ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 503 หรูอี้
บทที่ 503 หรูอี้
บทที่ 503 หรูอี้
เซี่ยเซินจัดคอเสื้อของตนเอง ตรวจสอบดูว่าบนร่างกายของเขาไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป กล่องไม้เล็ก ๆ ในมือยังคงไม่บุบสลาย เด็กชายสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเคาะประตูห้องทรงอักษร
“เข้ามา”
เสียงขององค์รัชทายาทยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังคงนิ่งสงบเฉกเช่นทุกที และไม่รู้เลยว่าท่านปู่พูดถึงการแสดงอารมณ์ของเขาทุกวัน
แต่ว่าเซี่ยเซินก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ นิสัยขององค์รัชทายาทไม่มีผู้ใดจะเข้าใจมากกว่าเขาอีกแล้ว ถึงแม้ว่าภายนอกจะไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา แต่ภายในนั้นจะต้องรอคอยเด็กชายกลับมาอย่างแน่นอน
เซี่ยเซินเปิดประตู ก็พบว่าองค์รัชทายาทนั้นกำลังอ่านตำราการเมืองอยู่ ไม่ได้ให้ความสนใจตนเองเลยแม้แต่น้อย เซี่ยเซินรู้ดีว่าฝ่าบาทโกรธที่ตนกลับบ้านในช่วงปีใหม่เป็นเวลาหลายวัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองจะไม่ได้รับความเป็นธรรมแต่อย่างไร เด็กชายยิ้มและเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ข้ากลับมาแล้ว”
“อื้ม” องค์รัชทายาทตอบกลับอย่างนิ่งเฉย “ในที่สุดเจ้าก็ยินยอมที่จะกลับมาแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้ข้าเรียกเจ้า เจ้าก็ยังอ้างนู่นอ้างนี่?”
“ไอหยา ข้าก็ต้องเลี้ยงฉลองปีใหม่กับท่านพ่อท่านแม่ของข้าน่ะ” เซี่ยเซินเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทอย่างสนิทสนม “และข้าต้องไปถึงสองบ้าน ย่อมต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน”
องค์รัชทายาทเอื้อมมือไปผลักเซี่ยเซิน และอีกฝ่ายก็คลี่ยิ้ม ยากนักที่จะแสดงให้เห็นความไร้เดียงสาของฝ่าบาทเช่นนี้
เด็กชายยื่นกล่องไม้เล็ก ๆ ให้กับองค์รัชทายาทต่อหน้า “ฝ่าบาท ท่านดูสินี่คืออะไร?”
องค์รัชทายาทเหลือบมองกล่องไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า และในที่สุดก็อดไม่ไหวรับมาและถือไว้แน่น “นี่อาซือให้มาหรือ? นางรับของที่ข้าส่งให้หรือ?”
เซี่ยเซินพยักหน้า “ใช่น่ะสิ พี่สาวยังให้ข้ามาขอบคุณฝ่าบาทด้วย”
“นางเปิดดูแล้วหรือยัง?” พระองค์เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีนิ่งสงบ แต่หัวใจของเขานั้นกลับเต้นแรงเป็นอย่างมาก
เซี่ยเซินหวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กชายส่ายหน้าด้วยความระมัดระวัง “ตอนนั้นไม่ได้เปิดดู”
องค์รัชทายาทหรี่ตาลงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ถอนหายใจเบา ๆ ภายในใจบอกตนเองว่าแค่อาซือยินดีรับก็ดีแค่ไหนแล้ว
ครั้นปลอบโยนตัวเองเช่นนี้ องค์รัชทายาทก็เปิดกล่องไม้เล็ก ๆ ที่อาซือให้มาอย่างเชื่องช้า
ข้างในก็คือหยกหรูอี้ที่ประณีตงดงาม
องค์รัชทายาทเติบโตจากในวังตั้งแต่ยังเล็ก มองปราดเดียวก็สามารถดูออกได้ทันทีว่าหยกหรูอี้นี้เหนือกว่าในด้านการแกะสลัก แต่ถ้าเปรียบเทียบในด้านของราคาของตนเอง เกรงว่าจะดีกว่าเล็กน้อย
“อ้อ ฝ่าบาท หยกหรูอี้นี้ข้าเคยเห็น เป็นของในร้านของพี่สาวข้าเอง”
เซี่ยเซินโน้มตัวไปข้างหน้าด้วยความประหลาดใจและมองเข้าไปใกล้ ๆ “หรูอี้ไม่เพียงแต่หมายถึงทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ในสมัยโบราณ ช่วงยุคสงครามยังเป็นสิ่งของที่มอบให้ท่านแม่ทัพ พี่สาวของข้ามอบสิ่งนี้ให้กับฝ่าบาท เพราะนางให้ความสำคัญกับพระองค์”
