ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 418 ไฉนเจ้าต้องมาสนใจ
บทที่ 418 ไฉนเจ้าต้องมาสนใจ
บทที่ 418 ไฉนเจ้าต้องมาสนใจ
ห้องหนังสือในเรือนด้านหน้ามีห้องในและห้องนอกอยู่สองห้อง ข้างนอกเป็นส่วนที่เซี่ยเชียนมักใช้เขียนหนังสือ แม้ว่าแขกที่มาเยือนจวนเซี่ยจะมีไม่มากนัก แต่บางคนที่แวะมาเยี่ยมเยือน ก็มักใช้ที่แห่งนี้เป็นส่วนต้อนรับ
สิ่งที่เหยาซูคาดไม่ถึงคือ ถึงแม้ความตั้งใจของเซี่ยเชียนคือต้องการปกปิดร่องรอยของหลินเหรา แต่เขากลับพาหลินเหรามาไว้ในห้องหนังสือของจวนเซี่ย ในสถานที่ที่สะดุดตาสำหรับผู้อื่น
แต่เมื่อได้คิดไตร่ตรอง สถานที่ที่เซี่ยเชียนมักจะอยู่เป็นประจำที่สุดก็คือห้องหนังสือ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ชอบให้ใครมารบกวนด้วย
เซี่ยเชียนนำตัวหลินเหรามาไว้ที่นี่ ก็เพื่อต้องการให้เขาอยู่ในสายตาของตัวเอง และเพื่อปิดบังซ่อนเร้น นี่เป็นวิธีการที่เฉลียวฉลาดที่สุดอย่างหนึ่ง
เซี่ยเชียนพาเหยาซูเดินเข้าไปในห้อง สายตาของนางหยุดอยู่บนร่างคนที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียงในทันใด ก่อนจะหยุดชะงักลง
เหยาซูเดินขึ้นหน้าสองสามก้าว หยุดลงข้างกายของหลินเหราและนั่งลง
นางพยายามยับยั้งนิ้วมือเนียนขาวผุดผ่องไว้ ก่อนจะแตะผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบศีรษะของหลินเหราอย่างเบามือ ส่วนปากก็ยังคงเอ่ยถามเซี่ยเชียนด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว “เขานอนหลับไปนานเพียงใดแล้วเจ้าคะ? ไม่เคยฟื้นขึ้นมาเลยหรือเจ้าคะ?”
ถ้าไม่ใช่เพราะในห้องนั้นเงียบสงัดเกินไป เกรงว่าเซี่ยเชียนคงจะไม่ได้ยินคำพูดนี้ของนาง
เซี่ยเชียนส่ายหน้า “หนึ่งเดือน ไม่เคยฟื้นเลย”
เหยาซูตอบรับเสียงเบา แล้วไม่เอ่ยเอื้อนสิ่งใดอีก
หลินเหรายังคงหลับไหลไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ทำให้นางได้มองพิจารณาเขาโดยไร้ข้อจำกัดได้
บนใบหน้าที่เห็นโครงหน้าชัดเจนนั้น นอกจากบาดแผลภายใต้ผ้าพันแผลแล้ว ก็ยังมีสะเก็ดแผลจาง ๆ ที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกอีกเป็นจำนวนมาก
เขาที่เดิมที่มีร่างกายซูบผอมอยู่แล้ว อาจเพราะนอนพักฟื้นบนเตียงนานเกินไป ร่างกายจึงยิ่งผอมลง แก้มทั้งสองข้างดูตอบลงอย่างชัดเจน
แค่ใบหน้าก็มีบาดแผลมากมายแล้ว แล้วร่างกายเล่าจะมากเท่าไร? ถ้าไม่ใช่เพราะบาดเจ็บปางตาย เขาจะหลับไหลไม่ฟื้นเลยเป็นเวลาหนึ่งเดือนได้อย่างไร?
