ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 543 เขารู้สึกอับอายมาก!
บทที่ 543 เขารู้สึกอับอายมาก!
บทที่ 543 เขารู้สึกอับอายมาก!
ลู่เหยาตั้งใจกินอาหารตรงหน้า แต่นางผู้มีความอ่อนไหวง่ายสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของบรรยากาศบนโต๊ะอาหาร
พี่ใหญ่ผู้นั้น ดูเหมือนจะชอบพี่หลินซือเช่นกัน
แต่ดูเหมือนองค์รัชทายาทจะตั้งใจยั่วโมโหเขา เข้ามาเกาะแกะพี่หลินซือโดยเฉพาะ อิจฉาพี่หลินซือยิ่งนัก มีคนชอบมากมายเพียงนี้ อยากทำอะไรก็ได้ทำ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกผู้เป็นแม่ต่อว่า มารดาของพี่หลินซือก็ช่างอ่อนโยน ถ้ามารดาของตนอ่อนโยนเช่นนี้บ้างก็คงดี…
คนบนโต๊ะอาหารต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง และแล้วอาหารมื้อนี้ก็จบลงเช่นนี้
หลินซือที่กินอิ่มแล้วมีเรี่ยวแรงกระปรี้กระเปร่าเต็มที่ จึงเข้าไปรบเร้าเจี่ยงเถิงให้พาตัวเองไปการก่อไฟชุมนุม “พี่อาเถิง! ท่านพาทุกคนไปด้วยสิ! ท่านแสนดีที่สุด! อาซือชอบพี่อาเถิงที่สุด! ท่านพาข้าไปด้วยนะ ได้หรือไม่…”
เจี่ยงเถิงทนลูกอ้อนของหลินซือไม่ไหว เนื่องจากท้องฟ้ามืดแล้วจึงไม่อยากพาไปสักเท่าไร แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้
องค์รัชทายาทเห็นหลินซือแสดงท่าทางออดอ้อนอยู่ตรงหน้าเจี่ยงเถิง ก็อดอิจฉาตาร้อนไม่ได้ ทำไม? ทำไมนางต้องเป็นแค่พี่สาวเวลาอยู่ต่อหน้าของตัวเองตลอด? แต่กลับแสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าชายคนนั้น!
ต้องโทษอายุของตัวเอง! แต่เขาคงจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้!
เพราะถ้าปัญหาด้านอายุทำให้ตัวเองและหลินซือไม่ได้คู่กัน เขาจะไม่มีทางยอมรับชะตากรรมนี้เด็ดขาด!
“พี่อาซือ ข้าและลู่เหยาก็อยากไปด้วย…พี่พาเราไปด้วยเถอะ!”
อง์รัชทายาทเข้ามาเกาะขาของหลินซือพลางเอ่ยอย่างออดอ้อนเช่นกัน
หลินซือทนไม้อ่อนที่กำลังหว่านล้อมอยู่ไม่ได้ ทำได้แค่ตอบตกลงจะพาเด็กสองคนนี้ไปด้วย
แค่ครั้นเป็นเช่นนี้ก็จำต้องดูแลเด็กทั้งสอง แล้วจะเล่นอย่างสนุกสนานได้อย่างไร คิดได้ตรงนี้ หลินซือก็ทำได้แค่ทอดถอนใจอย่างเศร้าซึม
ครั้นท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆ คนในชนบทต่างเริ่มก่อไฟเพิ่มความสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า แสงไฟส่องสะท้อนดวงดาว ราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
พวกชาวบ้านต่างก่อไฟร้องเพลงเต้นระบำอย่างสนุกสนาน ครึกครื้นและน่ารัก เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานและการเต้นระบำที่เบิกบานใจ ทำให้รู้สึกสุขใจไม่รู้จบ
หลินซือแค่เดินผ่านก็ถูกบรรยากาศเหล่านี้ดึงดูดไป จนเริ่มเต้นตามโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังลากตัวเจี่ยงเถิงเข้ามาเต้นด้วยกัน
องค์รัชทายาทและลู่เหยามองผู้คนที่มีรูปร่างสูงกว่าตนในกลุ่มตรงหน้า จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป
พวกเขาตัวเล็กเพียงนี้ ขืนบุ่มบ่ามเข้าไปเต้นด้วยมีหวังถูกเหยียบตาย… ภายใต้ความจนปัญญา องค์รัชทายาทจึงทำได้แค่ยืนอยู่ด้านข้าง
“คนเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องตามติดข้า อย่าวิ่งมั่วซั่วเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหลงทางขึ้นมาข้าจะหาเจ้าไม่เจอ…” องค์รัชทายาทหันไปเอ่ยกับลู่เหยา
แม่นางผู้นี้มองอย่างตะลึงงัน ถ้าพลัดหลงขึ้นมาจริงเกรงว่าคงจะหาทางกลับมาไม่ได้
ผู้คนที่นี่ค่อนข้างเยอะและวุ่นวาย ถ้าถูกลักพาตัวไปตัวเองก็คงจะรับผิดชอบไม่ไหว
ลู่เหยามององค์รัชทายาทที่มีรูปร่างสูงกว่าตนเล็กน้อยตรงหน้า แล้วตอบ ‘อื้อ’ อย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ก้มหน้างุด เหม่อลอยต่อไป
เมื่อครู่เขา….เป็นห่วงตนใช่ไหม?