เซี่ยเซินอธิบายด้วยรอยยิ้ม องค์รัชทายาทหยิบมันขึ้นมาและมองดูรอบ ๆ นับได้ว่าเป็นเครื่องประดับที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ
แต่อย่างที่เซี่ยเซินกล่าว หยกหรูอี้นี่มีความหมายที่ดี แต่ก็ล้วนเป็นด้านการงานหรือกิจการ แต่ไม่ได้มีส่วนของความรู้สึกหรือความรักใคร่อยู่ในนั้น
ไม่มีอะไรเทียบได้กับความรักและความจริงใจของจี้หยกที่เจี่ยงเถิงใส่ต่อหน้าเขาทุกวันอีกแล้ว
แต่ความสำคัญนี้มีอยู่จริง ตนเองไม่สามารถแยกแยะความผิดของตนเองได้
“ฝ่าบาท ท่านไม่ชอบหรือ?” เซี่ยเซินมองดูก็รู้ได้ว่าองค์รัชทายาทกำลังฝืนยิ้มอยู่ จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ข้าทำให้หัวใจตรงกับดวงจันทร์ แต่เหตุใดพระจันทร์จึงส่องลงบนคลองได้” หลังจากที่พระองค์ถอนหายใจ ก็โยนหยกหรูอี้เก็บเข้ากล่อง เดิมทีอยากจะให้คนเอาไปเก็บที่ห้องเก็บของด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ไหว “ให้คนเอาไปวางไว้ตรงตู้ข้างหัวเตียงข้า”
“ฝ่าบาท” เซี่ยเซินนั่งตรงข้ามกับองค์ฝ่าบาท เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ท่านอย่าเพิ่งยอมแพ้เรื่องพี่สาวข้าสิ!”
องค์รัชทายาทมองตาเซี่ยเซิน และเอ่ยขึ้น “ข้าดูเหมือนจะยอมแพ้ง่าย ๆ หรือไม่?”
“ไอหยา นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะยอมหรือไม่ยอมแพ้” เซี่ยเซินส่ายหน้า ผมเผ้าที่จัดก่อนจะเข้ามาพลันยุ่งเหยิง “เช่นนี้เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้น พี่ของข้าจะต้องอยู่กับพี่เจี่ยงเถิง เพราะว่าทั้งคู่ต่างก็เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์สนิทสนมกันอย่างมาก ฝ่าบาทรู้จักนางด้วยระยะเวลาที่สั้นเช่นนี้ จะแทรกเข้าไปได้อย่างไร?”
เวลา เวลาอีกแล้ว
องค์รัชทายาทกำหมัดแน่น เวลาเป็นสิ่งที่ตนเองสามารถควบคุมได้หรือ?
“เวลาที่ข้ารู้จักกับอาซือไม่สั้นไปกว่าเจี่ยงเถิงหรอก” องค์รัชทายาททนไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้น
เซี่ยเซินคิดเพียงว่าฝ่าบาทกำลังพยายามพูดเรื่องไร้สาระ จึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร อย่างไรแล้วฝ่าบาทก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อย ไม่เคยมีความรักมาก่อน เซี่ยเซินไม่เข้าใจความคิดที่ว่าฝ่าบาทจำเป็นสำหรับพี่สาวของตนจริงๆ จึงเพียงแค่คิดได้ว่าเมื่อกลับบ้านไปในตอนเย็นจะลองถามท่านปู่ดู
ฝั่งเซี่ยเชียนนั้นกำลังสนทนากับองค์จักรพรรดิเกี่ยวกับการจัดการศึกษาตลอดทั้งปีขององค์รัชทายาท
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าองค์รัชทายาทควรจะได้ออกไปพบเจอประสบการณ์ข้างนอก บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือบารมีในหมู่ข้าราชบริพารก็ตาม การออกไปเรียนรู้นั้นเหมาะสมที่สุด อุดอู้อยู่แต่ในห้องเรียนนั้นคงมิเกิดผลอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเชียนเอ่ย
องค์จักรพรรดิส่ายหัว “ท่านเซี่ย เจ้าพูดมาข้าเองก็พิจารณามาหมดแล้ว แต่องค์รัชทายาทนั้นยังเยาว์วัยนัก ต้องหลีกเลี่ยงเรื่องที่มีผลต่อจิตใจที่ยังไม่มั่นคง จะดีกว่าไหมถ้าท่านเซี่ยจะสอนต่ออีกสองถึงสามปี”
เซี่ยเซียนขมวดคิ้ว และทูลกล่าวด้วยเหตุผล “ฝ่าบาท กระหม่อมสอนองค์รัชทายาทมากว่าสองปีแล้ว นิสัยขององค์รัชทายาทนั้นกระหม่อมรู้เป็นอย่างดี กระหม่อมรับรองได้ว่าการออกไปเรียนรู้ข้างนอกจะไม่เป็นการทำร้ายองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าหากว่าพบกับหลินซือขึ้นมาจะทำอย่างไร?” ฝ่าบาทถามกลับ