นิ้วมือของนางไล้ไปตามผ้าพันแผลสีขาว ค่อย ๆ เลื่อนมาบนดวงตาของหลินเหรา
ดวงตาสีนิลและดูลึกล้ำคู่นั้นบัดนี้ยังคงปิดสนิท แพขนตายาวยังคงสงบนิ่งอยู่บนเปลือกตา คล้ายกับผีเสื้อที่บินจนเหนื่อยอ่อน ต้องการพักอยู่บนกิ่งไม้อย่างเงียบ ๆ
เหยาซูทอดถอนใจเบา ๆ ครั้นเลื่อนมาถึงดวงตาของชายหนุ่ม จู่ ๆ ก็นึกย้อนกลับไปในห้วงความฝันอีกครั้ง นัยน์ตาคู่นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวังอย่างรุนแรง
กระทั่งตอนนี้นางก็เชื่อมาตลอด ว่าจิตใต้สำนึกของเขาได้เข้าไปในห้วงความฝันของนาง
นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ถ้าเหนื่อยก็พักเถิด”
…
เพราะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ เหยาซูจึงไม่ได้อยู่ในห้องหนังสือของเซี่ยเชียนนานนัก
หลังได้รับรู้ว่าหลินเหรามีคนดูแลอยู่ตลอด สุดท้ายนางก็จุมพิตใบหน้าของเขา แล้วออกจากห้องหนังสือไป
ก่อนออกเดินทาง ณ หน้าประตู เซี่ยเชียนได้เรียกเหยาซูไว้ เหมือนกับมีบางอย่างอยากจะกำชับนาง
หญิงสาวครุ่นคิดชั่วครู่ แต่แล้วก็เข้าใจได้ในที่สุด ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ท่านน้าวางใจเถอะเจ้าค่ะ ที่ข้ามาวันนี้ ข้าแค่อยากมาถามข่าวคราวของอาเหรากับท่านน้าว่าตอนนี้อยู่ที่ใด เพราะข้าเป็นห่วงเขา”
เหยาซูฉลาด โดยที่เขาไม่ต้องพูดมาก เซี่ยเชียนกำชับแค่ว่า “ตอนนี้หลักฐานที่อีกฝ่ายติดต่อกับพวกขายชาติอยู่ในมือของอาเหราแล้ว เขายังไม่ได้สติ เราเองก็จนปัญญาจะชิงลงมือก่อน สองสามวันนี้เจ้าควรออกไปข้างนอกให้น้อยลง”
เหยาซูพยักหน้า ก่อนจะตอบรับหนึ่งเสียง จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “อาเหราอยู่กับท่านน้าที่นี่ ข้าเองก็วางใจหวังว่า….ท่านน้าจะดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ”
เซี่ยเชียนตะลึงงันเล็กน้อย จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ ก่อนที่หลินเหราจะออกเดินทางได้พูดกับเขาด้วยประโยคที่คล้ายคลึงกัน
‘ท่านน้ารักษาตัวด้วย’
นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากของหลินเหรา
เซี่ยเชียนสบสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของเหยาซู จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “ข้าจะดูแลตัวเอง ซานเป่าคงคะนึงหามารดาอย่างเจ้าแล้ว พาเขากลับไปจวนเหยาสักวันสองวันสิ”
เหยาซูยิ้ม จากนั้นก็กล่าวลา
ระหว่างทางที่อุ้มซานเป่ากลับจวน นางหยอกล้อกับลูกชายในอ้อมกอดอย่างสนุกสนาน พลางพูดกับเขาว่า “ก่อนหน้านั้นท่านปู่เซี่ยของเจ้าชอบทำเป็นแข็งแกร่งถือวาจามีค่าดั่งทอง ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปแล้ว แม่เดาว่าต้องเป็นผลงานของซานเป่าเป็นแน่ ใช่หรือไม่?”
เมื่อครู่ซานเป่าร้องไห้คร่ำครวญเสียใหญ่โต ใบหน้ายังแสดงสีหน้าไม่พอใจนัก จึงไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองคำพูดของเหยาซู
ครั้นเหยาซูเห็นท่าทางนั้นของเขาก็รู้สึกทั้งปวดใจทั้งขบขัน จากนั้นจึงโอบกอดซานเป่าและปลอบใจว่า “เอาละ เมื่อครู่แม่ผิดเอง แม่ขอโทษซานเป่าได้หรือไม่?”
ตอนนี้ซานเป่าโตขึ้นมากแล้ว ปกติยามอยู่ในจวนเซี่ย เซี่ยเชียนจะอุ้มเขาเป็นครั้งคราว แม้แต่สาวใช้ข้างกายต่างก็ได้รับคำสั่งจากนายท่านของตัวเองว่าห้ามให้ท้ายเขาเด็ดขาด
ซานเป่าอายุไม่ถึงสองขวบ แต่กลับถูกคนอุ้มน้อยมาก
เขาคุ้นชินกับความอบอุ่นและความอ่อนโยนจากอ้อมกอดของเหยาซูมาตั้งแต่วัยเยาว์ ครั้นได้ยินน้ำเสียงที่นุ่มนวลของผู้เป็นแม่ในตอนนี้ อารมณ์ด้านลบของเขาพลันหายเป็นปลิดทิ้ง
“ท่านแม่ ไม่ไป”
ต่อให้ไม่โกรธ ซานเป่าก็ยังจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้
เหยาซูยิ้ม พยายามอธิบายให้ลูกชายฟัง “แม่มีเรื่องด่วนต้องไป อีกอย่างแม่ก็รีบกลับมาหาเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? ทั้งยังรับเจ้ากลับจากที่นั่น ซานเป่าดีใจหรือไม่?”
