ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 304 ตกลงเป็นฝีมือใคร
บทที่ 304 ตกลงเป็นฝีมือใคร
บทที่ 304 ตกลงเป็นฝีมือใคร
ครั้นมาถึงจวนเซี่ย หลินเหราก็พลันสังเกตเห็นว่าจวนเซี่ยในวันนี้มีบางอย่างแตกต่างไปจากเดิม
ทันทีที่เขาเหยียบย่างพ้นประตูเข้ามา ก็เห็นเด็กรับใช้เร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วและแผ่วเบาอยู่บนระเบียงทางเดินไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่ง โดยไม่สังเกตเห็นหลินเหรา
ชายหนุ่มดูจะไม่เข้าใจ
ก่อนหน้านั้นถ้ามีเซี่ยเชียนอยู่ในจวน เหล่าเด็กรับใช้ในจวนเซี่ยต่างก็แทบจะกลั้นหายใจ จะพูดเสียงดังทีก็ยังไม่กล้า แล้วจะกล้าวิ่งตึงตังเช่นนี้หรือ?
หรือว่าวันนี้เซี่ยเชียนออกไปข้างนอกแล้ว?
ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปในจวน ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าเหยาซู
ทันทีที่เลี้ยวตรงหัวมุม ก็เห็นฝูลี่ สาวใช้มีเม็ดเหงื่อเล็กละเอียดผุดซึมเต็มหน้าผาก กำลังถือไม้ไผ่และสิ่งของจำนวนพวกผ้าทออยู่ในมือ กำลังเร่งรีบโดยไม่สนใจจะเช็ดเหงื่อแต่อย่างใด
“คุณชายหลิน!” สายตาของฝูลี่นั้นเฉียบคม เมื่อเห็นหลินเหรา ก็รีบขานเรียกเขาทันที “คุณชายกลับมาแล้ว!”
เมื่อเห็นนางถือของในมือไม่น้อย หลินเหราจึงรับไม้ไผ่จากในมือของฝูลี่ไปถือไว้ จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ
ฝูลี่ยิ้ม ปรากฏลักยิ้มบนใบหน้าเลือนราง จากนั้นก็เอ่ยอย่างมีความสุข “ยามเจอกับคุณชายหลินในครั้งแรก ก็รู้สึกว่าคุณชายหลินช่างเย็นชาและขึงขังมาก จะต้องโหดร้ายแน่นอน แต่หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันสักระยะหนึ่ง ก็พบว่าคุณชายหลินและฮูหยินหลินนั้นเหมือนกัน ล้วนเป็นคนอบอุ่น”
หลินเหราเลิกคิ้วสูง คิดในใจ ‘วันนี้สาวใช้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ปกติแล้วไม่กล้าพูดคุยกับเขาไม่ใช่หรือ?’
กระทั่งได้ยินฝูลี่เอ่ยถึงเหยาซู หลินเหราจึงถามว่า “อาซูอยู่ในจวนหรือ?”
ฝูลี่รีบพยักหน้าทันที “อยู่เจ้าค่ะ เรารอคุณชายนานมากแล้ว”
หลินเหรายังไม่เข้าใจว่า ‘เรา’ ที่พูดนี้หมายถึงผู้ใด ฝูลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความลิงโลดดีใจ “คุณชายหลินรีบไปจวนด้านหลังเถิดเจ้าค่ะ ไปแล้วก็จะรู้เอง!”
หลินเหราเกิดมาขาเรียวยาว แต่ถึงกระนั้นก็ยังเดินเร็วสู้ฝูลี่เด็กคนนี้ไม่ได้ เขาได้แต่จนปัญญาอยู่ในใจ แล้วไล่ตามไป
ยังไม่ทันถึงจวนด้านหลัง เขาก็สังเกตเห็นผ่านจากช่องว่างระหว่างต้นไม้ที่สูงใหญ่ในจวนเซี่ย มีว่าวสามตัวกำลังโบกไสวอยู่ท่ามกลางสายลม ว่าวตัวนั้นค่อย ๆ ลอยตัวสูงขึ้น เหนือต้นไม้ใหญ่ที่สูงระฟ้าในจวนเสียอีก
หลินเหราตื่นเต้นอยู่ในใจ จากนั้นก็ถามฝูลี่ว่า “ในจวนเล่นว่าวได้ด้วยหรือ?”
