ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 577 สารภาพ
บทที่ 577 สารภาพ
บทที่ 577 สารภาพ
“เหตุใดถึงได้โง่เขลาเพียงนี้”
เมื่อเห็นการกระทำของลู่เหยา ในสายตาขององค์รัชทายาทก็ฉายแววไม่พอใจ เหตุใดเขาถึงมองไม่เห็นถึงความปราดเปรื่องของนางเลย ทุกครั้งที่เจอนาง ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์หลงทาง ก็ต้องยืนตกตะลึง ไม่ได้ปราดเปรื่องเหมือนกับหลินซือแต่อย่างใด
“หม่อมฉันรู้ว่าตัวเองโง่ หม่อมฉันรู้ตัวเองมาตลอด แต่หม่อมฉันก็คาดไม่ถึงเช่นกันเพคะ”
เดิมทีลู่เหยาก็น้อยเนื้อต่ำใจอยู่แล้ว หลังจากได้ยินคำพูดขององค์รัชทายาท ความน้อยเนื้อต่ำใจข้างในก็ทะลักออกมาเป็นระลอก
นางอยากฉลาดเหมือนกับหลินซือบ้าง อยากเป็นที่รักของทุกคน นางพยายามมาตลอด แต่ผู้เป็นมารดาไม่เคยพอใจเลยสักครั้ง องค์รัชทายาทก็หาว่านางโง่เขลา หรือว่านางจะไม่มีประโยชน์เช่นนั้นจริง ๆ?
องค์รัชทายาทก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าคำพูดที่ไม่ได้ใส่ใจของตัวเองจะตอกย้ำความเจ็บปวดของเด็กหญิง ครั้นเห็นเด็กหญิงกำลังจะหลั่งน้ำตา ก็เริ่มกระวนกระวายอยู่ข้างใน
เพียงชั่วพริบตาเดียวต่อจากนั้น เขาก็กลายเป็นองค์รัชทายาทที่เย็นชาและไร้ความรู้สึกอีกครั้ง
“ว่าเจ้าเพียงไม่กี่คำ เจ้าก็ร้องไห้แล้ว พวกเจ้ามัวอึ้งอะไรกัน? ยังไม่พานางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอีก?”
“เพคะ”
นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างรู้การมีตัวตนของลู่เหยามาโดยตลอด แต่แม้กระทั่งองค์รัชทายาทก็ไม่สนใจ พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
บัดนี้องค์รัชทายาทมีรับสั่งแล้ว พวกนางจึงกรูกันเข้าไปโอบกอดนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ประคองลู่เหยาเข้าไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวในห้อง
ภายในลานกว้างเหลือเพียงองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุอยู่ในใจ
กระทั่งนึกถึงวันเวลาที่ถูกกักขังอยู่ในตำหนัก ตอนนี้หลินซือและเจี่ยงเถิงผู้นั้นคงจะเที่ยวด้วยกันอย่างเบิกบานใจแล้วสินะ?
แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไร หลินซือก็ต้องเป็นพระชายาของตัวเองอยู่ดี นี่คือเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ลู่เหยา….นางไร้เดียงสาเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะมีชีวิตอยู่ในวัง
…
หลินซือและเจี่ยงเถิงเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทาง นั่นคือชนบทเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้ชื่อของตระกูลเจี่ยง ซึ่งแตกต่างจากคราวที่แล้ว
แม้ว่าจะเป็นชนบท แต่ความเป็นจริงแล้วมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ เจี่ยงเถิงไม่ได้พาหลินซือเข้าไปในชนบท แต่พานางมายังริมธารขนาดเล็กรอบนอก
ด้านหนึ่งคือลำธาร อีกด้านคือไร่นาของชาวนา นอกจากนี้ยังมีภูเขาที่ตัดสลับกันไปมาอยู่เลือนรางไกล ๆ ช่างเป็นทิวทัศน์ที่งดงามมากจริง ๆ
“พี่อาเถิง ที่นี่งดงามมาก ท่านรู้จักที่นี่ได้อย่างไร?”