ครั้นเห็นซานเป่าไม่ตอบ เหยาซูจึงยิ้มพลางจั๊กจี้ท้องของลูกชาย กระทั่งเห็นเขาหัวเราะออกมาจึงวางใจ
ครั้นซานเป่าหัวเราะจนพอแล้ว ก็โอบรอบคอของเหยาซูแล้วพูดกับนางอย่างออดอ้อนว่า “ท่านแม่ คิดถึงท่านแม่และท่านพ่อ”
แม้จะบอกว่าซานเป่าเป็นลูกบุญธรรมของจวนเซี่ยแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเด็ก คนในตระกูลยังไม่ได้ให้เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกเหยาซูและหลินเหรา เขาจึงเรียกท่านพ่อและท่านแม่มาตลอด
ครั้นเหยาซูได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็ก ๆ สิ่งที่สัมผัสได้คือความอาลัยอาวรณ์อันบริสุทธิ์ที่ลูกชายมีต่อตัวเอง จู่ ๆ ก็นึกถึงหลินเหราที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียง ในใจเกิดความสับสนยากจะพรรณนาออกมาได้
หญิงสาวทอดถอนใจ แตะจมูกลงบนเส้นผมที่อ่อนนุ่มของซานเป่า สูดดมกลิ่นนมจากตัวเด็กน้อย พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ซานเป่าคิดถึงพ่อกับแม่ เราเองก็คิดถึงซานเป่าเช่นกัน เจ้าต้องโตเร็ว ๆ นะ เติบโตอย่างเป็นสุข เข้าใจหรือไม่?”
ซานเป่าดูชะงักไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่าผู้เป็นแม่นั้นกำลังพูดถึงสิ่งใด จึงไม่ได้สนใจมากนัก แค่คะยั้นคะยอให้เหยาซูเล่นเกมเป็นเพื่อนตัวเอง
สองแม่ลูกเล่นกันอยู่บนรถม้าไปตลอดทาง ยามที่ลงจากรถม้าแล้ว เหยาซูก็อุ้มซานเป่าขึ้นมา ใบหน้าพลันแสดงออกถึงความหนักใจ
เมื่อคนรับใช้ที่เฝ้าประตูจวนเหยาเห็นรถม้าของเหยาซู จึงรีบรุดหน้าเข้ามาต้อนรับทันที กระทั่งเห็นคุณหนูอุ้มซานเป่ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ในใจพลันเกิดเสียงแตกร้าวทันใด
เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนู คุณชายน้อยเป็นอะไรหรือขอรับ?”
เหยาซูรู้ว่าเขาเข้าใจผิด แต่กลับไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแต่ตอบว่า “ไม่เป็นไร ข้าขอตัวเข้าข้างในก่อน”
พูดจบ นางก็อุ้มซานเป่าเข้าไปในจวน
เมื่อถึงอาหารมื้อค่ำ เหยาซูก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมา พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาต่างเป็นห่วง จึงให้สะใภ้รองเหยาไปดู
หลังจากที่เหยาเฉาได้ยินก็รีบตามไป
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไปในลานบ้านของเหยาซู ก็เห็นซานเป่าและอาซือกำลังนั่งเล่นอยู่บนม้านั่งหินอ่อน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเหยาซู
สะใภ้รองเหยาเอ่ยถาม “อาซือ แม่เจ้าล่ะ?”