ลู่เหยาเงยหน้ามองคนตรงหน้า แสงจากเปลวไฟสะท้อนลงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ลบล้างความเย็นชาและสุขุมยามปกติของเขาไป ตรงกันข้ามกลับรู้สึกถึงความอ่อนโยนมากทีเดียว
จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าชายตรงหน้าผู้นี้ สว่างไสวยิ่งกว่าเปลวไฟ ไม่สิ สว่างไสวและงดงามยิ่งกว่าดวงดาว
ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้น ความอ่อนโยนดังเช่นดวงตะวันที่สาดส่อง มอบแสงสว่างในชีวิตตัวเอง ทั้งอบอุ่นและช่วยเหลือได้ดี…
“เฮ้! ลู่เหยา! ระวัง!”
คนร่างสูงจากกลุ่มหนึ่งได้พุ่งมาทางนี้ องค์รัชทายาทเรียกขานลู่เหยาอยู่หลายครั้งก็ยังไม่มีการตอบรับ จึงทำได้แค่ดึงตัวนาง ไฉนเลยจะไม่ระวัง ยืนไม่มั่นคง เลยพากันล้มไปทั้งสองคน
ลู่เหยาถูกองค์รัชทายาทโอบกอดปกป้องอยู่ในอ้อมแขน ครั้นสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในอ้อมกอดของเขา ลู่เหยาก็หน้าแดงขึ้นฉับพลัน
หลังจากที่องค์รัชทายาทมั่นใจว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เจ้าปัญญาอ่อนหรือหูหนวกกันแน่? ข้าเรียกเจ้าตั้งหลายครั้งเจ้าไม่ได้ยินหรือไร? เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าการเหม่อลอยยามเที่ยวเตร่ข้างนอกมันอันตรายมากเพียงใด? ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่ดึงตัวเจ้าเข้ามาตอนนี้เจ้าไร้ลมหายใจไปนานแล้ว!”
ลู่เหยาที่ถูกตวาดก็พลันตกใจจนร้องไห้ออกมา ก่อนจะพูดพลางสะอื้นไห้ “ขะ…ขอประทานอภัย…ข้าไม่ควรเหม่อลอย… ขอประทานอภัยจริง ๆ เจ้าค่ะ”
องค์รัชทายาทเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลรินของสาวน้อยตรงหน้า ก็ไม่อาจตำหนิต่อได้ ทำได้แค่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาบางลง “เอาละ ๆ ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าจับชายเสื้อข้าไว้ ข้าจะไปไหนเจ้าก็ต้องตามไปด้วย แบบนี้จะได้ไม่พลัดหลงกัน”
ลู่เหยายื่นมือออกไปจบเสื้อขององค์รัชทายาท แล้วก้มหน้าไม่กล้ามองเขา
อีกด้านหนึ่ง หลินซือกำลังเต้นระบำอย่างสนุกสนาน เจี่ยงเถิงมองดูภาพนั้นด้วยรอยยิ้มที่พาให้หวั่นไหว หัวใจเริ่มหลอมละลายกลายเป็นน้ำ
ดูท่าการมาเที่ยวครานี้จะไม่สูญเปล่า เขาไม่เห็นหลินซือมีความสุขเช่นนี้มานานมากแล้ว ขอแค่นางยิ้ม ทุกอย่างที่ตัวเองทำถือว่าคุ้มค่า!
“พี่อาเถิง! ท่านเหม่ออะไร? รีบมาเต้นกับข้าเร็วเข้า!”