ผ้าทอและไม้ไผ่ที่อยู่ในมือฝูลี่ ก็พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี นั่นคือวัสดุสำหรับทำว่าว
นางยิ้มโดยไม่พูดสิ่งใด แค่วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปจวนด้านหลัง
หลินเหราตามเข้าไปจวนด้านหลัง กระทั่งเห็นลานบ้านที่เดิมทีกว้างขวางเป็นทุนเดิม บัดนี้โต๊ะหินม้านั่งหินได้ถูกย้ายออก ขยายพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ได้แห่งหนึ่ง ส่วนอาจื้อและอาซือเจ้าเด็กสองคนนั้น กำลังวิ่งดึงว่าวไปมากับฝูหยาอย่างสนุกสนาน
วิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่คนที่สร้างความประหลาดใจให้กับหลินเหราโดยแท้จริง คือเซี่ยเชียนที่ยืนก้มหน้าก้มตาวาดภาพอยู่ด้านข้าง
“นายท่าน นายท่าน ซื้อผ้าทอมาแล้วเจ้าค่ะ!” ฝูลี่วิ่งมาตรงหน้าของเซี่ยเชียนอย่างมีความสุข จากนั้นก็หยิบผ้าทอหลายรูปแบบออกมาจากในอ้อมแขน
เซี่ยเชียนพยักหน้า แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “วางไว้เถอะ”
ฝูลี่หยิบผ้าทอหลายม้วนจากในอ้อมแขนวางลงตรงหน้าโต๊ะตัวยาว เหยาซูยืนอยู่ข้างกายเซี่ยเชียน พลางเอ่ยชื่นชมฝูลี่ “ผ้าทอที่แม่นางผู้นี้ไปเลือกมาช่างงดงามยิ่งนัก ท่านน้า ในเมื่อฝูลี่ซื้อผ้ามาได้แล้ว ต่อไปก็ใช้เจ้าสิ่งนี้วาดภาพสิเจ้าคะ”
เซี่ยเชียนเงียบไม่ปริปากพูดแต่อย่างใด
เมื่อฝูลี่ได้ยินเหยาซูเอ่ยถึงตัวเอง ในใจหวานหยาดเยิ้มดุจได้กินน้ำผึ้ง แต่ครั้นเห็นภาพวาดที่เซี่ยเชียนใกล้จะวาดเสร็จแล้วบนโต๊ะ ก็อดชื่นชมด้วยความจริงใจอย่างอดไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไรนายท่านก็เก่งเสมอ ผ้าทอที่ดูไม่น่าต้องตาต้องใจเหล่านี้ ภาพที่วาดออกมา ดูสมจริงไม่น้อย”
เหยาซูเห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ และความชื่นชมของเด็กสาวตัวน้อย ก็พลันคลี่ยิ้มออกมา
เมื่อเห็นหลินเหราเดินตามฝูลี่เข้ามา เขากลับยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เหยาซูจึงได้ตะโกนขานเรียกเขา “อาเหรา มานี่เร็ว! ไผ่ที่อยู่ในมือเจ้า เรายังรอใช้อยู่นะ”
หลินเหรายังไม่ค่อยเข้าใจ ตัวเองไม่อยู่เพียงไม่นาน เหตุใดในจวนแห่งนี้ถึงมีการเปลี่ยนแปลงดั่งฟ้าถล่มดินทลายเช่นนี้ได้?
เล่นว่าว ทำว่าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง เซี่ยเชียนยังมาช่วยวาดภาพบนว่าวอย่างไม่น่าเชื่อ?
ภายในใจของหลินเหราเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ จากนั้นก็หอบเอาไม้ไผ่ในอ้อมแขน เดินมาตรงหน้าของเหยาซู
บัดนี้เหยาซูกำลังนึกถึงแต่ไม้ไผ่ในการทำว่าว ไม่ได้สนใจสีหน้าที่ดูงุนงงของหลินเหรา นางสั่งเขาว่า “ไผ่เหล่านี้ใช้ทำว่าวได้ ขนาดก็เหมาะสม อาเหรา ท่านช่วยเลือกก้านไผ่ที่ดีที่สุดให้ข้าทีสิ”
หลินเหรากำลังจะตอบรับ แต่กลับได้ยินฝูลี่แทรกเข้ามาและกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ฮูหยินหลิน ข้าเอง ข้าเป็นคนเก็บไม้ไผ่มาเองเจ้าค่ะ!”