เซี่ยเชียนไม่อาจหาคำพูดใดมาคัดค้านได้ชั่วขณะ ในแง่ของคุณสมบัติองค์รัชทายาทเป็นประหนึ่งบัณฑิต แต่ทัศนคติของเซี่ยเชียนต่อหลินซือนั้นไม่อาจคาดคิดได้จริง ๆ เห็นได้ชัดว่าเพียงพบกันไม่กี่ครั้ง อีกทั้งนางยังอายุมากกว่าเขา แต่กลับกลายเป็นว่าองค์รัชทายาทตกหลุมรักนางราวกับอยู่ในภวังค์ของปีศาจ แม้หลินซือจะแสดงออกว่าเป็นไปไม่ได้ องค์รัชทายาทก็ยังแอบขอให้เซี่ยเซินส่งของขวัญให้ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจตัดใจได้
เมื่อมองเช่นนี้แล้ว องค์รัชทายาทก็เป็นคนที่ไวต่อเรื่องรักใคร่เป็นอย่างมาก หากออกไปเรียนรู้นอกวัง แล้วถูกสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นดึงดูดสติสัมปชัญญะไว้ ในท้ายที่สุดเขาก็จะไม่ได้ศึกษาสิ่งใดเลย
“ท่านเซี่ย ข้าเลี้ยงดูองค์รัชทายาทเพียงคนเดียวเท่านั้น ข้าทนไม่ได้ที่จะส่งเขาออกจากวังเพื่อทนกับความยากลำบากในวัยเด็กเช่นนี้” เมื่อเห็นการแสดงออกของเซี่ยเชียน ความรู้สึกจักรพรรดิก็สั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มแสดงอารมณ์ออกมา “หลายปีมานี้ ถึงแม้ว่าข้าจะเข้มงวดกับเขามาตลอด แต่ข้าเองก็มีความรู้สึก อีกอย่าง ตอนนี้ก็อยู่ในวัยที่พอดี เหตุใดต้องเร่งอบรมทายาทให้เป็นผู้ใหญ่ด้วยเล่า”
“กระหม่อมกังวลพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเชียนรีบถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วโค้งคำนับ “กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น ที่ฝ่าบาทตรัสนั้นมีเหตุผล องค์รัชทายาทควรที่จะเรียนในวังต่ออีกสองสามปีพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเจอหมัดของจักรพรรดิเข้าไป เซี่ยเชียนทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้ และเป็นพระราชครูขององค์รัชทายาทต่อไป
“ท่านเซี่ยใจเย็นลงเถิด ข้าเข้าใจท่าน ท่านทุ่มเทเพื่อต้าเยี่ยนและข้า” องค์จักรพรรดิถอนหายใจเบา ๆ
เชี่ยเชี่ยนยืดตัวขึ้น สีหน้าของเขายังคงเคร่งเครียด องค์จักรพรรดิเล่าเรื่องที่น่าสนใจในปีที่แล้วให้ชายหนุ่มฟัง เซี่ยเชียนเองก็ผ่อนคลายลงมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางสงบใจ
“เอาละท่านเซี่ย ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว ท่านกลับไปก่อนเถอะ ” ฝ่าบาทไม่สามารถมองดูเซี่ยเชียนที่มีท่าทางเช่นนี้ได้ จึงโบกมือให้เขากลับไป
เซี่ยเชียนถอนหายใจ โค้งคำนับก่อนจะจากไป
องค์จักรพรรดิมองดูแผ่นหลังของเชี่ยเซี่ยนที่ค่อย ๆ จากไป ภายในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์
เขาเข้าใจเป็นอย่างดี แม้ว่าการที่องค์รัชทายาทออกไปเรียนรู้นอกวังจะไม่มีผลกระทบอันใด แต่ถ้าองค์รัชทายาทไม่อยู่ เซี่ยเชียนคงจะไม่เข้าไปในวังอย่างแน่นอน เว้นแต่ยามจำเป็น
พอถึงเวลานั้นอีกฝ่ายจะเข้า ๆ ออก ๆ ราชสำนัก ตัวเขาเองที่ต้องการจะสนทนาเรื่องธรรมดากับอีกฝ่ายฆ่าเวลาก็คงจะลำบากไม่น้อย
แล้วถ้าเซี่ยเชียนออกไปข้างนอกกับนักเรียนของเขา จะยังจำเขาได้หรืออย่างไร
สู้ให้เขาเป็นพระราชครูต่อไปอีกสามสี่ปีดีกว่า
เวลานี้องค์จักรพรรดิเองก็รู้สึกว่าตนนั้นทำตัวราวกับเป็นเด็กน้อย
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อาซือแสดงออกชัดเจนแล้วนะคะ ดังนั้นหักใจเสียเถิดองค์รัชทายาท
ฝ่าบาทเหงาใช่ไหมเพคะ เลยจะรั้งท่านเซี่ยเอาไว้ให้อยู่ในวังนานๆ กลัวท่านเซี่ยออกไปข้างนอกแล้วจะไม่กลับมาหาตัวเองงี้?
ไหหม่า(海馬)