ตั้งแต่หลินซือลงจากรถม้าก็ชื่นชมไม่ขาดปาก
แม้นางจะเคยไปชนบทที่อื่น แต่ก็ไม่เคยเห็นที่ไหนเหมือนกับชนบทที่นี่มาก่อน ทั้งการแบ่งสรรปันส่วนที่เหมาะสม อีกทั้งชนบทในคราวที่แล้วก็ยังไม่งดงามเพียงนี้
“ที่นี่คือชนบทของข้า ข้าย่อมรู้จักเป็นธรรมดา เป็นอย่างไร? เจ้าชอบที่นี่หรือไม่? ที่นี่คงไม่ได้ทำให้เจ้าผิดหวังกระมัง?” เจี่ยงเถิงเดินมาข้างกายของหลินซือ และพูดกับนาง
“อื้อ ชอบมาก ข้าสบายใจมากด้วย” ระหว่างพูด หลินซือก็เกิดความฮึกเหิม วิ่งเหยาะ ๆ ไปยังริมธาร ชะโงกหน้าไปมองเงาที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็มีปลาตัวหนึ่งว่ายเข้ามา และก็ว่ายจากไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หลินซือตื่นตกใจอย่างมาก
“พี่อาเถิง ที่นี่มีปลาด้วย น่ารักยิ่งนัก”
“อื้อ น่ารักมาก” แต่น่ารักสู้เจ้าไม่ได้
ในใจของเจี่ยงเถิง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเทียบเคียงหลินซือไม่ได้ ดังนั้นขอแค่หลินซือชอบเขาก็ชอบ
“อาซือระวังด้วย อย่าตกลงไปนะ ตรงนี้ลื่นมาก”
“อื้อ พี่อาเถิงวางใจเถอะ ข้าจะระวัง” พูดจบ ก็เห็นหลินซือค่อย ๆ ย่อตัวลง เล่นน้ำอย่างเบิกบานใจ
เจี่ยงเถิงค่อย ๆ ก่อไฟ จากนั้นก็หักกิ่งไม้จากด้านข้างหนึ่งไม้ แล้วเดินไปยังริมธาร
“พี่อาเถิง ท่านจะทำอะไร?”
“อาซือ อยากกินปลาไหม? พี่อาเถิงจะย่างปลาให้เจ้ากิน”
“อื้อ อยากกิน ปลาที่นี่ต้องอร่อยมากแน่นอน” ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง หลินซือก็ตอบตกลงอย่างแน่วแน่
แม้ว่าจะมีแค่ปลาย่างไม่มีน้ำแกง แต่อาหารที่พี่อาเถิงทำจะต้องอร่อยอย่างแน่นอน
“เยี่ยม เช่นนั้นอาซือไปนั่งรอข้าง ๆ ก่อน พักผ่อนสักครู่ อีกประเดี๋ยวข้าจะย่างให้เจ้า”
“ได้” ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง หลินซือก็วิ่งออกจากริมธาร แล้วนั่งบนเก้าอี้ ดูเจี่ยงเถิงจับปลา
กระทั่งเห็นเจี่ยงเถิงพุ่งกิ่งไม้ลงไป ไม่นานปลาตัวหนึ่งก็ถูกไม้แหลมนั้นเสียบกลางลำตัว เวลานี้ยังคงดิ้นพล่านไม่หยุด
“ว้าว พี่อาเถิงเก่งที่สุด!”
ครั้นได้ยินเสียงของหลินซือ เจี่ยงเถิงก็คลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว อาซือคือความสุขของเขามาโดยตลอด
จากนั้นเจี่ยงเถิงก็ดึงปลาออกจากไม้ จัดการทำความสะอาดอย่างรวดเร็วอยู่ริมธาร แล้วเสียบลงบนไม้ที่สะอาดก้านหนึ่ง ก่อนจะวางย่างบนกองไฟ หยิบสัมภาระบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ในนั่นเต็มไปด้วยเครื่องปรุงที่ได้รีบการเตรียมไว้อย่างดี หลินซือต้องยอมรับว่าพี่เถิงคนนี้รอบคอบมากจริง ๆ!