ชายหนุ่มวางไผ่ลงบนโต๊ะหินที่อยู่ด้านข้าง ตัวเองยืนอยู่อีกด้าน ความสูงและกำยำทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
เซี่ยเชียนชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “อาเหรา มานี่”
หลินเหรายังคงเดินมาตรงหน้า เซี่ยเชียนวางพู่กันที่อยู่ในมือลง แล้วออกคำสั่งว่า “เจ้ามาวาดภาพ ข้าจะไปดูซานเป่า”
เขาเดินจากไปโดยไม่พูดสิ่งใด หลินเหรามองภาพวาดที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์บนโต๊ะ นั่นคือนกนางแอ่นที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา
ชายหนุ่มจนปัญญา ทำได้แค่หยิบพู่กันขึ้นมา แตะสีแดงสด แล้วเติมแต่งสีสันส่วนหัวของนกนางแอ่นต่อ
เหยาซูเลือกไม้ไผ่มาทาแป้งสีขาวกับฝูลี่อย่างเบิกบานใจ ครั้นหลินเหราเห็นท่าทางนี้ ถ้าเล่าเรื่องของตู้เหิงที่สืบมาได้ในวันนี้กับนางไปคงจะขุ่นเคืองอีกแน่ สภาพจิตใจในตอนนี้ก็กลับมาสงบสุข
เมื่อเขาวาดรูปเสร็จแล้ว ก็ยังไม่เห็นเซี่ยเชียนกลับมา จึงเดินมาข้างกายเหยาซู แล้วถามว่า “วันนี้เป็นวันอะไรหรือ? เหตุใดถึงออกมาเล่นว่าวกันเช่นนี้?”
เหยาซูหันกลับมาส่งยิ้มแพรวพราวดุจบุปผาที่เบ่งบาน จากนั้นก็กล่าวว่า “ความคิดของเจ้าเด็กน้อยสองคน เดิมทีอยากจะผ่อนคลาย อาจื้อไม่กล้าพูดกับท่านน้าจึงเกลี้ยกล่อมให้อาซือไปพูดให้ ใครจะไปคิดเล่าว่าท่านน้าจะคิดว่าเด็ก ๆ เรียกเขามาเล่นว่าวด้วยกัน…”
หลินเหราประหลาดใจ
เหยาซูพูดไปยิ้มไป “ท่านน้าอยู่ในสถานะอะไร? จะให้เขามาวิ่งดึงว่าวไปมาก็กระไรอยู่ พูดออกไปคงจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเป็นแน่ ข้าจึงคิดว่าสู้ให้เขามาวาดภาพดีกว่า เราจะทำว่าวกันเอง น่าสนุกจะตายไป”
ใบหน้าของหลินเหราเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา
กระทั่งได้ยินฝูลี่กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ปกติแล้วยามที่นายท่านอยู่ในจวน ก็มักจะวาดภาพอย่างเงียบ ๆ อยู่แล้ว บัดนี้คุณชายและฮูหยินพาเด็ก ๆ มาอยู่ในจวนด้วย ทุกคนทำให้นายท่านมีชีวิตชีวาขึ้นในที่สุด….”
ขณะที่เด็กสาวกล่าวนั้น ก็อดสะอื้นไม่ได้
เหยาซูรีบพูดทันที “เป็นอะไรไป เอาละ ๆ พูดไปพูดมาพาให้รู้สึกแย่เสียอย่างนั้น! หยุดคิดเหลวไหลได้แล้ว นายท่านของพวกเจ้าดีขึ้นมากแล้วไม่ใช่หรือ? บรรยากาศในจวนก็ดีขึ้นทีเดียว”
ฝูลี่จึงคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
นางตั้งใจรวบรวมกองไม้ไผ่เหล่านั้น จากนั้นก็มองไปทางเหยาซู แล้วมองไปยังหลินเหรา สุดท้ายก็เอ่ยปากพูดอย่างลังเลด้วยการถามเหยาซูเสียงต่ำว่า “ฮูหยินหลิน ได้ยินว่า ฮูหยินจะยกคุณชายน้อยให้เป็นลูกบุญธรรมของตระกูลเซี่ย…”
เหยาซูยิ้มแก้มปริ “ได้ยินใต้เท้าหมิงของพวกเจ้าพูดมาละสิ? ข้าและอาเหราก็คิดเช่นนี้”
ในใจของฝูลี่ก็พลันเบิกบานใจทันใด นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกาย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยมไปเลย! เยี่ยมไปเลย!”
เหยาซูคลี่ยิ้มตั้งใจจะหยอกเย้าก็มิปาน จากนั้นก็ถามนางว่า “ยกให้เป็นลูกบุญธรรมของนายท่าน ทำไมเจ้าต้องดีใจมากขนาดนี้?”