หลินซือดึงตัวเจี่ยงเถิงไปเต้นอยู่ในกลุ่มอย่างเบิกบานใจ
ปัง! ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นบนท้องนภา สาดส่องความมืดมิดให้สว่างจ้าขึ้น
ดอกไม้ไฟหลากสีสันถูกปล่อยสู่ท้องนภา ทำให้ราตรีคืนนี้งดงามขึ้นเป็นเท่าตัว
“พี่อาเถิง ท่านดูนั้น! ดอกไม้ไฟ! งดงามมาก…”
หลินซือปรบมือด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกายดุจดวงดาวก็มิปาน
สายตาของเจี่ยงเถิงไฉนเลยจะสนใจดอกไม้ไฟ ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยแม่นางตรงหน้าผู้นี้ นางคือการดำรงอยู่ที่งดงามที่สุดในใต้หล้านี้
“อาซือ ข้าชอบเจ้า…”
เจี่ยงเถิงโพล่งคำในใจออกไปเหมือนโดนผีอำ ใครจะไปรู้ว่าเสียงดอกไม้ไฟจะกลบเสียงพูดของเขาโดยสมบูรณ์
“หา? พี่อาเถิง ท่านว่าอย่างไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน! ท่านพูดอีกรอบสิ!”
หลินซือโน้มตัวลงไปตะโกนข้างหูของเจี่ยงเถิง
ไอร้อนที่พ่นออกมาของหลินซือสัมผัสอยู่ข้างหูของเขา เจี่ยงเถิงหูแดงโดยไม่รู้ตัว เจ้าเด็กคนนี้ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
เขาคิดว่าเขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้ และไม่อยากทำลายความไร้เดียงสาของนาง นี่คือความคิดที่ขัดแย้งกันของเขา จึงไม่อาจสารภาพความในใจของตัวเองได้ในตอนนี้
ไม่ง่ายเลยที่จะรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกมา นางกลับไม่ได้ยิน!
เฮ้อ…บางทีฟ้าเบื้องบนอาจคิดว่ายังไม่ถึงเวลาก็ได้…
เจี่ยงเถิงถอนหายใจ แล้วโน้มตัวลงไปกระซิบตอบข้างหูของหลินซือ “ไม่มีอะไร! ข้าแค่บอกว่า ดอกไม้ไฟงดงามมาก ข้าชอบมาก!”
หลินซือยิ้มจนตาโค้งเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว จากนั้นก็พยักหน้าพลางตะโกนเสียงดังว่า “ข้าเองก็ชอบ!”
เหยาเอ้อหลางชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด จึงตามผู้คนออกมาเต้นระบำอย่างสนุกสนาน ได้รู้จักสหายมากมาย
ในชั่วพริบตาเดียว เขาก็เห็นร่างเงาหนึ่งจากที่ไกล ๆ ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและเงียบเหงา เหยาเอ้อหลางหยุดเต้นโดยพลัน แล้วตามเงานั้นไป
“เฮ้…เจ้าน่ะ? เหตุใดเจ้าถึงไม่ตามคนอื่นไปเต้นระบำด้วยกัน? ทุกคนกำลังเต้นกันอยู่ น่าสนุกเชียวนะ! มาสิ ตามข้ามา!”
ทันทีที่เหยาเอ้อหลางเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าเป็นซวีจ้าว จึงอยากลากตัวเขาไปเต้นระบำกับตน
ซวีจ้าวไม่ยอมท่าเดียว เขาส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ข้าเต้นไม่เป็น…”
เหยาเอ้อหลางยังคงไม่ยอมแพ้ แล้วพูดต่อ “ไม่เป็นไร ทุกคนก็เต้นไม่เป็นทั้งนั้น เต้นตาม ๆ กันไปก็พอ…ไปกันเถอะ!”
เพราะสู้แรงเขาไม่ได้ ซวีจ้าวจึงจำใจต้องตามเขามายังข้างกองไฟ ถูกเหยาเอ้อหลางลากออกไปเต้น
แรกเริ่มเขายังไม่ปลดปล่อยเต็มที่ ยามขยับตัวจึงดูแข็งทื่อราวกับตัวตลก
เหยาเอ้อหลางเห็นดังนั้น ก็ตะโกนเสียงดัง “เจ้าผ่อนคลายหน่อย! เหมือนข้า! ผ่อนคลาย!”
“…”
เขารู้สึกอับอายมาก!
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สู้ๆ นะอาเถิง ฟ้ายังไม่เป็นใจก็ต้องอดทนรอต่อไป
บรรยากาศคู่รักแต่ละคู่นี่หลากหลายรสชาติดีนะคะ เอ๋…เอ้อหลางไม่มีคนรักเหรอ อ่า ผู้แปลคงมองผิดไป
ไหหม่า(海馬)