ่อยครั้ง ทว่าไม่เคยได้ยินใครเล่าเรื่องมาก่อน จึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างอดเสียไม่ได้ “นักเล่าเรื่องคนนี้ มักจะเล่าเกี่ยวกับอะไรหรือ?”
เหยาซูยิ้มพลางกล่าวว่า “ในเดือนแรกของปีเคยมีการเล่าเรื่องพิลึกพิลั่นที่เจอมาตลอดทั้งเดือน โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของบัณฑิตตกอับที่เจอกับสาวงามนางหนึ่ง ต่อมาก็พบว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นปีศาจจิ้งจอก บ้างก็เป็นปีศาจปลา …บัณฑิตไร้ความสามารถต้องมาอยู่กับปีศาจสาวผู้เลอโฉมภายใต้แสงจันทร์นวลลออและบุปผาอันงดงาม เย้าแหย่กันไปมา มักดำเนินเรื่องราวไปในทางเดียวกัน”
หลินเหราได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยถามอย่างฉงนใจ “ฟังจากเจ้าพูดแล้ว ระดับการเล่าเรื่องก็ไม่ได้พิเศษอะไร เหตุใดเจ้าถึงมาฟังบ่อยนัก?”
เหยาซูยิ้ม “ก็แค่ฟังสนุก ๆ! ปกติข้าก็มาฟังเพื่อฆ่าเวลา บางครั้งก็ได้ฟังเรื่องราวที่บัณฑิตโง่เง่าเหล่านั้นทำ น่าขบขันยิ่งนัก!”
กิจกรรมบันเทิงในสมัยโบราณมีเพียงน้อยนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนแรกของปีทุกคนล้วนได้พักผ่อน ไม่มีอะไรทำนอกจากจะเย็บปักถักร้อยกับผู้เป็นแม่อยู่ในบ้าน บ้างก็ออกไปเดินเล่นพร้อมกับพี่สะใภ้ทั้งสอง ในเมื่อไม่มีอะไรสนุกเพลิดเพลินใจให้ทำ นางจึงทำได้แค่มานั่งฟังเรื่องเล่า
เมื่อนางเห็นหลินเหราไม่ค่อยสนใจกับสิ่งใด จึงอดถามเขาไม่ได้ “ฟังเรื่องเล่าได้แค่ชั้นหนึ่ง หากท่านสนใจ ประเดี๋ยวเราลงไปฟังสักเรื่องก็ย่อมได้!”
หลินเหราส่ายหน้า เดิมทีเขาก็แค่อยากเข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นภรรยาชอบมากขึ้นเท่านั้น
หากจะให้เขาไปฟังเรื่องเล่า ไม่สู้เขาไปอ่านเองเสียดีกว่า “ช่างเถอะ เรื่องเล่าของผู้คงแก่เรียน ข้าไม่สนใจหรอก”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เด็กในร้านก็ได้ยกน้ำชาและขนมเข้ามา ซึ่งบังเอิญได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคนพอดี
เด็กในร้านยิ้มพลางกล่าวกับเหยาซูว่า “ลูกค้าท่านนี้ ท่านเคยมาฟังเรื่องเล่าก่อนหน้านั้นแล้วใช่หรือไม่ขอรับ? ในเดือนแรกพวกผู้หญิงและเด็ก ๆ ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นเรื่องราวที่เราเล่าส่วนใหญ่จึงเกี่ยวกับความพิลึกพิลั่นดั่งที่ท่านได้พูดไว้ ทว่าวันนี้ร้านเราได้เปลี่ยนคนเล่าแล้ว! คุณชายลองไปฟังสักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ?”
เหยาซูได้ยินดังนั้น จึงกล่าวกับเด็กในร้านว่า “เขาไม่เคยฟังหรอก กลับเป็นข้าที่มักจะมาในเดือนแรกของปีอยู่บ่อยครั้ง ไม่ยักรู้ว่าคนเล่าเรื่องจะเปลี่ยนคนแล้ว คือใครงั้นหรือ?”
เด็กในร้านวางกาน้ำ จอกชา และขนมลงบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว พลางรินน้ำชาให้ทั้งสองคนโดยที่ปากก็พูดเจื้อยแจ้วต่อไป “ในช่วงฤดูใบไม้ผลิมีบัณฑิตวัยเยาว์ผู้หนึ่งมาเยือนร้านของเรา และเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังทุกวัน ไม่เพียงแต่มีหน้าตาที่งดงาม ทั้งยังมีเรื่องราวที่น่าฟังเก็บไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว…”
เหยาซูกลับส่ายหน้า “หนุ่มน้อย เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก เมื่อหลายวันก่อนข้ามาที่ร้านน้ำชา คนเล่าเรื่องยังเป็นคนเก่าที่เล่าเรื่องประหลาดนั้นอยู่เลย”
ไฉนจะมีบัณฑิตวัยเยาว์อะไรนั่นได้?
รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กในร้านไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด “ไอหยา ท่านลูกค้า ท่านฟังข้าให้จบก่อนสิ! เมื่อหลายวันก่อนเขาผู้นั้นป่วยหนักสองวัน เราจึงเชิญท่านอาจารย์หม่ามาอีกครั้ง วันนี้หากท่านอยู่นานอีกหน่อย จะต้องได้เจอกับนักเล่าเรื่องคนใหม่แน่นอน! เมื่อได้ฟังเรื่องราวของเขา เกรงว่าท่านจะไม่อยากกลับ คาดว่าคงอยู่ร้านน้ำชาของเราถึงเที่ยงวันเลยก็ได้ ฮ่าๆ !”
เหยาซูถูกเขาดึงดูดความสนใจ พลางถามว่า “แล้วเรื่องเล่าของบัณฑิตผู้นั้นน่าฟังมากเลยงั้นหรือ? เรื่องอะไรล่ะ?”
เมื่อเด็กในร้านเห็นนางอัธยาศัยดี จึงเริ่มพูดรัวราวกับน้ำไหลไฟดับ “บัณฑิตน้อยของเราไม่ใช่บัณฑิตทั่วไปหรอกนะ เขามาจากทางตอนใต้ เรื่องเล่าสนุก ๆ ในหัวของเขามีมากมายนัก! เรื่องราวอันไกลโพ้นที่ท่านเองก็คิดไม่ถึง เป็นเรื่องราวที่ท่านไม่เคยฟังมาก่อน ทั้งยังเลือกคำมาร้อยเรียงได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย พูดได้ว่าเป็นถ้อยคำที่สละสลวย ทุกคำมีค่าดุจดั่งไข่มุกที่งดงาม … ตอนนี้เรากำลังเล่าถึงอัตชีวประวัติของบรรดาผู้สูงศักดิ์อยู่พอดีเลยขอรับ!”
คิดดูสิหากได้ฟังบัณฑิตระดับซิ่วไฉเล่าเรื่องทุกวัน เด็กในร้านก็คงจะพูดสำนวนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เหยาซูแย้มยิ้ม “คนที่เก่งถึงเพียงนี้ มาเล่าเรื่องในร้านน้ำชาของพวกเจ้าได้อย่างไรกัน?”
เด็กในร้านทอดถอนใจ “เฮ้อ! เรื่องดีไม่มาคู่ เรื่องไม่ดีไม่มาเดี่ยว … เดิมทีบัณฑิตซิ่วไฉผู้นั้นก็ไม่ได้ท้อใจถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ถูกคนพามาผิดทาง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้หลงมายังเมืองชิงถงของเราได้ ทั้งยังทำค่าเดินทางหายทั้งหมดอีกด้วย เดิมทีเขาต้องไปสอบในเมือง จึงจำใจต้องมาเล่าเรื่องในร้านน้ำชา เพื่อหาเงินใช้จ่ายระหว่างทาง!”
เมื่อหลินเหราได้ยินว่าบัณฑิตซิ่วไฉผู้นั้นต้องการเข้าเมือง จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้และเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เมืองชิงถงทางทิศตะวันออกในตอนนี้ไม่ค่อยสงบนัก เขาทำค่าเดินทางหายจึงเดินทางต่อไม่ได้ อาจไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนัก”
เมื่อเด็กในร้านเห็นเขาพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งและชัดเจน เหมือนรู้เรื่องราวมากมาย จึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า “ดูท่าคุณชายท่านนี้น่าจะรู้เรื่องราวของทิศตะวันออกไม่น้อยเลยสิท่า? เราได้ยินมาจากพ่อค้าที่ไปมาหาสู่เขาพูดกัน เหมือนจะมีโจรภูเขาปรากฏตัว…”
เมื่อเห็นหลินเหราพยักหน้ายอมรับ เด็กในร้านแสดงสีหน้าหดหู่ใจพลางถามว่า “จวนตรวจการเมื่อปีก่อนมีคนออกโรง จัดการโจรที่อาศัยอยู่บนภูเขาไปแล้วไม่ใช่หรือขอรับ?”