ฝูลี่นั้นมีจิตใจที่บริสุทธิ์ บัดนี้เหยาซูและหลินเหราถือว่าเป็นคนของในจวน จึงได้กล่าวในสิ่งที่อยู่ในใจของตนเองด้วยความจริงใจ
“นายท่านอยู่โดดเดี่ยวมานานหลายปี เราก็เป็นคนรับใช้ รู้ดีแก่ใจว่าเขานั้นโดดเดี่ยว แต่กลับหมดหนทาง…ถ้านายท่านมีคุณชายน้อยอยู่ในอ้อมกอด จะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่เจ้าค่ะ”
เหยาซูและหลินเหรามองตากันหนึ่งครั้ง มองทะลุปรุโปร่งถึงจิตใจภายในของกันและกัน พวกเขาเองก็คิดเช่นนี้
ในเวลาไม่นาน เซี่ยเชียนก็พาซานเป่าที่ตื่นนอนแล้วมายังจวนด้านหลัง เขาไม่ได้เป็นคนอุ้มเอง แต่เป็นฝูหยาที่อุ้มออกมา
ซานเป่าติดเซี่ยเชียนงอมแงมเช่นเคย ไม่ว่าเซี่ยเชียนจะเดินไปไหน สายตาของเขาก็จะมองตามไปที่นั้น แล้วก็ออดอ้อนตลอดเวลาจนทำให้เซี่ยเชียนต้องอุ้มเขาขึ้นมาในที่สุด
เมื่อทุกคนทำว่าวเสร็จไปไม่น้อย หลังจากเล่นว่าวกันอย่างหนำใจแล้ว ทุกคนก็พากันแยกย้าย
สามีภรรยาหลินเหราพาเด็กทั้งสามคนกลับไปยังห้องรับรอง รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็ก ๆ ยังไม่จางหาย เหยาซูเห็นสีหน้าของหลินเหราจึงเอ่ยถามว่า “ตั้งแต่กลับมาเจ้าก็ดูเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด ทำไมหรือ?”
หลินเหรามองพวกเด็ก ๆ แล้วเกิดความลังเลเล็กน้อย
เหยาซูตื่นเต้นในใจ แล้วเอ่ยถามอย่างคลุมเครือประโยคหนึ่ง “วันนี้ได้ผลสรุปแล้วใช่หรือไม่?”
หลินเหราพยักหน้า
เหยาซูข่มความร้อนใจไว้ภายใน รีบพาเด็ก ๆ เข้าไปในห้องก่อน จากนั้นก็ให้พวกเขาไปอาบน้ำ นางวางซานเป่าลงบนเตียง ปล่อยให้เขาเล่นกับตัวเอง
นางนั่งลงข้างกายของหลินเหรา แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เจออะไรมา? ตกลงใครเป็นคนทำ?”
หลินเหราปรายตามอง และพูดเพียงสองพยางค์ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตู้เหิง”
เมื่อเหยาซูได้ยินคำว่า ‘ตู้เหิง’ สองพยางค์นี้ ก็อดนิ่งงันไม่ได้
หลินเหราคิดว่าเหยาซูไม่รู้จักชื่อของตู้เหิง จึงอธิบายอีกประโยคหนึ่ง “นางคือแม่นางตู้ของจวนเจ้าอาลักษณ์ ชื่อของนาง คือตู้เหิง”
ในใจของเหยาซูคาดเดาได้ว่าต้องเป็นนางนานแล้ว เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลินเหราจะตรวจสอบออกมาได้
นางขมวดคิ้วแน่น เมื่อคิดได้ตอนนี้ ก็รู้สึกโกรธเคืองมากทันใด “นางทำเช่นนี้ เพราะความอิจฉาหรือ? ลักพาตัวเด็กไป หมายทำร้ายถึงชีวิต ทั้งหมดเพราะอิจฉาอย่างนั้นหรือ?”
…………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ท่านปู่เซี่ยเปลี่ยนไป ตั้งแต่ยกซานเป่าให้เป็นลูกบุญธรรมก็เผยท่าทางอ่อนโยนออกมาแล้ว ถ้าท่านปู่เผยท่าทีแบบนี้ออกมาให้คนอื่นเห็นบ่อยๆ คงจะมีแต่คนโดนตกนะคะ
ใช่ค่ะอาซู นังตู้ทำเพราะอิจฉาเธอ แต่พอแย่งพี่เหรามาไม่ได้ก็เลยใช้วิธีสกปรกแบบนี้
ไหหม่า(海馬)