ไม่รู้ว่าส่วนตัวเขาต้องฝึกฝนมากี่ครั้ง ในตอนที่เจี่ยงเถิงย่างปลาทุกกระบวนการดำเนินไปอย่างคล่องแคล่ว ส่วนหลินซือก็มองดูอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ได้พูดสิ่งใด บรรยากาศรอบตัวดีเสียเพียงนี้ ไม่มีใครอยากทำลายภาพที่งดงามเช่นนี้
เจี่ยงเถิงยื่นปลาที่ถูกย่างจนสุกแล้วในมือให้หลินซือ ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำล้วนเพื่อรอยยิ้มของอาซือ ถ้าทำให้อาซือเบิกบานใจได้ ให้เขาทำสิ่งใดย่อมได้
“พี่อาเถิง ทำไมปลาที่ท่านทำถึงได้อร่อยเช่นนี้?”
“เพราะข้าทำมันอย่างจริงจัง อีกอย่างตอนที่ข้าทำข้าได้พูดกับปลาเบา ๆ ว่า เจ้าต้องออกมาอร่อยนะ ไม่อย่างนั้นอาซือของเรากินไม่ได้แน่ นางเลือกกินมาก”
“พูดมั่วแล้ว ข้าเลือกกินที่ไหน? ขอแค่พี่อาเถิงทำ ก็อร่อยทั้งนั้น”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความสุขของเจี่ยงเถิง หลินซือก็พลันหน้าแดงระเรื่อ พี่อาเถิงชอบรังแกคนอื่นยิ่งนัก
“อื้อ ขอบคุณในความชื่นชมของอาซือ เช่นนั้นต่อไปข้าจะย่างปลาให้เจ้าตลอดชีวิตเลยดีไหม?”
“พี่อาเถิง….” หลินซือคาดไม่ถึงว่าเจี่ยงเถิงจะโพล่งคำนี้ออกมา ใบหน้าของนางร้อนผ่าวทันใด เหมือนกับมีบางอย่างกำลังจะทะลุออกมาจากหน้าอกก็มิปาน
“อาซือ ข้าไม่ได้หยอกเย้าเจ้านะ ข้าชอบเจ้า ชอบมาก ๆ เจ้าจะยอมแต่งงานกับข้าหรือไม่? ข้าจะดีต่อเจ้า จะทำน้ำแกงปลาให้เจ้าไปตลอดชีวิต พาเจ้าไปเที่ยว ปกป้องเจ้าอย่างดี จะไม่มีทางรังแกเจ้าเด็ดขาด”
เจี่ยงเถิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง หลินซือก็ฟังอย่างจริงจังเช่นกัน นางรู้ว่าสิ่งที่พี่เจี่ยงเถิงพูดเป็นความจริง
เมื่อครู่ยังนั่งกินปลาดี ๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ? ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เปลี่ยนมาเป็นหัวข้อนี้ได้ น่าอายยิ่งนัก
“อื้อ” หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบตกลงไป
แม้นางจะไม่รู้ว่าความชอบที่เจี่ยงเถิงพูดหมายถึงอะไร แต่หลังจากนึกถึงภาพที่พี่อาเถิงต้องสู่ขอผู้หญิงคนอื่นแต่งงาน นางก็พลันรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ เหมือนกับถูกแย่งของมีค่าบางอย่างไรอย่างนั้น
เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วกระมังว่านางชอบพี่อาเถิงเข้าแล้วจริง ๆ? อยากมีเขาอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต? ใช่! ถึงกระนั้น ในตอนที่นางตอบตกลงไป นางก็รู้สึกดีใจอยู่ภายในด้วย
“จริงหรือ? เรื่องที่อาซือตอบตกลงแล้วกลับคำไม่ได้แล้วนะ พี่อาเถิงจดจำมันไว้ ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจแล้วนะ” ครั้นได้ยินการตอบตกลงของหลินซือ เจี่ยงเถิงก็รู้สึกว่าตัวเองราวกับล่องลอยในความฝัน
“พี่อาเถิงน่ารังเกียจยิ่งนัก หึ ข้าไม่พูดกับพี่แล้ว”
ครั้นเห็นการตอบสนองของเจี่ยงเถิง หลินซือก็ยิ่งเขินอายมากขึ้น แต่ความจริงแล้วในใจของนางดีใจมากทีเดียว
………………………………………………………………………………………………………………………….