หลินเหรากล่าวเสียงเคร่งขรึม “ภูเขาเฮยหู่กับไป๋หู่ในตอนนี้มีโจรชั่วอีกกลุ่มที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมอาศัยอยู่ แขกที่ไป ๆ มา ๆ ในร้านน้ำชาของพวกเจ้าก็ไม่น้อย แพร่ข่าวนี้ออกไป เตือนภัยทุกคนให้เดินทางไปยังทิศตะวันออกอย่างระมัดระวัง”
“รบกวนเจ้าแล้วละ น้องชาย” เหยาซูกล่าว
เด็กในร้านส่งเสียง ‘ไอหยา’ ออกมา
เห็นพวกเขาสองคนนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ก็รู้ว่าเป็นลูกค้าที่มาหาความสงบสุขในร้านน้ำชา เด็กในร้านนั้นเฉลียวฉลาดมากจึงไม่ได้เข้ามารบกวนหลินเหราและเหยาซูอีก นอกจากพูดอย่างเกรงใจสองสามประโยคแล้วจึงลงข้างล่างไป
ทิวทัศน์จากด้านบนไม่เลวเลย เห็นฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่ไปมาในเมืองชิงถง หลินเหราและเหยาซูนั่งดื่มชาไปพลาง กินขนมไปพลาง เสพสุขกับความสงบในช่วงเวลาหนึ่ง
แสงแดดยามรุ่งสางที่ไม่ร้อนแรงนักสาดส่องลงมาบนใบหน้าของหญิงสาว เหยาซูเอนกายพิงขอบหน้าต่าง แสดงท่าทางเกียจคร้านและสบายใจ หลินเหราเองก็ผ่อนคลายเช่นเดียวกัน
สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของนางเลยตั้งแต่มาถึงร้านจนถึงตอนนี้ เขากล่าวกับนางว่า “อาซู หากเจ้าชอบร้านน้ำชานี้ หลังจากย้ายเข้ามาในเมืองแล้ว มาฟังเรื่องเล่าไปดื่มชาไปทุกวันก็ย่อมได้”
เสียงของชายหนุ่มทุ้มต้ำและมีเสน่ห์มากจนเหยาซูอดยิ้มไม่ได้ “นักเล่าเรื่องผู้นั้นน้ำเสียงแหบแห้ง ไหนเลยจะไพเราะเทียบเท่าท่านได้? ข้ากำลังคิด หากท่านยอมมาเล่าเรื่อง คิดดูสิสาวใหญ่สาวน้อยในเมืองชิงถง คงจะมาเฝ้าคอยท่านในร้านน้ำชาทั้งวันเป็นแน่…”
เมื่อเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์คล้ายกับสุนัขจิ้งจอกของภรรยา หลินเหราพลันนึกถึงกระต่ายที่ตัวเองเคยชอบเมื่อครั้งเยาว์วัยขึ้นมา
เขาส่ายหน้าและอดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนไม่ได้ “ข้ามาเล่าเรื่องไม่ได้หรอก”
“คิกๆ” เหยาซูหลุดหัวเราะออกมา นางแค่ล้อเล่นเท่านั้น เหตุใดชายผู้นี้ต้องจริงจังด้วย?
สายตาชายหนุ่มจับจ้องไปยังใบหน้าของเหยาซูอีกครั้ง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าแสดงสีหน้าอ่อนโยนลงอย่างน่าเหลือเชื่อ “หากเจ้าอยากฟังเรื่องเล่า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังแต่เพียงผู้เดียว”
ในชั่วพริบตานั้น เหยาซูราวกับสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างจากสายตาคู่นั้นของหลินเหรา มันดึงดูดนางเข้าไปและจมหายอยู่ในสถานที่ที่ทั้งกว้างใหญ่และลึกจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามไร้ที่ติ แม้แต่รอยแผลเป็นบนหางคิ้ว ก็แต่งแต้มเพิ่มความโหดร้ายบนใบหน้าที่เย็นชาของเขา
สมองของนางวิงเวียนเล็กน้อย ตามมาด้วยหัวใจที่เต้นเร็วรัว เลือดพลันสูบฉีดแรงขึ้น
เหยาซูเริ่มเข้าใจพวกสาว ๆ ที่ไล่ตามคนที่ตนเองชอบเหล่านั้นทันที
เมื่อพวกนางเห็นดาราที่ตนเองชื่นชอบบนหน้าจอ ก็ยังไม่สามารถควบคุมจิตใจที่ตื่นเต้นได้ ทุกสายตาของเด็กสาวที่ไล่ตามดารามักจะเปล่งประกายดุจดวงดาว
เวลานี้ คนที่มีรูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติดุจดั่งดาราตัวเป็น ๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งยังใช้คำพูดไพเราะเสนาะหูมาปลอบประโลมผู้อื่น เหยาซูจึงยิ่งรับมือไม่ไหว
“ทำไมท่านถึงพูดจาหวานหยดได้เพียงนี้…”
นางกำลังถูกหยอกล้อจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ทว่าผู้ที่พูดจาหยอกล้อผู้นั้นกลับดูไม่ได้สังเกตเห็น ตรงกันข้ามกลับถามอย่างสงสัยว่า “ถ้อยคำหวานหยดอะไรหรือ?”
……………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ผู้ชายเย็นชาบทจะหวานขึ้นมาก็หวานตัดขาใช่ย่อยนะคะเนี่ย อาซูไหวไหมคะ
ไหหม่า(海馬)