อาซือมัวแต่สนใจเล่นกับน้องชาย ครั้นได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น แล้วขานเรียกออกไป “ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้”
นางตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ท่านแม่กินมื้อค่ำเสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องเลยเจ้าค่ะ บอกว่าเหนื่อย ขอนอนพักเสียหน่อย”
เหยาเฉาลูบศีรษะของอาซืออย่างแผ่วเบาก่อน จากนั้นก็รุดหน้าเข้าไปอุ้มซานเป่า เด็กทารกลืมเขาไปแล้ว จึงจ้องพินิจอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ยอมให้เขาอุ้มเข้าไปในอ้อมกอด
“ซานเป่าคิดถึงลุงบ้างหรือไม่? หื้อ? ดูท่าจะลืมไปแล้ว ลุงต้องลงโทษเจ้าแล้วล่ะ”
เด็กตัวน้อยหัวเราะออกมา
อาซือที่อยู่ข้างกายก็หัวเราะด้วยเช่นกัน ก่อนจะพูดว่า “ท่านลุงเจ้าคะ ท่านชวนน้องเล่นการละเล่นหุ่นไม้[1] ก็ได้”
สะใภ้รองเหยาเห็นเหยาเฉาอุ้มซานเป่าขึ้นเหนือศีรษะ จึงรีบเอ็ดเขาด้วยเสียงเบา “อย่าทำเด็กกลัวสิ!”
นางหมุนตัวไปพูดกับอาซือว่า “อย่าไปสนใจลุงเจ้าเลย รายนั้นโตแต่ตัว คิดแต่จะเล่นทั้งวัน อาซือบอกป้ามาสิ ว่าวันนี้แม่ของเจ้าเป็นอะไร? ตั้งแต่กลับมาจากจวนเซี่ยก็แปลกไป เหล่าคนใช้ต่างบอกว่าดูท่าจะร้องไห้ด้วย”
อาซือส่ายหน้า ราวกับไม่รู้อะไร แค่พูดว่า “ท่านแม่บอกแค่ว่านางเหนื่อย ไม่ได้พูดสิ่งใดอีกเจ้าค่ะ”
สะใภ้รองเหยาทอดถอนใจ พลางคิดในใจ ‘วันนี้ถามไปก็คงไม่ได้อะไร ให้ท่านพ่อท่านแม่ปลอบเองแล้วกัน’
นางและเหยาเฉานั่งอยู่ในลานบ้าน อยู่เล่นเป็นเพื่อนเด็กทั้งสองคนครู่หนึ่ง
สะใภ้รองเหยาถามอาซือว่า “คืนนี้น้องชายของเจ้านอนในจวนใช่หรือไม่?”
เด็กหญิงตอบ “น้องชายนอนกับข้าเจ้าค่ะ!”
สะใภ้รองเหยายังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเหยาเฉาดึงแขนเสื้อไว้จึงต้องกลืนคำพูดลงคอไป
เมื่อสองสามีภรรยาออกจากลานบ้านของเหยาซูแล้ว สะใภ้รองเหยาก็ขมวดคิ้วและถามเขาว่า “เมื่อครู่ท่านดึงข้าไว้ทำไม? คืนนี้อาซือต้องดูแลน้องเพียงลำพัง จะดูแลได้อย่างไรเล่า?”
เหยาเฉาแสดงสีหน้าจนปัญญาแล้วส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดเรื่องนี้”
สะใภ้รองเหยาไม่เข้าใจ “ข้าอยากพาซานเป่ากลับจวนเรา อย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่คอยดูแล ท่านก็รู้ดีแล้วจะดึงข้าไว้ทำไม?”
นิ้วชี้ขวาของเหยาเฉางอเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นก็ดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของภรรยาหนึ่งครั้งและพูดว่า “ไฉนต้องให้เจ้ามาสนใจ”
สะใภ้รองเหยาเบิกตากว้าง “เหยาเฉา นั่นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านนะ! ท่านมีมโนธรรมสำนึกบ้างหรือไม่? เป็นขุนนางไม่กี่วัน เหตุใดถึงกระทำเหมือนไม่ใช่คนเช่นนี้?”
ครั้นเหยาเฉาเห็นนางโกรธเคือง จึงโน้มตัวอย่างฉับพลัน “ข้าไม่เหมือนคนอย่างไร? อาเวยเจ้าพูดมาสิ ข้าไม่เหมือนคนอย่างไร?”
สะใภ้รองเหยาหงุดหงิดจริง ๆ จึงเมินหน้าไปทางอื่นโดยไม่สนในเขา
……………………………………………………………………………………………….
[1] เกมหุ่นไม้ เล่นโดยการนับหนึ่ง สอง สามแล้วก็หยุด ห้ามขยับเป็นเวลาหนึ่งนาที
สารจากผู้แปล
สลบไปหนึ่งเดือนเต็ม ฮือออ ปวดใจกับพี่เหราจังเลยค่ะ เมื่อไหร่พี่จะฟื้น
ไหหม่า(海馬)